เรื่องดีๆจากหนังสือสรรสาระ (ชุดที่ 32 )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 06, 2024 8:36 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา มีทั้งหมด ( 6 )ตอน

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 1 )โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย :
https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ช่วงวันหยุดจากงานพิทักษ์ป่า ผมชอบไปปีนเขาในอุทยานรัฐโคโลราโด (Roxborough
State Park, located near Englewood, Colorado) โดยเริ่มจากจุดตั้งต้นไปตามทางคดเคี้ยว
ยาว 5 กิโลเมตรสู่ยอดเขาสูง 2,100 เมตร (Carpenter's Peak) เส้นทางขึ้นลงอยู่คนละทางกัน
และไม่มีทางลัด

ทิวทัศน์ในพื้นที่แถบนั้นบริสุทธิ์สวยงามกว่าที่อื่น รูปแบบการออกกำลังสมัยใหม่เช่นการขี่
จักรยานเสือภูเขาเป็นสิ่งต้องห้ามในอุทยาน บรรยากาศที่นั่นจึงเงียบสงบและมีโอกาสได้เห็นสัตว์ป่า
แม้จะไม่บ่อยครั้งนัก ความจริงผมก็เพิ่งพบรอยเท้าสิงโตภูเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเพราะ
แสดงว่าได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง

ท้องฟ้าเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2541 สดใสและอากาศก็เหมาะที่จะออกกำลังอย่างยิ่ง เส้นทาง
ขึ้นลงเขาแทบจะร้างผู้คน ผมเห็นกลุ่มนักเดิน 4 คนมุ่งหน้าลงเขาโดยอยู่ห่างจากยอดเขาประมาณ 400
เมตร เราทักทายพอเป็นพิธีตอนเดินสวนกัน จากนั้นผมก็เร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นยอดเขาตลอดระยะทางที่เหลือ

(at)ทิวทัศน์งามจับใจ

การได้ยืนชมทิวทัศน์ทุกทิศจากยอดเขาเป็นรางวัลที่คุ้มค่า วันนั้นผมปีนขึ้นไปยืนบนหินก้อนสูงสุด
รู้สึกวาบหวิวชอบกลเมื่อเห็นขอบฟ้าตระการตา

ผมเดินลงเขาช้า ๆ เพื่อซึมซับภาพและกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาเยือน หลังหยุดพักกิน
ของว่างชั่วครู่ ผมกรอกน้ำอึกสุดท้ายเข้าปาก ผูกเสื้อเชิ้ตรอบเอว แล้วมุ่งหน้าเดินลงเชิงเขา

ทันใดนั้น ผมสะดุดตาดอกไม้ป่าสีม่วงที่ชูช่ออยู่บนเชิงลาดริมเขา แต่ใจกลับเต้นตูมตามขณะคุกเข่าลง
มองใกล้ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ สายลมแผ่วพลิ้วสั่นกิ่งไม้เหนือศีรษะขณะลมกระโชกแรง
ผ่านพุ่มยอด “อาจเป็นแนวอากาศพาดผ่าน” ผมนึกในใจและลุกขึ้นเดินต่อ เมื่อหมุนตัวก็เห็นบางอย่างที่ทำ
ให้ต้องหยุดกึกพร้อมกับสันหลังเย็นวาบ สิงห์โตภูเขากำลังนอนแทะกิ่งไม้หรือไม่ก็กระดูกอย่างสบายอารมณ์

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 06, 2024 8:54 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 06, 2024 8:44 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 2 )โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย
: https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)สงครามบนภูเขา

ผมดีใจมากเมื่อพบรอยเท้าสิงโตภูเขาราว 2-3 สัปดาห์ก่อน แต่ที่เห็นห่างไปเพียง 6 เมตรในขณะนี้
เป็นสิงโตมีเลือดเนื้อ จึงรู้สึกลัวจับใจแทนที่จะตื่นเต้นที่ได้เห็นธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ขาสองข้างก้าว
ถอยหลังอย่างเงียบที่สุด มือหนึ่งควานหามีดพกในเป้สะพายหลังเพื่อความอุ่นใจ ขณะที่สัญชาตญาณ
บอกว่าต้องหนีไปให้ไกลที่สุด แต่สมองกลับสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะกลับขึ้นไปบน
ยอดเขาแล้วขว้างหินไล่มันดีไหม หรือวิ่งผ่านหน้ามันไปเลย หรือว่ารอนักเดินทางอื่น ๆ ที่อาจตามมา

สมองคิดไปแต่ตัวก็เตรียมพร้อมสู้เต็มที่ เมื่อเห็นว่าใบมีดของมีดพก (pocketknife) ในมือเล็กเกินไป
ผมจึงรีบดึงใบมีดอันใหญ่กว่าตรงปลายมือถือจับอีกด้านแล้วดึงไขควงที่อยู่ตรงกลางออกมาเตรียมไว้เป็น
อาวุธหลายคม ผมพยายามพับเก็บใบมีดเล็กอย่างเงียบที่สุดพลางเขม้นตาไปที่สิงโตภูเขา จู่ๆก้านไขควง
ก็ดีดเข้าช่องเก็บเสียงดังจนผมใจหาย ตัวลีบเมื่อเหลือบมองไปใต้ต้นไม้ สิงโตไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว มันตกใจ
กระโจนหนีเข้าป่าไปแล้วหรือ

ผมเพ่งมองเข้าไปในพุ่มไม้เห็นเจ้าสิงโตขนาดตัวกว่า 100 ปอนด์เดินมุ่งหน้าเข้ามาหา คนกับสัตว์สบตากัน
ตาของมันส่อแววกระหายเลือด “เราน่าจะถอยออกไปช้า ๆ ดีไหม” ผมถามตัวเอง ถ้าสิงโตอยากครองภูเขา
ก็เชิญเลย ผมแค่อยากกลับลงไปข้างล่าง

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 06, 2024 8:49 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 3 )โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย
: https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)ขน อุ้งเล็บ และเลือด

พอผมถอยหลังไปอีกก้าวก็ถูกพุ่มไม้หนาบังแนวสายตามิด แต่วินาทีนั้นเองสิงโตก็ยืนผงาด
อยู่ตรงหน้าแล้ว ตัวมันสูงกว่าเอวผมเล็กน้อย ดวงตาจ้องเขม็ง ผมหนักเกือบ 60 กิโลกรัมจึงน่าจะเป็น
เหยื่อโอชะที่มันไม่ต้องออกแรงมาก ผมเหลือบไปเห็นที่โล่งและพยายามเดินอ้อมหลังสิงโตไป แต่มัน
ส่งเสียงคำรามเผยเขี้ยวขาวยาวขนาดใหญ่ 4 เขี้ยวและเห็นมันสูดหายใจเข้าเต็มปอด และก่อนที่ผม
จะคิดหาวิธีตอบโต้ สิงโตก็กระโจนเข้าใส่แล้วใช้อุ้งเท้าตะปบใบหน้าผมโครมใหญ่ เราล้มกลิ้งกอดรัด
ฟัดเหวี่ยงไปตามทางเดินจนมาหยุดอยู่ด้วยกันท่ามกลางขนกระจุยกระจาย อุ้งเล็บ และร่างอันโชกเลือด
ของผม

ผมกระโดดลุกขึ้น สิงโตพุ่งเข้าใส่อีกแต่พลาดไปนิดเดียว ผมรีบวิ่งลงเขาและพยายามปัดป้องเจ้าสัตว์
ร้ายด้วยเสื้อผ้าที่ดึงจากเอว จู่ ๆ สิงโตก็หยุดเดิน ผมจึงยืนตั้งหลักเหวี่ยงเป้ใส่มันสุดแรง แต่เจ้าสัตว์ร้าย
ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก พอผมแทงมีดเข้าไปที่หน้า มันก็หลบได้อย่างสบาย

“จะสู้กันใช่ไหม” ผมตะโกนสุดเสียงแบบหลังชนฝา “เข้ามาเลย” ผมวิ่งเหยาะ ๆ ถอยหลัง

สิงโตขยับตัวตามมาติด ๆ บังเอิญบริเวณนั้นทางเดินหักมุมเป็นขั้นบันไดลงไปเกือบเมตร ผมหยุดไม่ทัน
จึงล้มหงายหลังไม่เป็นท่า สิงโตกระโจนเข้าขย้ำซ้ำทันทีที่ร่างผมถึงพื้น

เรากอดรัดฟัดกลิ้งฝุ่นตลบไปตามทางอีกครั้ง ผมเหลือบเห็นฟันเหลืองซี่ยาวห่างจากตาซ้ายเพียง
นิ้วเดียวก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวจมลงบนกะโหลกศีรษะของผม กรามสิงโตคลายตัวเล็กน้อยก่อนจะกัด
ขย้ำซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ถนัดกว่าเดิม เลือดพุ่งกระฉูดลงมาเต็มใบหน้าผม

ผมแทงคอสิงโตด้วยมีดพกแต่ไม่มีเลือดไหล จึงพยายามเงื้อมีดสูงเหนือหัวมันและแทงลงบริเวณ
ต้นคอ 2 ครั้งแต่ก็ยังไม่มีเลือด หัวผมปวดไปหมดเมื่อเขี้ยวสิงโตกัดครูดกะโหลกเป็นทางยาว อุ้งเล็บ
ข้างหนึ่งตะปบเข้าที่หน้าและฉีกหนังบริเวณใต้ตาจนเลือดไหลโกรกออกมาอีก ขณะที่อุ้งเล็บอีกข้างของ
สิงโตตะปบแน่นตรงคอ ปลายเล็บจึงลึกเข้าไปในลำคอ ผมน่าจะเจ็บปวดแสนสาหัสแต่กลับไม่รู้สึกอะไร
ทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 06, 2024 8:54 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 4 )โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย
: https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)ภัยระลองสอง

ผมชะเง้อข้ามหัวสิงโตดูใบมีดในมือ เห็นมันพับลงมาหนีบนิ้วชี้และบาดนิ้วเข้าไปตั้งครึ่ง จึงเอื้อม
มือขวาขึ้นเหนือหัวสัตว์ร้ายเพื่อกางใบมีดออก ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่ามือขวาสัมผัสเข้ากับเบ้าตาสิงโต
แล้วจัดการทิ่มนิ้วโป้งเข้าที่ตาของมันพร้อมกับยกมือซ้ายแทงมีดใส่กะโหลกมันอย่างแรงจนเจ้าสัตว์
ร้ายแผดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะถอนปากออกจากกะโหลกผมและกระโดดถอยหลัง

ผมโงนเงนลุกขึ้นพลางคลำหาทิศทางขณะที่สิงโตยืนมึนห่างออกไป 3 เมตร ผมต้องรีบลงไปยัง
เชิงเขาให้เร็วที่สุดจึงค่อย ๆ ถอยออกมา จากนั้นหมุนตัวกลับแล้ววิ่งลงเขาทั้งที่ตกใจกลัวสุดขีด เลือด
ไหลโชกทั่วตัวและยังอยู่ห่างจากเชิงเขาราว 5 กิโลเมตร แต่ขาก็มุ่งมั่นจะพาร่างลงไปให้ได้

แนวทิวสนข้างหน้าทึบจนดูน่ากลัว หลังลงไปได้ราวครึ่งทาง ผมก็วิ่งก้าวยาวเต็มฝีเท้าและเมื่อ
เหลียวมองด้านหลังก็เห็นสิงโตกลับมาอีกครั้ง สิงโตสะกดรอยตามผมจากต้นไม้ที่อยู่ห่างไกล! ผมตื่น
ตระหนกและสารอะดรีนาลีนก็ทำงานหนักยิ่งขึ้น ผมไม่เหลืออะไรแล้ว การต่อสู้ของผมก็น่าจะจบไปแล้ว
แต่สิงโตกลับมาเพื่อปิดบัญชีหรือ ผมเหลียวมองข้ามไหล่ขวาอีกครั้ง และคิดว่าคงจะได้เห็นการจ้องมอง
ของมันเป็นครั้งสุดท้าย แต่ผมกลับได้เห็นแสงจากสวรรค์เบื้องบนแวบหนึ่ง พระพักตร์ให้อภัยอย่างสันติ
ของพระเจ้าปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

ผมมั่นใจว่าเป็นการเข้าช่วยเหลือของพระเจ้า และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกปลอดภัย ผมรู้สึกสงบสุข
เป็นล้นพ้นและคล้ายกับได้ยินเสียงในสมองพูดว่า “เรายึดตัวเธอไว้แล้ว เธออยากได้โอกาสครั้งที่สอง
ในชีวิตใช่ไหม จงเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อเรา”

ผมไม่มีเรี่ยวแรงสู้ต่อเมื่อเห็นสิงโตหวนตามมาราวี แต่ก็แข็งใจมองกลับไปโดยคิดว่าคงต้องเห็น
เจ้ากรรมนายเวรอีกแน่ ช่างโชคดีเหลือเกินที่ปีศาจร้ายหายตัวไปแล้ว

โปรดติดตามตอนที่ ( 5 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ก.ย. 07, 2024 12:35 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 5 ))โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ
ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย
: https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(at)วิ่งสุดชีวิต

ผมรู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที จึงปั่นเท้าวิ่งลงเขาอย่างรวดเร็ว พอใกล้ถึงเชิงเขาก็เห็นกลุ่มนักเดิน
ห่างออกไปราว 800 เมตร “โทรฯ แจ้งเหตุร้ายให้หน่อย” ผมร้องตะโกนและอ้าปากหายใจ

“ช่วยด้วย” ผมวิ่งตัดโค้งหักข้อศอก 2-3 โค้งก็ไปถึงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ แล้วถลาเข้าหาชายหญิง
ที่อ้าแขนกว้างเตรียมรับร่างผม ในมือซ้ายยังกำมีดซึ่งกรังเลือดและติดขนสิงโต ใบหน้าเต็มไปด้วย
รอย ฉีกถลอกปอกเปิก ผมคงดูน่ากลัวพิลึก

พวกเขาพยายามประคองให้นั่งลงแต่ผมกลับลุกพรวดพราดวิ่งหนีเพราะยังไม่หายตกใจกลัว
ผมวิ่งเต็มฝีเท้าจนหายใจแทบไม่ทัน ตอนโฉบผ่านนักเดินทาง 4 คนซึ่งสวนกันใกล้ยอดเขา
เมื่อ 45 นาทีก่อน ผมเขม้นมองผ่านตากรังเลือดและเงาตะคุ่มของนักเดินทางอีกคนกำลังโผล่เข้ามา
“สิงโต” ผมพยายามพูด “แจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย” เธอหมุนตัวกลับและวิ่งไปที่ศูนย์นักท่องเที่ยว

ขณะเดินโซเซตาเหม่อลอยไปที่จุดต้นทาง ผมรู้สึกว่ามีคนแทรกตัวเข้ามาหิ้วปีก กลุ่มนักเดิน
ไล่ตามทันและช่วยกันพยุงผมไปที่ศูนย์นักท่องเที่ยว ร่างผมทรุดกองลงกับพื้นเมื่อถึงศูนย์ฯ ผู้คน
รอบข้างวิ่งหายามา ปฐมพยาบาล ทันทีที่ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยดังก้องใกล้เขามา
จนอาคารสั่นไหว ผมก็รู้ว่าฝันร้ายทั้งหมดจบลงแล้ว

โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ก.ย. 09, 2024 10:23 pm

จอมอำมหิตแห่งภูเขา ตอนที่ ( 6 ) (ตอนจบ)
โดย Andy Peterson จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2544 และจากวิกิปีเดีย : https://outreach.com/events/christian-s ... erson.aspx

รวบรวมโดย กอบกิจ ครุวรรณ

(@)หมายเหตุ

สิงโตภูเขาทำร้ายแอนดี้ ปีเตอร์สัน เป็นบาดแผลหลายแห่ง หมอต้องเย็บแผลเหวอะหวะ
บริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอกด้านบน ไหล่ ขาขวา และมือซ้าย รวมหลายสิบเข็ม เจ้าหน้าที่แกะรอย
ตามล่าสิงโตภูเขาตัวนั้น 5 วันเต็มแต่ไม่พบ

เหตุการณ์ที่น่าหวาดหวั่นนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของแอนดี้โดยสิ้นเชิง เมื่อหายดีแล้ว แอนดี้ได้มอบชีวิตที่
เหลือตราบที่ยังมีลมหายใจแด่พระเยซูคริสต์และตระหนักถึงสัมพันธภาพที่ดีกับพระองค์ พระผู้ทรง
เข้าช่วยเหลือให้เขารอดปลอดภัย แอนดี้ได้แบ่งปันเรื่องของเขาในรายการโทรทัศน์และนิตยสารชั้น
นำมากมาย เช่น การแสดงของโอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey Show), รายการสด ‘แลร์รี่คิง’
(Larry King Live ), สัตว์โลก (Animal Planet), นิตยสารนิวแมน (New Man Magazine), เครือข่าย
ทรินิตี้กระจายเสียง (TBN), นิตยสารเครือข่ายชีวิตกลางแจ้ง (Outdoor Life Network & Outdoor
Life Magazine) และรีดเดอร์ส ไดเจสท์ (Reader's Digest ) เป็นต้น

นอกจากนั้น แอนดี้ยังได้แบ่งปันเรื่องที่น่าทึ่งของเขาตามโบสถ์ต่าง ๆ เรื่องของเขาเป็นแรง
บันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงชีวิตและหันกลับมาดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระ

“จงอย่ายอมแพ้และเชื่อมั่น ในตัวเองด้วยยึดมั่นในความหวัง สันติสุข และความรักของพระเยซูคริสต์!
(“Never give up and believe in yourself through the hope, peace, and love of Jesus Christ!”)

************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2024 10:47 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต มีทั้งหมด ( 6 )ตอนจบ

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet) ตอนที่ ( 1 )

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เป่ย (Bei) นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง รับโทรศัพท์ที่เพื่อนนักศึกษาชื่อไฉ
(Cai) โทรมาบอกว่า “นายต้องไปเยี่ยมจูหลิง (Zhu Ling) เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่นายจะได้พบเธอ”

จูหลิง เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมกำลังนอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาลปักกิ่งมาได้ 1 เดือนแล้ว
ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2538 เธอเป็นนักศึกษาภาควิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยซิงหัว (Tsinghua University :
มหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของเอเชียในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมเคมีจากการจัดอันดับ
มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดประจำปี 2564 โดย U.S. News and World Report)

จูหลิงมีอาการเวียนศีรษะ เป็นตะคริวที่ท้องอย่างรุนแรงและปวดแสบปวดร้อนตามมือและเท้า จากนั้น
ผมก็ร่วงออกมาเป็นกระจุก พ่อแม่รีบพาเธอไปโรงพยาบาลสหวิทยาลัยการแพทย์แห่งกรุงปักกิ่งหรือ
“PUMC” (Peking Union Medical College) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน
แต่อาการของเธอก็เข้าขั้นโคม่าแล้ว

เป่ยจำได้ว่าจูหลิงเป็นคนน่ารัก ร่าเริง เป็นเซียนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นนักดนตรีที่มี
พรสวรรค์ ตอนนี้เธอกลับต้องมานอนมีสายช่วยหายใจระโยงระยางเต็มไปหมดราวกับผีเสื้อติดใยแมงมุม

“หมอพยายามช่วยทุกวิถีทาง” แม่ของจูหลิงบอกเป่ย ขณะใช้ฟองน้ำเช็ดศีรษะลูกสาว อาการวิงเวียน
และปวดตามมือเท้าและข้อต่อต่างๆ ส่อว่าเป็นความผิดปกติของระบบประสาทหลัก แต่การตรวจน้ำ
ไขสันหลัง เพื่อตรวจหาพิษสารหนูและสารตะกั่วที่จูหลิงอาจได้รับจากห้องปฏิบัติการก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ

แม่ของจูหลิงยังมีความหวังเต็มเปี่ยม แต่เป่ยเชื่อว่าต่อให้หมอเก่งที่สุดในประเทศจีนก็คงช่วยจูหลิงไม่ได้

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2024 10:54 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet)
ตอนที่ ( 2 )

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

คลินิกออนไลน์

“ต้องมีทางช่วยเธอได้ซิน่า” เป่ยพูดกับไฉเพื่อนร่วมห้องเมื่อกลับถึงหอพัก เป่ยแนะว่า
“เราน่าจะลองใช้อินเตอร์เน็ตดู” ไฉเป็นหนึ่งในนิสิตปริญญาตรีไม่กี่คนที่มีที่อยู่ของ
มหาวิทยาลัย สำหรับการรับส่งอีเมลในอินเตอร์เน็ต

ไฉเห็นด้วย เป่ยไล่ไปตามรายชื่อบนจอจนพบกลุ่มข่าว “ไซเม็ด” (sci.med) หลายกลุ่ม
“เราเริ่มจากพวกนี้ก็แล้วกัน” เขาบอก

ตอนบ่ายวันที่ 10 เมษายน 2538 ชายหนุ่มทั้งสองช่วยกันร่างข้อความขอความช่วยเหลือ
เป็นภาษาอังกฤษดังนี้ “นี่คือสารจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งในประเทศจีน ขณะนี้มีนักศึกษาสาววัย
21 ปีคนหนึ่งกำลังป่วยหนักและใกล้เสียชีวิต เธอป่วยเป็นโรคที่วงการแพทย์ที่นี่ไม่เคยพบ
มาก่อน บรรดาแพทย์ใน โรงพยาบาลที่ดีที่สุดของกรุงปักกิ่งไม่อาจรักษาเธอได้ทั้งที่พยายามแล้ว
แพทย์ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเธอเป็นโรคอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงต้องขอความช่วยเหลือ
จากชาวโลก – มีใครบ้างไหมที่จะช่วยเราได้”

เป่ยและไฉสรุปประวัติอาการของจูหลิงและลงท้ายด้วยคำขอร้อง “เราเป็นเพื่อนของจูหลิง
และเรา จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอให้ได้”

เป่ยนั่งอยู่ข้างๆไฉขณะเคาะปุ่มสุดท้ายบนแป้นคอมพิวเตอร์แล้วกดปุ่ม “Enter”
พร้อมกับพูดว่า “ส่งไปแล้ว”

ภายในไม่กี่วินาที สารฉบับนั้นก็วิ่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์และดาวเทียมไปยังคอมพิวเตอร์
เครื่องอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับอินเตอร์เน็ตในโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกตามเส้น
ทางด่วนของข่าวสารนี้

ชายหนุ่มทั้งสองไม่เคยนึกเลยว่า ความพยายามที่จะหาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ให้ช่วย
วินิจฉัยโรค และรักษาผู้ป่วยในโลกไซเบอร์สเปซ (cyberspace) ที่สัมผัสไม่ได้นี้ จะจุดประกาย
การตอบรับจาก นานาชาติอย่างท่วมท้น

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2024 10:58 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet)
ตอนที่ ( 3 ))

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566
รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ผลการวินิจฉัยนั้นน่ากลัว

เย็นวันนั้นที่ห้องทำงานในบ้านที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นายแพทย์จอห์น ดับบลิว. อัลดิส
(Dr. John W. Aldis) วัย 49 ปีกำลังนั่งอยู่หน้าเครื่อง อ่านข่าวสารซึ่งส่งมาจากสมาชิกข่าว
อิเล็กทรอนิกสำหรับผู้เชี่ยวชาญทางด้านอายุรศาสตร์เขตร้อน ทันใดนั้นเขาพบข่าวสารจาก
นักศึกษาชาวจีนสองคนซึ่งส่งต่อมาโดยนายแพทย์ผู้ประสานงานของท็อปเม็ด (TOPMED)
ในต่างเมือง ซึ่งแนะไว้ด้วยว่า “ติดต่อกับผู้ส่งสารโดยตรงน่าจะดีที่สุด”

หมออัลดิสเคยเป็นแพทย์ ประจำสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ โดยประจำการครั้งสุดท้าย
ที่กรุงปักกิ่ง เขารู้จักและเชื่อถือในความสามารถของหมอที่โรงพยาบาลสหวิทยาลัยการแพทย์
แห่งกรุงปักกิ่ง แต่ตอนนี้พวกหมอที่นั่นกลับวินิจฉัยโรคนี้ไม่ได้

เช้าวันรุ่งขึ้น หมออัลดิสยื่นสารของเป่ยซึ่งพิมพ์จากอินเตอร์เน็ตให้นายแพทย์มาร์ติน วูล์ฟ
(Dr. Martin Wolfe) เพื่อนร่วมงานที่กระทรวงการต่างประเทศ “ควรตรวจระดับของแทลเลียม
(thallium) ก่อน” หมอวูล์ฟบอก โดยตั้งข้อสังเกตว่า จูหลิงเป็นนักศึกษาภาควิชาเคมีและอาการ
ผมร่วงอย่างรวดเร็วน่าจะเป็นผลจากการได้รับสารพิษพวกโลหะหนัก

แทลเลียมเป็นโลหะสีขาวแกมน้ำเงินคล้ายตะกั่ว บางครั้งใช้เป็นยาเบื่อหนู หากคนรับ
แทลเลียมเข้าสู่ร่างกาย สารนี้จะสะสมตามเนื้อเยื่อประสาท ทำให้เป็นอัมพาตและตายได้
แต่หมออัลดิสเองไม่เคยพบแทลเลียมเป็นพิษมาก่อน

หมออัลดิสส่งสำเนาสารขอความช่วยเหลือของนักศึกษาชาวจีนไปยังแพทย์ในกระทรวง
การต่างประเทศและสมาชิกอินเตอร์เน็ตคนอื่น ๆ ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ขอให้ช่วยกันหาผู้เชี่ยวชาญ
ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็ว หลายคนตอบกลับมา คืนนั้นหมออัลดิสก็ส่งอีเมลกลับไปกรุงปักกิ่ง
อธิบายว่ามีหมอคนหนี่งคิดว่าอาจจะเป็นอาการของกล้ามเนื้อไม่ทำงานซึ่งเป็นความผิดปกติอย่าง
รุนแรงของระบบคุ้มกันหรืออาจเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็ได้ หมออัลดิสให้ข้อสังเกตว่า การได้
รับสารพิษแทลเลียมอาจทำให้เกิดอาการแบบนี้ได้เช่นกันและยังขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
อาการป่วยด้วย

เป่ยและไฉส่งสารขอความช่วยเหลือไปไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ได้รับคำตอบจากหมออัลดิส
และภายในสองสัปดาห์จากนั้น มีผู้ส่งอีเมลกว่า 600 ฉบับจากทั่วโลกกลับมา
ผลการวินิจฉัยที่ได้รับนั้นน่าเป็นห่วง

“ควรทดสอบหาสารพิษแทลเลียมในตัวผู้ป่วย” อายุรแพทย์ซึ่งเกษียณแล้วจากกรุงแคนเบอร์ร่า
ประเทศออสเตรเลียย้ำ นอกจากนั้นยังมีนายแพทย์ท่านหนึ่งจากนครชิคาโกเห็นด้วยและเสริมว่า
น่าจะเอาเส้นผม เล็บ และปัสสาวะของจูหลิงมาวิเคราะห์ด้วย

โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:16 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet)
ตอนที่ ( 4 )

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นายแพทย์ท่านหนึ่งจากเมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ สงสัยว่าจูหลิงอาจถูกคนวางยาโดยเจตนา
ข้อสงสัยนี้มีแพทย์หลายท่านสนับสนุนด้วยเช่นกัน

หมออัลดิสติดตามข่าวคราวเรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ต และได้รับการติดต่อจากเป่ยและไฉในวันที่
18 เมษายนซึ่งท่านรู้สึกแปลกใจมากกับคำตอบทางอีเมลที่ได้รับว่า คณะแพทย์ที่กรุงปักกิ่งไม่เชื่อว่า
อาการป่วยของจูหลิงเป็นเพราะรับสารจากโลหะหนัก

นายแพทย์หลี่ (Dr. Li) หัวหน้าแพทย์ทางประสาทวิทยาและนายแพทย์เฉิน (Dr. Chen) หัวหน้า
หน่วยรักษาผู้ป่วยอาการหนัก เป็นผู้ดูแลไข้ของจูหลิง แพทย์ทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิต
ของเธอ และไม่มีเวลาอ่านอีเมลหลายสิบฉบับที่พ่อแม่ของจูหลิงนำมาให้

ที่สุดหมออัลดิสก็ต่อโทรศัพท์ถึงหมอเฉิน ทำให้แพทย์ชาวจีนผู้นี้รู้สึกระอากับเป่ยและไฉจนถึงกับ
พูดขึ้นว่า “นักศึกษาพวกนี้ชอบสร้างปัญหาจริง ๆ”

“หมอเฉินครับ” หมออัลดิสพูดเรียบ ๆ “นักศึกษาไม่ใช่ตัวปัญหาครับ คนป่วยต่างหากที่เป็นปัญหา”

หมอเฉินยืนยันกับหมออัลดิสว่า บรรดาแพทย์ได้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตของจูหลิง และแนะนำ
ให้หมออัลดิสติดต่อกับหมอหลี่ซึ่งเป็นแพทย์ทางประสาทวิทยา หมออัลดิสจึงส่งแฟกซ์ไปถึงเป่ยเพื่อ
ให้นำไปให้ หมอหลี่ เนื้อหาของแฟกซ์คือจำเป็นจะต้องตรวจสอบหาสารพิษแทลเลียม

เป่ยและไฉจึงนำแฟกซ์ที่ได้รับไปให้พ่อแม่ของจูหลิงซึ่งคะยั้นคะยอให้หมอตรวจหาสารพิษแทลเลียม
และถึงกับตกใจเมื่อทราบว่าห้องปฏิบัติการของสหวิทยาลัยฯ ไม่มีเครื่องมือตรวจสอบโลหะหนักชนิดนี้

พ่อแม่ของจูหลิงยืนยันให้นำตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ ผมและเล็บของลูกสาวไปให้ศาตราจารย์หยาง
ตรวจที่สถาบันอนามัยแรงงานและโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพในกรุงปักกิ่ง
(Beijing Institute of Labor Hygiene and Occupational Diseases)

โปรดติดตามตอนที่ ( 5. )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:20 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet)
ตอนที่ ( 5 )

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เหงื่อสีน้ำเงิน

ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซินหลีนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยวัย 27 ปีที่คณะแพทยศาสตร์
ของยู.ซี.แอล.เอ.กำลังอ่านอีเมลในคอมพิวเตอร์และเห็นข่าวจากกลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจีน
แห่งหนึ่งเกี่ยวกับสารขอความช่วยเหลือของเป่ยว่า “โปรดอ่านและส่งต่อไปยังคนอื่นให้มากที่สุด
เท่าที่จะทำได้ เด็กสาวคนนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด”

ซินหลีจบจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีนก่อนมาทำปริญญาเอกที่ยู.ซี.แอล.เอ. เขากำลัง
พัฒนาเทคนิคทางคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ส่งภาพสำหรับการแพทย์จากพื้นที่ห่างไกลไปยังศูนย์การแพทย์
เป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาใหม่ที่เรียกว่าการแพทย์ทางไกล เขาจึงรีบส่งอีเมลไปหาเป่ยและไฉทันที
ขอให้รายงานอาการของจูหลิงให้เขาทราบตลอดเวลา

เสียงโทรศัพท์ปลุกซินหลีจนสะดุ้งตื่นตอน 6.00 น.ของวันที่ 28 เมษายน เป่ยตะโกนมาตามสายว่า
“จูหลิงได้รับสารพิษแทลเลียมจริง ๆ” พ่อแม่ของจูหลิงเพิ่งได้รับรายงานจากห้องแล็บว่า ระดับแทลเลียม
ในร่างกายของเธอนั้นสูงกว่าปกติถึง 1,000 เท่า

เป่ยกล่าวว่า แพทย์ที่สหวิทยาลัยฯ ต้องการใช้ยาแก้สารพิษบริติชแอนติลูไซต์
(BAL : British anti-Lewisite ) รักษาจูหลิง ยานี้คิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับแก้อาการ
ที่เกิดจากแก๊สพิษ “แต่ในปักกิ่งเรามียานี้ไม่มากพอ ต้องหายานี้จากเมืองอื่น”

ซินหลีขอคำแนะนำจากนายแพทย์หัวหน้าภาควิชาของเขาซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่บุกเบิกวิชาการแพทย์ทาง
ไกลของอเมริกา ซึ่งให้คำแนะนำว่า “เราต้องติดต่อ ดร.อโศก (Dr. Ashok) นักพิษวิทยามือหนึ่งช่วยซึ่ง
ทำงานอยู่ที่ศูนย์สารนิเทศเกี่ยวกับยาพิษและยาเสพติดแห่งลอสแอนเจลิส
(L.A. County Poison and Drug Information Center)”

โปรดติดตามตอนที่ ( 6 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:23 pm

อินเตอร์เน็ตช่วยชีวิต (Rescue on the Internet)
ตอนที่ ( 6 )(ตอนจบ)

โดย Malcolm McConnell จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2539
และจากกูเกิ้ล 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นายแพทย์อโศก ผู้อำนวยการร่วมของศูนย์นี้อธิบายว่า “ยา BAL ใช้รักษาพิษที่เกิดจากแทลเลียม
ไม่ได้ การรักษาที่ถูกต้องนั้นจะต้องให้ผู้ป่วยรับประทานสีย้อมผ้าที่เรียกว่า ปรัสเซียนบลู แล้วกรอง
เลือดที่เป็นพิษในร่างกายโดยการล้างไต รวมทั้งต้องฉีดโพแทสเซียมคลอไรด์ทางเส้นเลือดด้วย
(Prussian Blue, dialysis, and intravenous potassium chloride)”

ซินหลีส่งแผนการรักษาผ่านอีเมลไปถึงหมออัลดิส จากนั้นหมออัลดิสก็รีบส่งแฟกซ์รายละเอียด
วิธีรักษาไปให้เพื่อนที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่งและให้รีบส่งต่อไปยังโรงพยาบาล

|สองคืนต่อมา ซินหลีช่วยถ่ายทอดคำถามจากหมอที่สหวิทยาลัยฯ ไปยังนักพิษวิทยาชาวอเมริกัน
เช่น ปรัสเซียนบลูจะต้องมีความบริสุทธิ์เท่าใด การล้างไตซึ่งเสี่ยงอันตรายนั้นจำเป็นหรือไม่ ฯลฯ
ซินหลีเน้นว่า แพทย์ชาวอเมริกันล้วนสรุปตรงกันว่า “ต้องเริ่มรักษาด้วยปรัสเซียนบลูทันที”

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว ระดับแทลเลียมในตัวจูหลิงก็เริ่มลดลง และ 10 วันต่อมาก็ไม่พบ
แทลเลียมจากน้ำไขสันหลังของเธออีก แม่ของจูหลิงซึ่งกำลังเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงถึงกับตกใจเมื่อเห็น
เม็ดเหงื่อสีน้ำเงินเหลือบผุดขึ้นบนใบหน้าของลูกสาว แต่นักพิษวิทยาที่นิวยอร์กอธิบายว่า เป็นเพราะ
ปรัสเซียนบลูส่วนหนึ่งถูกขับออกมาทางเหงื่อ

จูหลิงค่อย ๆ ฟื้นตัวจากโคม่าทีละน้อย จนในที่สุดวันที่ 31 สิงหาคม 2538 แม่ของเธอเริ่มเห็น
มือลูกสาวกระดุกกระดิกเล็กน้อย

“หลิง หลิง” แม่เรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตัน “รู้สึกตัวแล้วหรือลูก” ลูกหลิงบีบนิ้วแม่แทนคำตอบ

***********************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 03, 2024 8:37 pm

สัมผัสแห่งรัก มีทั้งหมด ( 2 ) ตอนจบ

สัมผัสแห่งรัก ตอนที่ ( 1 )

โดย Nancy Sheehan เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2539
และจากกูเกิ้ล 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

บริแอลและไครี่ (Brielle and Kyrie) ลูกสาวฝาแฝดของเฮดี้และปอล แจ็กสัน
(Heidi and Paul Jackson) เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2538 ก่อนกำหนด 12 สัปดาห์ โดยทั่วไป
โรงพยาบาล ต้องแยกฝาแฝดที่คลอดก่อนกำหนดเข้าตู้อบคนละตู้เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
ทารกน้อยทั้งสองจึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ในแผนกดูแลเด็กแรกเกิดที่ศูนย์การแพทย์เซ็นทรัล
แมสซาชูเซ็ตต์ (The Medical Center of Central Massachusetts)ในเมืองวุสเตอร์ (Worcester)

ไครี่หนัก 962 กรัมและน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังหลับง่ายตามประสาเด็กแรกเกิด
แต่บริแอลซึ่งหนักเพียง 906 กรัมเมื่อแรกคลอดมีอาการไม่สู้ดีนัก เธอหายใจลำบากและหัวใจเต้น
ผิดปกติ ออกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับต่ำและน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นช้ามาก

จนกระทั่งในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2538 บริแอลอาการทรุดหนัก เธอเริ่มอ้าปากหายใจ ส่วนใบ
หน้าและแขนขาที่ผอมแห้งอยู่แล้วก็เริ่มซีดเขียว หัวใจเต้นถี่และมีอาการสะอึก ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายเตือน
ว่า ร่างกายอยู่ในภาวะกดดันมาก พ่อแม่ต่างเฝ้าดูลูกน้อยด้วยความวิตก เกรงว่าเธอจะเสียชีวิตในไม่นาน

เกล คาสพาเรียน (Gayle Kasparian) นางพยาบาลพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตบริแอล
เธอดูดเสมหะจากทางเดินหายใจและเพิ่มปริมาณออกซิเจนหมุนเวียนในตู้อบ แต่บริแอลยังคงดิ้นกระสับ
กระส่าย ร่างกายรับออกซิเจนได้น้อยลงขณะที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น

และแล้วนางพยาบาลคาสพาเรียนก็จำได้ว่า เธอเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดถึงกระบวน
การให้เด็กฝาแฝดแรกคลอดโดยเฉพาะเด็กคลอดก่อนกำหนดนอนด้วยกัน ซึ่งในยุโรปบางแห่งทำกันจนเ
ป็นเรื่องธรรมดา แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันนักในอเมริกา

ระหว่างนั้น ซูซาน หัวหน้าพยาบาลกำลังติดประชุมอยู่ที่อื่น การย้ายเด็กแฝดมาอยู่ในตู้อบเดียวกัน
เป็นเรื่องที่ทางศูนย์ฯไม่เคยทำมาก่อน แต่คาสพาเรียนตัดสินใจที่จะเสี่ยง

“ลองอุ้มบริแอลเข้าไปอยู่กับพี่สาวนะคะเผื่อจะช่วยได้” คาสพาเรียนบอกพ่อแม่เด็ก “ไม่รู้เหมือนกันว่า
จะทำอะไรอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ค่ะ”

เฮดี้และปอลตอบตกลงทันที คาสพาเรียนจึงอุ้มเด็กน้อยที่กำลังดิ้นเข้าไปไว้ในตู้อบเดียวกับพี่สาวที่
ถูกแยกจากกันตั้งแต่คลอด จากนั้นคาสพาเรียนก็มายืนเฝ้าดูพร้อมกับสองสามีภรรยา

พอปิดประตูตู้อบ ทั้งสามก็เห็นบริแอลขยับตัวเข้าไปแนบกับไครี่และหยุดดิ้นในทันที ไม่กี่นาทีจากนั้น
ปริมาณออกซิเจนในเลือดของบริแอลก็มาอยู่ในระดับดีที่สุดนับแต่เธอเกิดมา เมื่อเธองีบหลับ ไครี่เอาแขน
น้อย ๆ โอบคู่แฝดที่ตัวเล็กกว่าไว้

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 05, 2024 10:31 pm

สัมผัสแห่งรัก ตอนที่ (2) (ตอนจบ)

โดย Nancy Sheehan เรื่องจริงจากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนตุลาคม 2539
และจากกูเกิ้ล 2566 รวบรวมและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ช่างบังเอิญที่การประชุมซึ่งซูซาน หัวหน้าพยาบาลเข้าร่วมนั้น มีการบรรยายถึงการให้ฝาแฝดนอน
อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกเกิด

“ฉันอยากให้ศูนย์ของเรานำวิธีนี้มาใช้บ้าง” เธอคิด แต่คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำกันมานาน
ครั้นเมื่อเธอกลับมาและเริ่มออกเดินตรวจตามตึก พยาบาลที่เข้าเวรดูแลฝาแฝดเช้านั้นชี้ให้เธอดู
พร้อมกับพูดว่า

“ดูพี่น้องคู่นั้นสิคะ”

“ไม่อยากเชื่อเลย” ซูซานถึงกับอุทาน “ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”

“หมายความว่า เราทำแบบนี้ได้หรือคะ”

“ทำได้สิ” ซูซานตอบ

ทุกวันนี้ โรงพยาบาลบางแห่งในอเมริกาได้นำวิธีการนี้มาใช้ ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาที่เด็กต้องอยู่
ในโรงพยาบาลลงได้ วิธีนี้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น แม้จะยังไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย
จนกระทั่งเดือนมกราคม 2537

แต่เฮดี้และปอล แจ็กสัน ไม่ต้องการการศึกษาวิจัยใดๆมาพิสูจน์ว่าการให้ลูกนอนด้วยกันช่วยชีวิต
บริแอลได้ หลังจากฝาแฝดอยู่ในโรงพยาบาล 2 เดือน แพทย์ก็อนุญาตให้เฮดี้และปอลรับลูกกลับบ้านได้
โดยยังคงให้ทั้งคู่นอนด้วยกัน และซุกตัวให้ความอบอุ่นแก่กันเสมอ

หมายเหตุ

ในปี 2555 บริแอลและไครี่ อายุ 17 ปี มีการแพร่ภาพของทั้งสองขณะเป็นทารกซึ่งถ่ายในปี 2538
โดย Chris Christo บรรณาธิการภาพถ่ายของ Telegram & Gazette. ภาพดังกล่าวกลายเป็น “ไวรัล”
ทางอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็วแลปรากฏในหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั่วโลก รวมทั้งมีการพิมพ์เต็มหน้า
ในนิตยสาร Life ผู้คนจำนวนมากโทรศัพท์สอบถามเรื่องราวกับไฮดี้กับปอลพ่อแม่ของฝาแฝดจนไฮดี้
กับปอลต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์

ทุกวันนี้ (1967) ฝาแฝดทั้งสองมีความสุขและสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าคนหนึ่งจะถนัดซ้ายและ
อีกคนก็ถนัดขวาก็ตาม

“ทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน”
ปอล แจ็คสัน กล่าว

หลังจากที่แฝดทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ไฮดี้ แจ็กสันซึ่งก่อนให้กำเนิดฝาแฝดไม่สนใจเรื่องสุขภาพ
และการรักษาโรคมากนัก เธอได้สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนพยาบาล และปัจจุบันทำงานเป็นพยาบาล
ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล Heywood เมืองการ์ดเนอร์ (Gardner) รัฐแมสซาชูเซ็ตต์

************************
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 19, 2025 11:53 pm

เดม่อนและไพเธียส : บททดสอบมิตรภาพ
ตอนที่ ( 1 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Damon and Pythias, and the Test of Friendship"
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เดม่อน (Damon) และไพเธียส (Pythias) เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองอาศัยอยู่ในเมืองซีราคิวส์
(Syracuse) และเป็นผู้แสวงหาความจริง ในทางกลับกัน ไดโอนิซิอัส (Dionysius) กษัตริย์ของ
พวกเขาเป็นเผด็จการ ไพเธียสเรียกพระองค์ว่าคนใจร้ายและวิจารณ์พระองค์ในทางเสื่อมเสีย
อยู่เนืองๆ ที่สุดเรื่องนี้ก็ทราบไปถึงพระกรรณของพระองค์ ผลก็คือพระองค์กริ้วมากและตรัสว่า

“ไพเธียสจะต้องถูกลงโทษด้วยการแขวนคอ”

ณ ที่ทำการของศาลสถิตยุติธรรมของกษัตริย์ไดโอนิซิอัส กษัตริย์ไดโอนิซิอัสประทับนั่งบนบัลลังก์
ไพเธียสถูกมัดมือไขว้หลังยืนอยู่ด้านหน้าบัลลังก์ศาล มีทหารยืนกระหนาบอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา

ไพเธียส: ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ขอพระบรมราชานุญาตไปเยี่ยมแม่ผู้ชราและน้องสาวก่อนจะถูก
ประหารชีวิตพะยะค่ะ ทั้งนี้เพราะข้าพระองค์ต้องไปทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนงานช่วยงานแต่งงานของ
น้องสาวและข้าพระองค์จะขอไปลาคุณแม่ที่รักเป็นครั้งสุดท้ายด้วย ทันทีที่เสร็จธุระ ข้าพระองค์จะรีบ
กลับมารับโทษโดยไม่บิดพริ้ว นี่คือคำขอร้องสุดท้ายของข้าพระองค์พะยะค่ะ

กษัตริย์ไดโอนิซิอัส: ข้าเกรงว่าจะอนุญาตให้ไม่ได้ เพราะข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านจะกลับมารับโทษ?

เดม่อนเดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดี

เดม่อน: ข้าพระองค์มีนามว่าเดม่อนและเป็นเพื่อนรักที่ซื่อสัตย์ของไพเธียส ข้าพระองค์วิงวอนขอพระองค์
ได้โปรดปล่อยไพเธียสไปทำภารกิจตามคำขอสุดท้ายของเขาโดยที่ข้าพระองค์ยินดีถูกขังอยู่ภายใต้
พระราชอำนาจของพระองค์จนกว่าเขาจะกลับมาพะยะค่ะ

กษัตริย์ไดโอนิซิอัส: ตกลงตามนั้น แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือ ข้าเป็นผู้กำหนดวันและเวลาการกลับมาของเขา
และถ้าไพเธียสไม่กลับมาตามกำหนดเวลา เดม่อนจะต้องถูกประหารชีวิตแทน

เมื่อไพเธียสได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เขารีบจัดการเรื่องงานแต่งงานของน้องสาวจนเสร็จ
เรียบร้อยและหลังจากได้ร่ำลาเป็นครั้งสุดท้ายกับคุณแม่แล้ว เขาพยายามรีบเดินทางกลับมาที่ศาลตาม
กำหนดวันเวลานัดของกษัตริย์ฯ แต่การเดินทางขากลับเกิดอุปสรรคมากมายทำให้ไม่สามารถกลับมาทัน
ได้ทันเวลาของวันที่นัดหมาย และดังนั้นเดม่อนจึงถูกศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

โปรดติดตามตอนที ( 2 )ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พุธ ก.พ. 19, 2025 11:56 pm

เดม่อนและไพเธียส : บททดสอบมิตรภาพ ตอนที่ ( 2 ) ตอนจบ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “Damon and Pythias, and the Test of Friendship”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เดม่อนกับกษัตริย์ในห้องพิจารณาคดี

กษัตริย์ไดโอนิซิอัส: เดม่อนเพื่อนของท่านหายหัวไปไหนล่ะ? เขาคงทอดทิ้งท่านไว้ที่นี่เพื่อให้ตายแทน
เขาเป็นแน่ ข้าแน่ใจว่าเขาจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอย่างแน่นอน ท่านถูกเพื่อนรักหลอกแล้ว

เดม่อน: แต่ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเข้าพระทัยเพื่อนข้าพระองค์ผิด ข้าพระองค์มั่นใจว่าไพเธียส
รักษาคำพูดของเขา เขาต้องพยายามกลับมาตามกำหนดเวลาอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากเขากลับมาไม่ทัน
ด้วยเหตุจำเป็นบางประการ ข้าพระองค์ยินดีถูกประหารชีวิตแทนเขาเพราะข้าพระองค์รักเพื่อนคนนี้มากพะยะค่ะ

(ไพเธียสรีบวิ่งเข้ามาในห้องพิจารณาคดีและยืนหายใจกระหืดกระหอบอยู่)

ไพเธียส: ข้าพระองค์กลับมาแล้วโปรดอย่าได้ประหารชีวิตเดม่อนพะยะค่ะ
(เดม่อนโผเข้ากอดไพเธียสและร้องไห้) ข้าพระองค์กลับมารับโทษประหารชีวิตแล้ว
โปรดแขวนคอข้าพระองค์ได้เลยพะยะค่ะ

เดม่อน: ขอได้โปรด.. ขอได้โปรด... ขอได้โปรดแขวนคอข้าพระองค์เถิดเพราะไพเธียสเพื่อนรักมาถึงช้า
กว่ากำหนดเวลาพะยะค่ะ

(ไพเธียสและเดม่อนต่างต่อสู้กันพักใหญ่เพื่อแย่งกันถูกแขวนคอ)

กษัตริย์ไดโอนิซิอัส: ตลอดชีวิตข้าไม่เคยเห็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นนี้มาก่อนเลย ท่านทั้งสองรักษา
คำมั่นสัญญาไว้ด้วยชีวิต ข้าประทับใจมากที่ได้ประจักษ์แจ้งว่า มิตรภาพที่เหนียวแน่นเช่นนี้มีอยู่จริงในโลก
ข้าจึงเต็มใจจะปล่อยท่านทั้งสองเป็นอิสระ!

---------------------------------
จบบริบูรณ์
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 11, 2025 5:30 pm

เรื่อง ไฮดี้ มีทั้งหมด ( 3 ) ตอนจบ

ไฮดี้ ตอนที่ ( 1 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Story of Heidi”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

นานมาแล้วมีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อไฮดี้ เธอกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อยและอยู่ในความดูแล
ของป้ามาตลอด วันหนึ่งป้าพาไฮดี้ไปหาปู่ของเธอชื่ออาล์ม (Alm) ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ
บนเทือกเขาแอลป์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากป้าแนะนำไฮดี้รู้จักกับปู่ของเธอเป็นครั้งแรกแล้ว
ป้าจึงบอกไฮดี้ว่า “ป้าเพิ่งได้งานใหม่ในเมือง ดังนั้นนับแต่นี้ต่อไปหนูจะต้องอยู่กับปู่นะ” พอพูดเสร็จ
ป้าก็มอบไฮดี้ให้อยู่ในความดูแลของปู่อาล์ม

ปู่ดีใจที่มีหลานสาวมาอยู่ด้วยเพราะท่านรู้สึกเหงาที่อยู่คนเดียวในดินแดนที่เป็นภูเขาสูงที่
ห่างไกลตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน หลังจากไฮดี้อยู่กับปู่ได้ไม่กี่วัน ไฮดี้ก็ปรับตัวได้และรู้สึก
สบายใจมากขึ้นในความดูแลของปู่ ทั้งสองเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน

นอกจากนั้นปู่อาล์มยังเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ชื่อโจเซฟซึ่งไฮดี้ก็รักมันมากเช่นกัน ไฮดี้จึงมีความสุขมากที่
ได้อยู่กับธรรมชาติที่เป็นภูเขาสูงและหุบเขา ตั้งแต่วันแรกที่ไฮดี้อยู่กับปู่ ไฮดี้ยังได้ทำความรู้จักกับปีเตอร์
ซึ่งเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่พาแกะมาเลี้ยงในทุ่งหญ้าไม่ไกลจากบ้านของปู่อาล์ม ปีเตอร์สอนไฮดี้ถึงวิธีเลี้ยงแกะ
ที่ถูกต้อง หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันเลี้ยงแกะด้วยกัน

การใช้ชีวิตในบรรยากาศของภูเขาลำเนาไพรได้พัฒนานิสัยที่ดีของไฮดี้ ทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ ไฮดี้ช่วย
ปู่ทำงานบ้านอย่างแข็งขัน เธอชอบอบขนมปังในเตาอบ และนำขนมปังอบส่วนหนึ่งไปให้ยายของปีเตอร์
ซึ่งก็จะมอบนมแพะสดให้เธอเป็นการตอบแทนทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ไม่นานต่อมา ปีเตอร์ต้องไปโรงเรียนทุกเช้า ไฮดี้รู้สึกเบื่อและเหงา ป้าของเธอที่ทำงาน
ในเมือง เมื่อทราบเรื่องก็ตัดสินใจจะพาเธอไปอยู่ในเมืองด้วยเพื่อจะสอนหนังสือให้ไฮดี้ที่บ้านและให้ไฮดี้
มีโอกาสเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวเมืองด้วย ปู่อาล์มไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่ที่สุดปู่ก็ตระหนักว่าความคิด
เห็นของป้าน่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับหลานสาว ตัวไฮดี้เองก็ไม่อยากไปจากปู่และไปจากชีวิตความ
เป็นอยู่กับธรรมชาติ แต่ป้าให้สัญญาว่าจะให้เธอไปอยู่ในเมืองระยะหนึ่งเท่านั้น
และจะพาเธอกลับอยู่กับปู่อาล์มอีก
โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 8:45 pm

ไฮดี้ ตอนที่ ( 2 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Story of Heidi”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ไฮดี้กับป้าเดินทางโดยรถไฟและไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมือง ซึ่งไฮดี้ได้ทำความรู้จัก
กับคลาร่า เด็กสาวคนหนึ่งในบ้านซึ่งพิการเดินไม่ได้หลังจากประสบอุบัติเหตุตั้งแต่เด็ก วัตถุประสงค์อีก
อย่างหนึ่งของป้าที่พาไฮดี้มาที่นี่ก็เพื่อให้คลาร่ามีเพื่อน และไม่นานต่อมาไฮดี้และคลาร่าก็เป็นเพื่อนรักกัน

เนื่องจากไฮดี้ยังใหม่ต่อชีวิตในเมือง เธอจึงทำเรื่องไร้สาระอยู่บ่อย ๆ เป็นที่ขบขันของคลาร่า อย่างไร
ก็ตามยายของคลาร่าเป็นคนเข้มงวดมาก ไฮดี้จึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเรียนรู้มารยาทของคนเมืองที่เหมาะสม
เธอบังคับให้ไฮดี้ใส่เสื้อผ้าแบบคนเมืองและสอนให้เธอรู้จักวิธีการเดินและการใช้คำพูดแบบคนเมือง หลัง
จากไฮดี้ถูกฝึกให้ใช้วิถีชีวิตแบบชาวเมืองได้ไม่นาน ไฮดี้ก็รู้สึกอึดอัดมากและอยากจะกลับไปอยู่กับปู่อีก
คลาร่ารู้สึกเสียใจมากที่ไฮดี้จะจากไป แต่เนื่องจากไฮดี้ไม่มีความสุขจริง ๆ กับวิถีชีวิตแบบคนเมืองใน
คฤหาสน์หรูหราหลังนี้ ที่สุดจึงมีการตกลงกันว่า จะพาคลาร่าไปเยี่ยมไฮดี้ที่บ้านปู่บนภูเขาสูงเป็นครั้งคราว
แล้วทุกคนก็ร่ำลาจากกัน

ไฮดี้มีความสุขมากที่ได้กลับมาอยู่บนภูเขากับปู่อีกครั้งหนึ่ง สิ่งแรกที่เธอทำคือไปที่บ้านของปีเตอร์
เพื่อมอบขนมปังที่ยายของคลาร่าฝากมาให้ จากนั้นเธอก็วิ่งไปหาปู่อาล์มและกอดปู่ไว้แน่น ทั้งสองดีใจมาก
ที่ได้พบกันอีก แต่สิ่งที่ไฮดี้มีความสุขมากที่สุดเกิดขึ้นในสัปดาห์ต่อมาเมื่อไฮดี้ได้รับจดหมายจากคลาร่าที่
บอกว่าเธอจะไปเยี่ยมไฮดี้และทำความรู้จักกับทุกคนที่ไฮดี้รู้จักที่นั่นในเร็ว ๆ นี้

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 8:49 pm

ไฮดี้ ตอนที่ ( 3 ) ตอนจบ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Story of Heidi”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

และวันที่ไฮดี้รอคอยก็มาถึงเมื่อคลาร่านั่งอยู่ในรถเข็นเดินทางมาพักอยู่กับเธอที่บ้านปู่อาล์ม
บนภูเขา สุขภาพของคลาร่าดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกวันเธอได้กินอาหารสดใหม่ ได้อยู่กับธรรมชาติ
ที่น่าอภิรมย์และอากาศบริสุทธิ์ คลาร่าทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ของไฮดี้โดยเฉพาะปีเตอร์เด็กเลี้ยงแกะ
ที่คลาร่ารู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามปีเตอร์กลับรู้สึกเป็นกังวลกลัวว่าคลาร่ากับไฮดี้สนิท
กันมากจนอาจจะทิ้งเขาไปและกลับไปอยู่ในเมืองอีก ความคิดนี้ทำให้ปีเตอร์เริ่มทำตัวเหินห่างจากคลาร่า
นอกจากนั้น ปีเตอร์ยังไม่ชอบทำหน้าที่เป็นคนช่วยเข็นรถวีลแชร์ของคลาร่าอยู่เกือบทั้งวันอีกด้วย

วันหนึ่ง ปีเตอร์ตัดสินใจยุติปัญหานี้ด้วยการผลักรถเข็นของคลาร่าให้ตกลงจากหน้าผาโดยทำให้
ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ แต่สิ่งที่ปีเตอร์ไม่รู้คือ ถึงตอนนั้นคลาร่ามีสภาพร่างกายที่
แข็งแรงขึ้นมากและสามารถเดินเองได้บ้างแล้วโดยไม่ต้องนั่งรถเข็น ดังนั้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่
ร้ายแรงนักเพราะคลาร่าสามารถเกาะก้อนหินขณะตกจากรถเข็นและปีนกลับขึ้นมาอยู่ที่เดิมได้

สิ่งที่ปีเตอร์ไม่รู้อีกอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่คลาร่ามาพักอยู่ด้วยกันกับไฮดี้ที่บ้านปู่ ทุกวันหลังอาหารเช้า
ไฮดี้ช่วยคลาร่าหัดเดินทีละน้อย ๆ และภายในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา คลาร่าก็พอจะเดินได้เองโดยไม่มีใครช่วย
และสัปดาห์ต่อมาก็ถึงวันที่คลาร่าประกาศว่า "ฉันเดินเองได้แล้ว! ฉันเป็นหนี้บุญคุณไฮดี้จริง ๆ!”

หลังจากที่คลาร่ามาพักอยู่กับไฮดี้ได้ประมาณ 3 เดือน พ่อและยายของคลาร่าก็มาเยี่ยมเธอ ทั้งสอง
แทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นคลาร่าเดินเองได้! พวกเขาขอบคุณปู่อาล์มและไฮดี้เป็นอย่างมากกับอัศจรรย์
ที่เกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า...

หลังจากนั้น ปีเตอร์ก็เข้ามาสารภาพผิดกับคลาร่าต่อหน้าไฮดี้ และขอให้เธอยกโทษให้ ซึ่งคลาร่า
ก็ได้ให้อภัยด้วยความเต็มใจและทุกคนก็กลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันอีกครั้งหนึ่ง

------------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 8:53 pm

เรื่อง สาวขี้เกียจและสาวขยัน มีทั้งหมด ( 3 ) ตอนจบ


สาวขี้เกียจและสาวขยัน ตอนที่ (one)
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Lazy Girl and The Diligent Girl”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่ง มีสาวขยันคนหนึ่งซึ่งพ่อม่ายของเธอแต่งงานใหม่กับแม่ของสาวขี้เกียจ จากนั้นแม่เลี้ยง
ก็ส่งสาวขยันซึ่งเป็นลูกติดพ่อออกไปหางานทำนอกบ้าน สาวขยันจึงออกจากบ้านไปหางานทำ เธอทำงาน
แรกเมื่อพบต้นไม้ระหว่างทางเดินต้นหนึ่งซึ่งขอให้เธอช่วยเอากิ่งก้านที่แห้งออกจากลำต้น เธอก็จัดการเอา
กิ่งก้านที่แห้งออกจนหมดด้วยความยินดีก่อนจะเดินทางต่อไป

ไม่นานต่อมา เธอก็มาถึงต้นไม้อีกต้นหนึ่งในสวนองุ่นซึ่งก็ขอให้เธอช่วยทำความสะอาดกิ่งก้าน
ทั้งหมดให้ด้วย แม้ว่างานครั้งนี้ยากกว่างานของต้นไม้ต้นแรกและเธอก็ยังเหนื่อยอยู่ แต่เธอก็ทำงานนี้
ได้เรียบร้อยเช่นกัน

หลังจากนั้นเธอก็พบเตาอบเก่าที่ชำรุดซึ่งขอให้เธอช่วยทำความสะอาดและซ่อมส่วนที่ชำรุดให้
เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยเธอก็เดินต่อไปและพบสุนัขสกปรกตัวหนึ่งซึ่งขอให้เธอช่วยทำความสะอาดเนื้อตัวให้
เธอใช้น้ำล้างคราบโคลนที่สกปรกออกจนหมด แม้ว่าในการทำความสะอาดครั้งนี้จะทำให้เนื้อตัวเธอเปียก
โชกไปทั่วก็ตาม

เธอยังคงเดินต่อไป และที่สุดก็ไปพบกับคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางฟ้าหลังหนึ่ง นางฟ้ายื่น
ข้อเสนอให้เธอเป็นคนทำความสะอาดในคฤหาสน์หลังนั้นนั้นเป็นเวลาหนึ่งปี เหล่านางฟ้าที่นั่นกล่าวกับเธอว่า

“คฤหาสน์หลังนี้มี 7 ห้อง ให้เธอทำความสะอาดเพียง 6 ห้อง และห้ามเข้าไปในห้องที่ 7 เป็นอันขาด”

สาวขยันตอบตกลงและเริ่มทำความสะอาดอย่างดีตามเงื่อนไขจนครบกำหนดเวลา 1 ปี จากนั้นเธอก็
ขอกลับบ้าน เหล่านางฟ้าจึงไขกุญแจเปิดห้องที่ 7 และพบว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยทองคำและเงิน นางฟ้า
บอกจะให้ค่าจ้างทำงานของเธอโดยให้เธอนอนคืนนั้นบนกองทองคำและกองเงินในห้องนั้น และทองคำกับ
เงินทั้งหมดที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าของเธอในตอนเช้าเมื่อเธอตื่นนอน ก็คือรางวัลและค่าจ้างการทำงาน
ตลอด 1 ปีของเธอ

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 9:09 pm

สาวขี้เกียจและสาวขยัน ตอนที่ ( 2 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Lazy Girl and The Diligent Girl”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอพบทองคำและเงินติดตามเสื้อผ้าของเธอมากมาย เธอกล่าว
ขอบคุณและลาจากเหล่านางฟ้าไป

ระหว่างทางกลับบ้าน เธอพบสุนัขตัวที่เธอเคยช่วยทำความสะอาดเมื่อปีก่อน สุนัขพาเธอไปยัง
หีบสมบัติที่เต็มไปด้วยอัญมณีและเครื่องประดับ สุนัขบอกให้เธอเลือกหยิบสมบัติที่เห็นไปได้มากเท่า
ที่เธอต้องการ

เธอเดินทางต่อไปและพบกับเตาอบที่เธอเคยช่วยซ่อมและทำความสะอาดให้ เตาอบได้มอบ
ขนมปังสดใหม่น่ารับประทานให้เธอ เธอจึงหยุดพักกินขนมปังด้วยความหิวจนอิ่มแปล้ก่อนจะออก
เดินทางต่อไป

เธอเดินทางต่อจนมาถึงต้นแอปเปิ้ลในสวนองุ่นซึ่งกำลังมีผลแอปเปิ้ลหอมหวานอยู่เต็มต้น
ต้นแอปเปิ้ลเชิญให้เธอเก็บกินได้ตามสบายและให้เธอเลือกเก็บเอากลับบ้านไปด้วย

ที่สุดเธอก็กลับถึงบ้าน แม่เลี้ยงเมื่อเห็นเด็กสาวมีทองคำและอัญมณีติดตัวมาด้วยมากมาย
ก็เกิดอิจฉาตาร้อน และบอกให้ลูกสาวผู้เกียจคร้านของเธอออกไปหางานทำบ้าง จะได้ไม่แพ้และ
เสียหน้าลูกเลี้ยง

สาวขี้เกียจเริ่มออกเดินทาง และพบต้นไม้ที่มีใบแห้งเหี่ยวต้นแรกซึ่งขอให้เธอตัดกิ่งที่แห้งออก
แต่เธอปฏิเสธ หลังจากนั้นเธอก็พบต้นไม้แห้งอีกต้นหนึ่งในสวนองุ่นที่ขอให้เธอช่วยทำความสะอาด
กิ่งก้านให้ซึ่งเธอก็ตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยอีกเช่นกัน

หลังจากนั้นเธอก็พบเตาอบที่ผุพัง และเมื่อเตาอบร้องขอความช่วยเหลือ เธอก็ปฏิเสธ “ฉันไม่ว่าง”
แทบจะทันทีที่เธอเดินทางต่อ ก็มีลูกสุนัขสกปรกตัวหนึ่งเดินตรงมาขอให้เธอช่วยอาบน้ำให้ เธอตอบ
สั้น ๆ ว่า “ไม่ได้หรอก ขืนโดนตัวแก ตัวฉันก็พลอยสกปรกไปด้วยสิ”

โปรดติดตามตอนที่ ( 3 )
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 9:12 pm

สาวขี้เกียจและสาวขยัน ตอนที่ ( 3 ) ตอนจบ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Lazy Girl and The Diligent Girl”

แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในที่สุดเธอก็มาถึงคฤหาสน์ของเหล่านางฟ้า ครั้งนี้เธอยอมทำงานตามสัญญาเป็นเวลาหนึ่งปี
และนางฟ้าก็เตือนเธอว่าห้ามเข้าไปในห้องที่ 7 เหมือนกับที่เคยพูดกับสาวขยันคนก่อน

สาวขี้เกียจเริ่มทำงานให้เหล่านางฟ้าอยู่ได้ 2 วัน พอถึงวันที่ 3 เธอก็แอบเปิดประตูห้องที่ 7 และพบว่า
เป็นห้องที่ค่อนข้างมืดทึบ และทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้อง ประตูห้องก็ปิดทันที จากนั้นก็มีแมลงต่าง ๆ
เข้ารุมกัดเธอไปทั่วร่าง เธอส่งเสียงร้องดังลั่นจนเหล่านางฟ้ามาเปิดห้อง และเมื่อพบสาวขี้เกียจ นางฟ้าก็
บอกเธอว่า "เราเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าห้ามเข้าไปในห้องที่ 7!" แล้วเหล่านางฟ้าก็ไล่เธอออกจากคฤหาสน์
สาวขี้เกียจที่ถูกแมลงกัดต่อยจนเลือดไหลอยู่หลายแผลค่อย ๆ เดินทางกลับบ้าน เธอขอให้สุนัขช่วยเดิน
ไปเป็นเพื่อน แต่สุนัขบอกเธอว่า "เธอไม่เคยช่วยฉันเลย ทำไมฉันจะต้องช่วยเธอด้วยล่ะ”

สาวขี้เกียจเดินต่อไปด้วยความผิดหวังจนมาถึงเตาอบแต่ไม่สามารถขออะไรจากเตาอบได้ เพราะ
ขณะนั้นเตาอบมีเปลวไฟลุกท่วมเตาอยู่อย่างน่ากลัวพร้อมกับส่งเสียงคำรามว่า “แกไม่ได้ช่วยฉันเลยตอนที่
ฉันขอความช่วยเหลือ ไปให้พ้นจากที่นี่!”

สาวขี้เกียจเดินต่อไปทั้งที่เนื้อตัวมีบาดแผลและหิวกระหายน้ำใกล้จะหมดแรง แต่ก็รู้สึกดีใจเมื่อเดินมา
ถึงสวนองุ่นด้วยความหวังว่าคงจะได้น้ำหวานจากผลองุ่นสุกบรรเทาความหิวกระหายลงได้บ้าง แต่เธอก็
เดินสะดุดเข้ากับรากต้นไม้แห้งต้นที่เคยขอให้เธอช่วย และดังนั้นในที่สุดเธอก็กลับถึงบ้านด้วยความอ่อน
ระโหยโรยแรงเป็นที่สุด เมื่อแม่เลี้ยงเห็นลูกสาวของเธอในสภาพเช่นนั้น เธอก็ยอมรับความเป็นจริงว่า
ลูกสาวของเธอขี้เกียจไม่เอาไหนเลย แต่ขณะเดียวกันพ่อของสาวขยันก็เริ่มคิดได้ว่าเขาแต่งงานกับผู้หญิง
ไร้ค่า และเมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ไล่ทั้งแม่และลูกติดแม่ออกจากบ้านไปอย่างหมดเยื่อใย

ข้อคิด : การขี้เกียจไม่เคยให้ผลดี : Being lazy never pays off.

-----------------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 9:16 pm

เรื่อง พู่กันวิเศษกับหม่าเหลียง มีทั้งหมด ( 2 )ตอนจบ


พู่กันวิเศษกับหม่าเหลียง ตอนที่ ( 1 )
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Magic Paintbrush and Ma Liang”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ครั้งหนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อหม่าเหลียง เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในประเทศจีน
เขามีฐานะยากจนแต่เป็นคนมีอัธยาศัยดีกับทุกคนและคลั่งไคล้กับการวาดภาพ อยู่มาคืนหนึ่งเขาฝันว่า
มีชายชราคนหนึ่งมอบพู่กันวิเศษให้เขา และบอกให้เขาใช้พู่กันนั้นวาดภาพเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ด้อยโอกาส
และเมื่อเขาตื่นขึ้นเขาก็พบพู่กันวิเศษวางอยู่บนโต๊ะของเขา

เด็กหนุ่มผู้ชอบวาดภาพเริ่มใช้พู่กันทุกครั้งที่มีคนขอความช่วยเหลือ ครั้งแรกเขาวาดภาพสระน้ำให้กับ
ชาวนา และภาพนั้นก็กลายเป็นสระน้ำจริง ๆ ทำให้ชาวนาผู้มาขอความช่วยเหลือมีน้ำใช้เพียงพอ
สำหรับนาข้าวที่ใกล้จะแห้งตาย

ต่อมาเขาวาดภาพวัวและภาพนั้นก็กลายเป็นวัวมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นเขาก็นำวัวไปมอบให้ชาวนา
ผู้ยากไร้ซึ่งได้ใช้วัวตัวนั้นช่วยไถนาและพรวนดินให้ในที่นาของตน

นับแต่นั้นมา เมื่อใดที่เขาเห็นผู้คนมีความทุกข์ยากขัดสนในเรื่องใด เขาก็จะใช้พู่กันวิเศษวาดภาพ
เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์เหล่านั้น จนในที่สุดทุกคนก็รู้จักชื่อเสียงของพู่กันวิเศษของเขา

อย่างไรก็ตาม เมื่อชื่อเสียงของพู่กันวิเศษเลื่องลือไปถึงชายผู้มั่งคั่งแต่ใจร้ายคนหนึ่ง ชายผู้นี้
วางแผนขโมยพู่กันวิเศษนี้เพื่อจะใช้วาดภาพสิ่งของที่มีค่าต่าง ๆ และนำสิ่งของที่เกิดจากภาพวาดไปขาย
เพื่อจะได้ร่ำรวยยิ่งขึ้น และไม่นานต่อมาเขาก็หาเรื่องกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มผู้วาดภาพช่วยเหลือผู้อื่นจนที่สุด
เด็กหนุ่มผู้นี้ถูกทางการจับตัวส่งเข้าคุก และชายผู้มั่งคั่งก็ได้เป็นเจ้าของพู่กันวิเศษในที่สุด

โปรดติดตามตอนที่ ( 2 )
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.ย. 21, 2025 9:19 pm

พู่กันวิเศษกับหม่าเหลียง ตอนที่ ( 2 ) ตอนจบ
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Magic Paintbrush and Ma Liang”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

เขาดีใจมากเมื่อได้ครอบครองพู่กันวิเศษ หลังจากนั้นเขาก็ลงมือวาดภาพของมีค่าหลายภาพ
แต่ไม่มีภาพใดมีชีวิตเป็นจริงขึ้นมาเลย เขาโกรธมากเมื่อเห็นว่าพู่กันใช้ไม่ได้ผลกับเขา และเนื่องจาก
เขาเป็นคนมีอิทธิพลมากในบ้านเมือง จึงไม่เป็นเรื่องยากที่เขาจะจัดการให้เด็กหนุ่มวาดภาพเป็นอิสระ
อีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น เขาก็ไปหาหนุ่มวาดภาพพูดว่า “ฉันเป็นคนช่วยเธอออกมาจากคุกนะ เพื่อ
ตอบแทนบุญคุณนี้ ฉันขอให้เธอวาดภาพให้ฉันภาพหนึ่ง”

หนุ่มวาดภาพรู้ทันชายผู้มั่งคั่งเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือของเขา จึงวางแผนอยู่
ในใจและตอบอย่างสุภาพว่า “ได้ครับ ผมจะวาดภาพที่ท่านต้องการให้”

ชายผู้มั่งคั่งจึงกล่าวว่า “ฉันอยากให้เธอวาดภาพภูเขาทองคำ แล้ววาดให้ฉันตามไปที่ภูเขาทองคำนั้นด้วย”
หนุ่มวาดภาพตอบตกลงโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็ลงมือวาดภาพทะเลก่อน แล้วก็วาดภาพภูเขาสีทองที่อยู่
ห่างไกลจากชายฝั่งมาก หลังจากนั้นชายผู้มั่งคั่งก็ขอให้เขาวาดภาพเรือใหญ่เพื่อจะสามารถเดินทางไปที่
ภูเขาทองคำและขนทองคำกลับมาได้

ชายหนุ่มก็ไม่ว่าอะไรแต่อมยิ้มอยู่เงียบ ๆ ขณะที่เศรษฐีกระโดดขึ้นเรือออกตามหาสมบัติ เขาอดทน
รอจนเมื่อเรือแล่นไปถึงกลางทะเล เขาจึงรีบวาดภาพคลื่นยักษ์เพิ่ม แล้วคลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นจริงกลางทะเล
ตามภาพวาดก็ซัดกระหน่ำจนเรือใหญ่ลำนั้นแตก นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นชายผู้มั่งคั่งในหมู่บ้านอีกเลย

ส่วนชายหนุ่มวาดภาพก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่บ้าน และมีความสุขกับการวาดภาพให้
ความช่วยเหลือผู้ขัดสนต่อไปและได้รับความชื่นชมจากทุกคน

ข้อคิด : ความโลภเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย : Greed is a harmful thing.

-----------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ก.ย. 23, 2025 7:56 pm

เรื่องสั้น -------> ต้นไม้ใจแคบและฝูงผึ้ง
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Selfish Tree and The Honeybees”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

ในป่าไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง มีดอกไม้ที่สวยงามมากมายในฤดูใบไม้ผลิ นางพญาผึ้งตั้งใจจะ
พาฝูงผึ้งของนางไปสร้างรังผึ้งในป่านั้น แต่ขณะที่ผึ้งงานกำลังเริ่มออกเก็บน้ำหวานจากดอกมะม่วง
ต้นมะม่วงที่ถูกเก็บน้ำหวานรู้สึกหงุดหงิดและพูดกับต้นไม้ที่อยู่รอบข้างว่า “พวกผึ้งพากันมาดูดกิน
น้ำหวานจากดอกไม้ของพวกเราไปเหมือนขโมย แล้วยังสร้างรังที่หาความงามไม่ได้เลยบนกิ่งก้าน
ของพวกเราอีกด้วย พวกเราควรไล่ผึ้งไปที่อื่นกันเถอะ”

ต้นไม้อื่น ๆ ทั้งหมดต่างก็เห็นด้วยและตัดสินใจขับไล่ผึ้งทั้งหมดออกจากป่านั้นไป

ผึ้งทั้งหลายในป่านั้นเมื่อทราบข่าวร้าย ต่างพยายามขอความเห็นใจจากพวกต้นไม้ แต่ไม่มี
ต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวยอมให้พวกผึ้งทำรังต่อไป ที่สุดผึ้งทั้งหมดพร้อมนางพญาจำต้องออกจากป่านั้น
ไปด้วยความเศร้าหมอง และไปสร้างรังอยู่ในป่าข้างเคียงซึ่งเป็นป่าเสื่อมโทรมแต่ก็สามารถสร้างรังได้
โดยไม่มีต้นไม้ต้นใดในป่าเสื่อมโทรมนั้นรบกวน

อยู่มาวันหนึ่ง มีกลุ่มคนตัดฟืนเข้ามาสำรวจในป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีต้นไม้ใหญ่มากมาย
พวกเขาวางแผนจะตัดไม้และตัดทอนทำเป็นฟืนในวันรุ่งขึ้น ลิงหลายตัวสังเกตเห็นพวกเขาและฟังจน
รู้แผนการของพวกคนตัดฟืน จากนั้นพวกลิงก็แยกย้ายกันไปขอความช่วยเหลือจากพวกผึ้งที่ทำรังอยู่
ในป่าเสื่อมโทรมที่อยู่ใกล้กัน เพราะพวกลิงรู้ว่า การตัดต้นไม้ในป่าจะทำให้พวกมันไม่มีที่อยู่ไปด้วย

วันรุ่งขึ้น ขณะที่พวกคนตัดฟืนกำลังจะเดินเครื่องเลื่อยยนต์และมีดพร้าลงมือตัดต้นไม้ ผึ้งทั้งหลาย
ก็ช่วยกันต่อยคนตัดฟืนซึ่งต่างก็รีบถอยหนีออกไปจากป่า ต้นไม้ทั้งหลายในป่านั้นถอนหายใจด้วยความ
โล่งอก ต้นมะม่วงส่งเสียงขอโทษนางพญาผึ้งแทนต้นไม้ทุกต้นในป่านั้น และเชิญผึ้งทั้งหมดกลับมาสร้างรัง
ได้ตามเดิมด้วยความยินดี

ข้อคิด : เราควรช่วยเหลือผู้ยากไร้เสมอไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรในอดีต :
We should always help the needy, no matter what they did in the past.

---------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2025 8:57 pm

เรื่องสั้น ------> เรื่องหัวหอม
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “The Story of an Onion”
แปลและปรับเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

วันหนึ่งมีพริกต้นหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยวไม่มีอะไรทำ มันสังเกตเห็นหัวหอมและมะเขือเทศกำลัง
พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พริกจึงขยับต้นไปใกล้ขอเป็นเพื่อนด้วย แต่ถูกหัวหอมและมะเขือเทศ
ปฏิเสธและไล่ให้ไปที่อื่น

พริกจึงกลับไปด้วยสีหน้าเศร้า จากนั้นก็มีไอศกรีมโคนผ่านมาใกล้ ๆ และถามพริกว่า

“ทำไมดูเธอมีสีหน้าที่เศร้าโศกจัง”
พริกก็ตอบไปว่า “หัวหอมและมะเขือเทศไม่ยอมให้ฉันเป็นเพื่อนด้วยนะสิ”

เมื่อทราบสาเหตุความเศร้าของพริกแล้ว ไอศกรีมโคนจึงขอเป็นเพื่อนกับพริกซึ่งพริกตอบตกลง
ด้วยความดีใจ แต่พริกก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับหัวหอมและมะเขือเทศด้วย

วันรุ่งขึ้น พริกไม่ละความพยายามและกลับไปหาหัวหอมกับมะเขือเทศอีก แต่ปรากฏว่า
ทั้งสองเพิ่งตายจากไป พริกจึงร้องไห้ด้วยความเศร้า และตอนนั้นเองก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น

พระเจ้าทรงปรากฏองค์และตรัสว่า “ต่อไป มนุษย์จะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อเพื่อนรักของตนเสียชีวิต“

ข้อคิด : มิตรภาพแท้ไม่มีวันตายจากไป : True friendship never dies.

---------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 6809
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2025 9:01 pm

เรื่องสั้น รอยยิ้ม 😆😆
จาก Inspirational Moral Stories เรื่อง “A Smile Story”
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ

กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งกำลังจะย้ายบ้านไปอยู่ในเมืองใหม่แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะอยู่
ในเมืองที่จะย้ายไปอยู่ได้หรือไม่ ชายคนนี้จึงไปขอความคิดเห็นจากอาจารย์เซนว่า "ท่านคิดว่า
ผมจะรักและอยู่ในเมืองที่ผมกำลังจะย้ายไปอยู่ได้ไหมครับ"

อาจารย์เซนตอบโดยตั้งคำถามกลับไปว่า “คนในเมืองที่ท่านเติบโตมาปฏิบัติต่อท่านอย่างไรล่ะ”

ชายผู้กำลังจะย้ายเมืองตอบว่า “พวกเขาเป็นคนน่ารังเกียจและเห็นแก่ตัว ขี้โมโห เป็นคน
หลอกลวงแถมยังขโมยเก่ง”

อาจารย์จึงพูดตอบว่า “ผู้คนที่เมืองที่นั่นก็เป็นคนประเภทเดียวกับที่ท่านเคยเจอมานั่นแหละ”

วันรุ่งขึ้นก็มีชายอีกคนหนึ่งมาถามคำถามเดียวกันนี้ ซึ่งอาจารย์ก็ตั้งคำถามกลับไปเช่นกันว่า
"แล้วชาวเมืองที่ท่านกำลังจะจากมาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"

ชายคนนี้ตอบว่า “พวกเขาเป็นคนใจดี ช่วยเหลือกันและกันเป็นอย่างดี พวกเขาให้ความ
เคารพต่อกัน และชอบศึกษาธรรมะ"

อาจารย์ตอบโดยไม่ลังเลทันทีว่า "แสดงว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกันกับชาวเมืองที่เมืองนี้ครับ"

ข้อคิด : สิ่งที่ท่านเห็นในโลก โลกก็เห็นเช่นเดียวกันในตัวท่าน ดังนั้นหากท่านเห็นแต่ด้านน่ารังเกียจ
และด้านเห็นแก่ตัวของผู้ใด ผู้นั้นก็จะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเห็นแก่ตัวในตัวท่านเช่นกัน :
Whatever you see in the world, the world sees in you. If you only see the nasty and selfish
side of people, that is what they will see in you as well.

----------------------------
ตอบกลับโพส