* อัศจรรย์ของพระเจ้าที่ Little Lamb เคยประสบ *
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 1 เรื่องกระแสเรียก
-------------------------
Little Lambมีเพื่อนที่เพิ่งปฏิญาณตัวตลอดชีพ เป็นชีลับในคณะกาปูชิน ค่ะ
เขาเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นลูกโทนสุดรักของบ้าน
เรียนจบอัสสัมชัญคอนแวนต์
แต่เมื่อพระเจ้าเรียกเขา....เขาก็ตอบรับทันที....
วันนี้คุณแม่ของเขาได้แบ่ง ปันเรื่องราวที่พระเจ้าเรียกลูกเขาอย่างน่าอัศจรรย์ค่ะ
คุณแม่เล่าว่า ช่วงที่ซิสเตอร์เก๋ อยู่ม.3
คุณแม่ได้ไปขอให้คุณพ่อท่านหนึ่งช่วยให้ลูกสาวเข้าเรียน(ที่ไหนสักแห่ง)
แต่คุณพ่อก็บอกว่า ให้แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าเถอะ
เวลานั้น คุณแม่เล่าว่าเคืองคุณพ่อเหมือนกันว่า
ทำไมไม่ช่วยลูกเขา
ระหว่างทางกลับบ้าน
จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงลึกๆในจิตใจว่า "แล้วลูกจะได้รับความชื่นชมยินดี"
เขาก็งงว่าประโยคนี้มาจากไหน เขาคิดเองรึเปล่า??
ถ้าเป็นเสียงของพระ..เขาจะชื่นชมยินดีได้ยังงัย ตอนนี้เขาทุกข์จะตาย
จนกระทั้งขึ้นชั้น ม.ปลาย
ซิสเตอร์เก๋ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่ต่างๆ เข้าเงียบด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีการให้คุกเข่ารับพร ซึ่งแถวนานมากกว่าจะมาถึงเธอ
เธอก็บ่นตามประสาเด็กวัยรุ่น ในใจว่า
"พ่อนี่..ทำไมต้องอวยพรนานขนาดนี้นะ"
จนกระทั่งคุณพ่อมาอวยพรถึงเธอ
เธอบอกว่า ได้ยินเสียงตอบออกมาว่า "เป็นเราเอง"
เท่านั้นแหละค่ะ เธอร้องไห้เลย
"เป็นเราเอง"....จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พระเยซูเจ้าที่ตรัสกับเธอ
พอเรียนจบชั้นม.6 เธอก็เข้าอารามชีลับทันที
แรกๆคุณพ่อของซิสเตอร์ก็ไม่อยากให้บวช เพราะมีลูกเพียงคนเดียว
แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของลูก และ ใครๆก็ช่วยพูดจึงยอม
บวชเรียนมา 8 ปี เวลาหยุดพักให้กลับบ้าน เธอก็ไม่กลับ
อยู่แต่ที่อาราม จนคุณแม่เอ่ยปากกับหนูว่า
"ลูกสาวอี้ใจเด็ดจริงๆ เลือกที่จะไม่กลับบ้านเพราะไม่ต้องการเขว้ออกจากพระ"
จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
เธอก็ได้ถวายตัวสมใจ
คุณแม่เล่าว่า วันนั้นแหละที่เขาเข้าใจถึงคำพูดที่พระตรัสในจิตใจว่า
"แล้วลูกจะได้รับความ ชื่นชมยินดี"
เขาบอกว่าเขามีความสุขที่สุดในชีวิตเลย
ด้านคุณพ่อของซิสเตอร์ คุณแม่เล่าว่า
เห็นคุณพ่อร้องไห้ ตอนเห็นลูกสาวที่รักนอนราบอยู่บนพื้น
พอเลิกมิสซาจึงถามว่า
"ป๊า ร้องไห้ทำไม?"
คุณพ่อก็ตอบว่า "ตอนที่ลูกนอนราบลงบนพื้น
อยู่ดีๆก็ได้กลิ่นหอมมากๆ โชยเข้าหาเขาวูบใหญ่
เป็นกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
ไม่ใช่ดอกลิลลี่หน้าแท่นแน่นอน พอเขาได้กลิ่นก็รู้สึกชื่นชมยินดี
จนน้ำตาไหล และเป็นน้ำตาที่บังคับไม่ได้ ไหลออกมาเอง"
วันนั้น คุณแม่เลี้ยงโต๊ะจีน 80 โต๊ะ
ซึ่งตอนแรกก็กลัวโต๊ะไม่เต็ม เพราะ อารามอยู่ถึง ประจวบฯ
เพื่อนพี่น้องจากกรุงเทพฯ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ ตี5
เพื่อมาร่วมงานตอน11โมง ต้องนั่งรถ5-6ชม.
แต่ปรากฏว่าโต๊ะเต็มทุกโต๊ะ!!
คิดดูสิค่ะว่า คนไปร่วมงานนี้กี่ร้อยคน
เพื่อมาร่วมงานของคนๆเดียว
เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีสุดๆของทั้งครอบครัวจริงๆ
+++++++++++++++++++
คุณพ่อได้บอกไว้ว่า กระแสเรียก ไม่ใช่ว่ามีแล้วก็จะได้เป็นทุกคน
แต่อยู่ที่พ่อแม่ให้โอกาสเขาได้สัมผัสชีวิตของนักบวชด้วย
-------------------------
Little Lambมีเพื่อนที่เพิ่งปฏิญาณตัวตลอดชีพ เป็นชีลับในคณะกาปูชิน ค่ะ
เขาเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นลูกโทนสุดรักของบ้าน
เรียนจบอัสสัมชัญคอนแวนต์
แต่เมื่อพระเจ้าเรียกเขา....เขาก็ตอบรับทันที....
วันนี้คุณแม่ของเขาได้แบ่ง ปันเรื่องราวที่พระเจ้าเรียกลูกเขาอย่างน่าอัศจรรย์ค่ะ
คุณแม่เล่าว่า ช่วงที่ซิสเตอร์เก๋ อยู่ม.3
คุณแม่ได้ไปขอให้คุณพ่อท่านหนึ่งช่วยให้ลูกสาวเข้าเรียน(ที่ไหนสักแห่ง)
แต่คุณพ่อก็บอกว่า ให้แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าเถอะ
เวลานั้น คุณแม่เล่าว่าเคืองคุณพ่อเหมือนกันว่า
ทำไมไม่ช่วยลูกเขา
ระหว่างทางกลับบ้าน
จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงลึกๆในจิตใจว่า "แล้วลูกจะได้รับความชื่นชมยินดี"
เขาก็งงว่าประโยคนี้มาจากไหน เขาคิดเองรึเปล่า??
ถ้าเป็นเสียงของพระ..เขาจะชื่นชมยินดีได้ยังงัย ตอนนี้เขาทุกข์จะตาย
จนกระทั้งขึ้นชั้น ม.ปลาย
ซิสเตอร์เก๋ได้มีโอกาสไปแสวงบุญที่ต่างๆ เข้าเงียบด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีการให้คุกเข่ารับพร ซึ่งแถวนานมากกว่าจะมาถึงเธอ
เธอก็บ่นตามประสาเด็กวัยรุ่น ในใจว่า
"พ่อนี่..ทำไมต้องอวยพรนานขนาดนี้นะ"
จนกระทั่งคุณพ่อมาอวยพรถึงเธอ
เธอบอกว่า ได้ยินเสียงตอบออกมาว่า "เป็นเราเอง"
เท่านั้นแหละค่ะ เธอร้องไห้เลย
"เป็นเราเอง"....จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พระเยซูเจ้าที่ตรัสกับเธอ
พอเรียนจบชั้นม.6 เธอก็เข้าอารามชีลับทันที
แรกๆคุณพ่อของซิสเตอร์ก็ไม่อยากให้บวช เพราะมีลูกเพียงคนเดียว
แต่เมื่อเป็นความประสงค์ของลูก และ ใครๆก็ช่วยพูดจึงยอม
บวชเรียนมา 8 ปี เวลาหยุดพักให้กลับบ้าน เธอก็ไม่กลับ
อยู่แต่ที่อาราม จนคุณแม่เอ่ยปากกับหนูว่า
"ลูกสาวอี้ใจเด็ดจริงๆ เลือกที่จะไม่กลับบ้านเพราะไม่ต้องการเขว้ออกจากพระ"
จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
เธอก็ได้ถวายตัวสมใจ
คุณแม่เล่าว่า วันนั้นแหละที่เขาเข้าใจถึงคำพูดที่พระตรัสในจิตใจว่า
"แล้วลูกจะได้รับความ ชื่นชมยินดี"
เขาบอกว่าเขามีความสุขที่สุดในชีวิตเลย
ด้านคุณพ่อของซิสเตอร์ คุณแม่เล่าว่า
เห็นคุณพ่อร้องไห้ ตอนเห็นลูกสาวที่รักนอนราบอยู่บนพื้น
พอเลิกมิสซาจึงถามว่า
"ป๊า ร้องไห้ทำไม?"
คุณพ่อก็ตอบว่า "ตอนที่ลูกนอนราบลงบนพื้น
อยู่ดีๆก็ได้กลิ่นหอมมากๆ โชยเข้าหาเขาวูบใหญ่
เป็นกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
ไม่ใช่ดอกลิลลี่หน้าแท่นแน่นอน พอเขาได้กลิ่นก็รู้สึกชื่นชมยินดี
จนน้ำตาไหล และเป็นน้ำตาที่บังคับไม่ได้ ไหลออกมาเอง"
วันนั้น คุณแม่เลี้ยงโต๊ะจีน 80 โต๊ะ
ซึ่งตอนแรกก็กลัวโต๊ะไม่เต็ม เพราะ อารามอยู่ถึง ประจวบฯ
เพื่อนพี่น้องจากกรุงเทพฯ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ ตี5
เพื่อมาร่วมงานตอน11โมง ต้องนั่งรถ5-6ชม.
แต่ปรากฏว่าโต๊ะเต็มทุกโต๊ะ!!
คิดดูสิค่ะว่า คนไปร่วมงานนี้กี่ร้อยคน
เพื่อมาร่วมงานของคนๆเดียว
เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีสุดๆของทั้งครอบครัวจริงๆ
+++++++++++++++++++
คุณพ่อได้บอกไว้ว่า กระแสเรียก ไม่ใช่ว่ามีแล้วก็จะได้เป็นทุกคน
แต่อยู่ที่พ่อแม่ให้โอกาสเขาได้สัมผัสชีวิตของนักบวชด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 21, 2005 3:21 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 2 อัศจรรย์เมื่อคนโดดตึก 5 ชั้น แล้วไม่เป็นอะไรเลย
แค่กระดูกคอ เคลื่อน นิดหน่อย!!!
-------------------------------
เป็นเรื่องของหัวหน้าครอบคร ัวหนึ่ง
เมื่อสมัยอาม่า(ย่า/ยาย ไม่แน่ใจค่ะ) เอ่ยปากยกที่ดินให้เขาเอาไปทำกิน
แม้ได้ไปเป็นลายลักษณ์อักษรอ แต่ทุกคนก็รู้
เขาก็ทำกินมาเรื่อย แต่งงานมีลูกถึง 5 คน
เขาและลูกๆเนคริสต์ แต่ ภรรยายังเป็นพุทธอยู่
จนเมื่ออาม่าสิ้น เขาก็ยังคงทำมาหากินบนที่นั้นอยู่
กิจการกำลังเจริญรุ่งเรือง ก็ปรากฏว่า
อาโกวเกิดอยากได้ที่ดินตรงนี้ขึ้นมา
ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่า ที่ตรงนี้ อาม่า ยกให้หลานไปแล้ว
แต่ก็จะเอาให้ได้ จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล
ระหว่างตัดสิน เขาก็ร้องไห้ออกมากลางศาลเลย
ช้ำใจกับชีวิตของตัวเอง เป็น อาหลานกันแท้ๆ แต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้
จนผู้พิพากษาบอกว่าให้หยุดการพิพากษาไว้แค่นั้น
และให้เขากลับบ้านไปก่อน
พอกลับบ้านเขาก็เครียดจนความดันขึ้น 250
ต้องหามส่งโรงพยาบาลกันใหญ่
ลูกๆและภรรยาก็ดูแล เอาในใส่เต็มที่
จนเมื่อครบกำหนด หมอให้กลับบ้านได้ ก็ตรงกับวันเกิดเขาพอดี
ลูกๆและภรรยารวมถึงญาติพี่น้องก็มารับ
เขาก็ดูอารมณ์ดี คุยๆกันสบายๆ
ออกไปเดินเล่นกันตรงระเบี่ยงห้องผู้ป่วย
ยืนคุยสักพักก็กลับเข้า มาในห้อง แต่เขายังอยู่ข้างนอก
ทุกคนก็คอยมองๆอยู่ พอดีว่ามีโทรศัพท์เข้ามา
ทุกคนก็หันไปมองโทรศัพท์ หันมาอีกที
เขาก็ปีนระเบียงโดดลงไปจากชั้น 5 ทันที
ทุกคนต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ
ทั้งหมอและพยาบาลวิ่งกันจาระหวัน
พอลงไปถึงก็เห็นเขานอนอยู่บนพุ่มไม้
เขาตกลงไปในพุ่มไม้ไม่ใช่บนคอนกรีต
หลังจากหมอและพยาบาลตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ปรากฏว่าเขา ไม่เป็นอะไรเลย นอกจากกระดูกที่คอเคลื่อนนิหน่อย
ตอนที่คุณพ่อถูกเชิญให้ไปเยี่ยมและส่งศีล
คุณพ่อเล่าว่าเขายังใส่ปลอกคออยู่เลย
แต่พูดคุยได้ปรกติ ภรรยาของเขาบอกกับคุณพ่อว่า
"หนูเชื่อแล้วค่ะว่าพระเจ้ามีจริง มีใครที่ไหนตกตึก5 ชั้นแล้วบาดเจ็บแค่นี้
หนูจะล้างบาปแล้วค่ะ"
(เป็นเรื่องน่ายินดีค่ะ แต่เรื่องของฝ่ายชายยังไม่จบ)
คุณพ่อก็ถามชายคนนั้นว่า
"ทำไมล่ะลูก ทำถึงโดดลงไป?"
เขาก็ตอบว่า
"ผมคิดถึงแม่ ผมไม่อยากอยู่แล้วอยากไปอยู่กับแม่"
คุณพ่อจึงสอนว่า
"พระเจ้าฝากชีวิตของเราไว้ให้เราดูแล
เราไม่มีสิทธิ์ปริดชีวิตของตนนะลูก
เวลานี้ลูกมีภาระ พระเจ้าให้ต้นไม้ลูกมา 5 ต้น(ลูกๆ)
ลูกต้องดูแลให้ดี ถ้าไม่มีลูกแล้วใครจะเลี้ยงดู
ดูแลเขาให้ดี และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะรับลูกไปอยู่กับแม่พระ และ แม่ของลูกเอง"
ซึ่งเขาก็รู้สึกดีขึ้น คุณพ่อก็อวยพร สวด ฯลฯ ให้เขา
+++++++++++++++++
ชีวิตของเรา ไม่ใช่ของเรา
แต่เป็นของพระเจ้า เรามีหน้าที่ดูแลชีวิตของเราอย่างดี
ชีวิตนี้ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าให้ตาย เราก็ตาย
เมื่อพระองค์ไม่ให้ตาย เราก็ไม่ตาย
แค่กระดูกคอ เคลื่อน นิดหน่อย!!!
-------------------------------
เป็นเรื่องของหัวหน้าครอบคร ัวหนึ่ง
เมื่อสมัยอาม่า(ย่า/ยาย ไม่แน่ใจค่ะ) เอ่ยปากยกที่ดินให้เขาเอาไปทำกิน
แม้ได้ไปเป็นลายลักษณ์อักษรอ แต่ทุกคนก็รู้
เขาก็ทำกินมาเรื่อย แต่งงานมีลูกถึง 5 คน
เขาและลูกๆเนคริสต์ แต่ ภรรยายังเป็นพุทธอยู่
จนเมื่ออาม่าสิ้น เขาก็ยังคงทำมาหากินบนที่นั้นอยู่
กิจการกำลังเจริญรุ่งเรือง ก็ปรากฏว่า
อาโกวเกิดอยากได้ที่ดินตรงนี้ขึ้นมา
ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่า ที่ตรงนี้ อาม่า ยกให้หลานไปแล้ว
แต่ก็จะเอาให้ได้ จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล
ระหว่างตัดสิน เขาก็ร้องไห้ออกมากลางศาลเลย
ช้ำใจกับชีวิตของตัวเอง เป็น อาหลานกันแท้ๆ แต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้
จนผู้พิพากษาบอกว่าให้หยุดการพิพากษาไว้แค่นั้น
และให้เขากลับบ้านไปก่อน
พอกลับบ้านเขาก็เครียดจนความดันขึ้น 250
ต้องหามส่งโรงพยาบาลกันใหญ่
ลูกๆและภรรยาก็ดูแล เอาในใส่เต็มที่
จนเมื่อครบกำหนด หมอให้กลับบ้านได้ ก็ตรงกับวันเกิดเขาพอดี
ลูกๆและภรรยารวมถึงญาติพี่น้องก็มารับ
เขาก็ดูอารมณ์ดี คุยๆกันสบายๆ
ออกไปเดินเล่นกันตรงระเบี่ยงห้องผู้ป่วย
ยืนคุยสักพักก็กลับเข้า มาในห้อง แต่เขายังอยู่ข้างนอก
ทุกคนก็คอยมองๆอยู่ พอดีว่ามีโทรศัพท์เข้ามา
ทุกคนก็หันไปมองโทรศัพท์ หันมาอีกที
เขาก็ปีนระเบียงโดดลงไปจากชั้น 5 ทันที
ทุกคนต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ
ทั้งหมอและพยาบาลวิ่งกันจาระหวัน
พอลงไปถึงก็เห็นเขานอนอยู่บนพุ่มไม้
เขาตกลงไปในพุ่มไม้ไม่ใช่บนคอนกรีต
หลังจากหมอและพยาบาลตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ปรากฏว่าเขา ไม่เป็นอะไรเลย นอกจากกระดูกที่คอเคลื่อนนิหน่อย
ตอนที่คุณพ่อถูกเชิญให้ไปเยี่ยมและส่งศีล
คุณพ่อเล่าว่าเขายังใส่ปลอกคออยู่เลย
แต่พูดคุยได้ปรกติ ภรรยาของเขาบอกกับคุณพ่อว่า
"หนูเชื่อแล้วค่ะว่าพระเจ้ามีจริง มีใครที่ไหนตกตึก5 ชั้นแล้วบาดเจ็บแค่นี้
หนูจะล้างบาปแล้วค่ะ"
(เป็นเรื่องน่ายินดีค่ะ แต่เรื่องของฝ่ายชายยังไม่จบ)
คุณพ่อก็ถามชายคนนั้นว่า
"ทำไมล่ะลูก ทำถึงโดดลงไป?"
เขาก็ตอบว่า
"ผมคิดถึงแม่ ผมไม่อยากอยู่แล้วอยากไปอยู่กับแม่"
คุณพ่อจึงสอนว่า
"พระเจ้าฝากชีวิตของเราไว้ให้เราดูแล
เราไม่มีสิทธิ์ปริดชีวิตของตนนะลูก
เวลานี้ลูกมีภาระ พระเจ้าให้ต้นไม้ลูกมา 5 ต้น(ลูกๆ)
ลูกต้องดูแลให้ดี ถ้าไม่มีลูกแล้วใครจะเลี้ยงดู
ดูแลเขาให้ดี และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็จะรับลูกไปอยู่กับแม่พระ และ แม่ของลูกเอง"
ซึ่งเขาก็รู้สึกดีขึ้น คุณพ่อก็อวยพร สวด ฯลฯ ให้เขา
+++++++++++++++++
ชีวิตของเรา ไม่ใช่ของเรา
แต่เป็นของพระเจ้า เรามีหน้าที่ดูแลชีวิตของเราอย่างดี
ชีวิตนี้ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าให้ตาย เราก็ตาย
เมื่อพระองค์ไม่ให้ตาย เราก็ไม่ตาย
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 3 คนทรงเจ้า ยังรู้จักแม่พระ
+++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
พนักงานที่บ้านคนหนึ่ง ชื่อ "แอน"
ไปหาคนทรงเจ้าพ่ออะไรสักอย่าง เนื่องจากสามีเป้นคนขับแท็กซี่
แล้วช่วงนี้กิจการไม่ดี ไม่มีลูกค้าเลย
จึงไปหาคนทรงเจ้าพ่อ จะให้เจ้าพ่ออะไรเนี่ยแหละช่วย
เขาเล่าว่า พอเจ้าพ่อลงก็ถามนู่นถามนี่สักพัก
เจ้าพ่อก็บอกว่า "ที่อยู่อาศัยมีเทพหญิงดูแลอยู่นี่"
แอน "ค่ะ พักอยู่กับเจ๊ เจ๊เขาเป็นคริสต์"
(ที่โรงงานตั้งรูปแม่พระไว้หน้าโรงงานค่ะ)
เจ้าพ่อ "อืม ในบ้านก็มีเทพหญิงด้วยนิ"
พี่แอนเล่าว่า เขาขนลุกเลย เพราะในห้องเขา มีแต่พระพุทธรูป
และมีรูปแม่พระอยู่รูปหนึ่ง เพราะมาม๊าให้เขาไป
เจ้าพ่อ "เทพหญิงนี้ดี ดีมาก ไปขอให้เทพหญิงช่วยสิ เทพหญิงช่วยได้ ให้แฟนไปขอเทพหญิงด้วย"
พี่แอนเล่าไป ขนลุกตลอดเลย
ทั้งๆที่เขาก็สวดกับแม่พระทุกเช้า มีขอดีอยู่ใกล้ตัวแต่ไม่รู้เลย
ต้องให้เจ้าพ่อ(อะไรเนี่ย) ไล่กลับมาขอแม่พระ
+++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
พนักงานที่บ้านคนหนึ่ง ชื่อ "แอน"
ไปหาคนทรงเจ้าพ่ออะไรสักอย่าง เนื่องจากสามีเป้นคนขับแท็กซี่
แล้วช่วงนี้กิจการไม่ดี ไม่มีลูกค้าเลย
จึงไปหาคนทรงเจ้าพ่อ จะให้เจ้าพ่ออะไรเนี่ยแหละช่วย
เขาเล่าว่า พอเจ้าพ่อลงก็ถามนู่นถามนี่สักพัก
เจ้าพ่อก็บอกว่า "ที่อยู่อาศัยมีเทพหญิงดูแลอยู่นี่"
แอน "ค่ะ พักอยู่กับเจ๊ เจ๊เขาเป็นคริสต์"
(ที่โรงงานตั้งรูปแม่พระไว้หน้าโรงงานค่ะ)
เจ้าพ่อ "อืม ในบ้านก็มีเทพหญิงด้วยนิ"
พี่แอนเล่าว่า เขาขนลุกเลย เพราะในห้องเขา มีแต่พระพุทธรูป
และมีรูปแม่พระอยู่รูปหนึ่ง เพราะมาม๊าให้เขาไป
เจ้าพ่อ "เทพหญิงนี้ดี ดีมาก ไปขอให้เทพหญิงช่วยสิ เทพหญิงช่วยได้ ให้แฟนไปขอเทพหญิงด้วย"
พี่แอนเล่าไป ขนลุกตลอดเลย
ทั้งๆที่เขาก็สวดกับแม่พระทุกเช้า มีขอดีอยู่ใกล้ตัวแต่ไม่รู้เลย
ต้องให้เจ้าพ่อ(อะไรเนี่ย) ไล่กลับมาขอแม่พระ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 4 อัศจรรย์เล็กๆต่อหญิงต่างศาสนาที่กาลหว่าร์
+++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2004 LL ออกจากบ้านพร้อมมาม๊า และ คริสตังใหม่
คริสตังใหม่พาครอบครัวเขาที่ยังเป็นพุทธ และ ชวนเพื่อนบ้านสองสามี-ภรรยาที่เป็นพุทธไปด้วย
ตัวภรรยาชื่อ "ปุ๊ก" และอัศจรรย์ก็เกิดกับเธอคนนี้แหละคะ
LLโชคดี เพื่อนมาม๊าจองที่ในวัดไว้ให้
นั่งหน้าแถวที่2เลย มีมาม๊า และคุณปุ๊กที่ได้นั่งข้างในวัด
แต่ต้องนั่งแยกกันเพราะที่ไม่พอ เธอเลยได้นั่งหน้าสุดติดรูปแม่พระที่จะแห่
เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เราก็ร่วมพิธีไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนรับศีลมหาสนิท คุณปุ๊กเธอก็เกิดเป็นลม
สัตบุรุษน้ำใจดีตรงนั้นก็ช่วยกันปฐมพยาบาลเต็มกำลัง
ใ ครมีวิชาดีก็งั้นกันออกมาเพียบ
ทั้งยาน้ำ ยาหม่อง กดจุดสารพัด เธอก็ไม่ฟื้น
ที่สุดจึงตามพยายาลเข้ามาช่วย
พยาบาล3คน ปฐมพยาบาลก็ยังไม่ฟื้น ขนาดเอาแอมโมเนียจ่อๆก็นิ่ง
จนที่สุดต้องหามกันออกมขึ้นรถพยาบาล
ใครที่ ไปฉลองวัด อาจจะได้เห็นพยาบาล 3 คน และสัตบุรุษอีกจำนวนหนึ่ง
ช่วยกันอุ้มเธอออกมาจากวัด
ตอนนั้นทำยังไงเธอก็ ไม่ฟื้น
จนพยาบาลตัดสินใจว่าจะส่งโรงพยาบาล เพราะความดันเธอต่ำมาก
แต่ยังไม่ทันจะได้ไป จู่ๆเธอก็ลืมตาขึ้นมา
พยาบาลดูอาการอีกพักหนึ่งจึงอนุญาตให้เธอลงจากรถ
และทันเดินแห่แม่พระพอดี
เมื่อแห่จบเธอจึงเล่าให้ฟังว่า ก่อนเธอฟื้น
เอได้ยินเสียงหวานเพราะๆของผู้หญิงพูดกับเธอว่า
"ลูก... ตื่นเถอะ แม่เรียกแล้ว ตื่นเถอะ"
แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาทันที
ทีแรกเธอก็นึกว่าแม่ของเธอเรียก
แต่เธอบอกว่า แม่ของเธอไม่พูดไพเราะขนาดนี้
เธอจึงมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงแม่ของเธอแน่ใจนอน
แ ล้วจะมีใครอีกที่จะเรียกเธอ....
ก็ " แม่พระ " นะสิที่เรียกเธอให้ตื่น
พอเธอลงจากรถ บุษบกแม่พระก็ออกมาถึงหน้าวัดพอดี
จากวันนี้เธอมาเพราะเพื่อนบ้านชวนใจก็เฉยๆ คิดว่ามาดูๆก็พอ
แต่ตอนเธอจะกลับ ทั้งเธอและสามีเดินไปต่อแถวเพื่อไหว้ขอพรแม่พระ
และจะขอเรียกคำสอน
อัศจรรย์เล็กๆ...แต่ยิ่งใหญ่เหลือเกินคะ
มีความสุขจัง~~~
+++++++++++++++++++++++++
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2004 LL ออกจากบ้านพร้อมมาม๊า และ คริสตังใหม่
คริสตังใหม่พาครอบครัวเขาที่ยังเป็นพุทธ และ ชวนเพื่อนบ้านสองสามี-ภรรยาที่เป็นพุทธไปด้วย
ตัวภรรยาชื่อ "ปุ๊ก" และอัศจรรย์ก็เกิดกับเธอคนนี้แหละคะ
LLโชคดี เพื่อนมาม๊าจองที่ในวัดไว้ให้
นั่งหน้าแถวที่2เลย มีมาม๊า และคุณปุ๊กที่ได้นั่งข้างในวัด
แต่ต้องนั่งแยกกันเพราะที่ไม่พอ เธอเลยได้นั่งหน้าสุดติดรูปแม่พระที่จะแห่
เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เราก็ร่วมพิธีไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนรับศีลมหาสนิท คุณปุ๊กเธอก็เกิดเป็นลม
สัตบุรุษน้ำใจดีตรงนั้นก็ช่วยกันปฐมพยาบาลเต็มกำลัง
ใ ครมีวิชาดีก็งั้นกันออกมาเพียบ
ทั้งยาน้ำ ยาหม่อง กดจุดสารพัด เธอก็ไม่ฟื้น
ที่สุดจึงตามพยายาลเข้ามาช่วย
พยาบาล3คน ปฐมพยาบาลก็ยังไม่ฟื้น ขนาดเอาแอมโมเนียจ่อๆก็นิ่ง
จนที่สุดต้องหามกันออกมขึ้นรถพยาบาล
ใครที่ ไปฉลองวัด อาจจะได้เห็นพยาบาล 3 คน และสัตบุรุษอีกจำนวนหนึ่ง
ช่วยกันอุ้มเธอออกมาจากวัด
ตอนนั้นทำยังไงเธอก็ ไม่ฟื้น
จนพยาบาลตัดสินใจว่าจะส่งโรงพยาบาล เพราะความดันเธอต่ำมาก
แต่ยังไม่ทันจะได้ไป จู่ๆเธอก็ลืมตาขึ้นมา
พยาบาลดูอาการอีกพักหนึ่งจึงอนุญาตให้เธอลงจากรถ
และทันเดินแห่แม่พระพอดี
เมื่อแห่จบเธอจึงเล่าให้ฟังว่า ก่อนเธอฟื้น
เอได้ยินเสียงหวานเพราะๆของผู้หญิงพูดกับเธอว่า
"ลูก... ตื่นเถอะ แม่เรียกแล้ว ตื่นเถอะ"
แล้วเธอก็ตื่นขึ้นมาทันที
ทีแรกเธอก็นึกว่าแม่ของเธอเรียก
แต่เธอบอกว่า แม่ของเธอไม่พูดไพเราะขนาดนี้
เธอจึงมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงแม่ของเธอแน่ใจนอน
แ ล้วจะมีใครอีกที่จะเรียกเธอ....
ก็ " แม่พระ " นะสิที่เรียกเธอให้ตื่น
พอเธอลงจากรถ บุษบกแม่พระก็ออกมาถึงหน้าวัดพอดี
จากวันนี้เธอมาเพราะเพื่อนบ้านชวนใจก็เฉยๆ คิดว่ามาดูๆก็พอ
แต่ตอนเธอจะกลับ ทั้งเธอและสามีเดินไปต่อแถวเพื่อไหว้ขอพรแม่พระ
และจะขอเรียกคำสอน
อัศจรรย์เล็กๆ...แต่ยิ่งใหญ่เหลือเกินคะ
มีความสุขจัง~~~
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 5 เรื่องของคริสตังใหม่ที่รู้จักกับบ้านของLL
+++++++++++++++++++++++++++++
คริสตังใหม่คนนี้ชื่อ โชคชัย
เพิ่งล้างบาปได้ไม่ถึงปี แต่รู้จักพระเจ้ามา 3 ปี
ที่เพิ่งตัดสินใจล้างบาป เพราะมั่วแต่สองจิตสองใจ
แต่ที่สุดพระเจ้าก็เรียก แต่ตัดสินใจล้างบาป
พอล้างบาปก็เป็นคริสตังใหม่ไฟแรง
ไปวันทุกวัน (ทุกวันจริงๆคะ) ยกเว้นที่ว่าติดธุระจริงๆหรือ
ฝนตกถึงจะไม่ไป (เพราะใช้มอเตอร์ไซด์)
ชวนคนเป็นพุทธมาวัดเยอะแยะ แพร่ธรรมเต็มที่
ส่วนภรรยาและลูกสาวเขายังเป็นพุทธ เพราะยังไม่ได้เรียนคำสอน
แต่มีใจมาเป็นคริสต์แล้ว มากกว่า 50 %
ตอนนี้ติดต่อขอเรียนคำสอนอยู่
ร่ายมายาวมาก....เข้าเรื่องเลยนะคะ
โชคชัยเขาซื้อมอเตอร์ไซด์ต่อมาจากคนงานคนหนึ่ง
ซึ่งคนงานคนนี้จอดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้มา2ปีแล้ว ขายให้แค่1,000 บาท
เขาก็ขี่ๆ ใช้ได้สักพักก็รู้สึกว่ายิ่งขี่ รถยิ่งเตี้ยลง
ขี่นานๆแล้วปวดหลัง
วันหนึ่งจึงตัดสินใจเอาไปอู่ ที่รู้จักกัน
ปรากฏว่าเจ้าของอู่ไม่รับ เพราะกำลังยุ่งมาก งานล้นมือ
จึงไล่เขากลับไปก่อน แล้วค่อยมาวันหลัง
โชคชัยก็รบเร้าว่าดูให้หน่อยเถอะ เพราะเขาขี่แล้วปวดหลังจริงๆ
แต่พูดยังไงเจ้าของอู่ก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าให้ มาวันหลัง
เขาเลยคุกเข่ามันตรงนั่นแล้วพูดว่า
ถ้าไม่ดูให้ก็จะคุกเข่าอยู่ ตรงนี่แหละ (เหมือนหนังจีนเลย)
เจ้าของอู่เลยรำคาญ จึงยอมดูให้
พอเปิดฝาครอบดูเท่านั้นแหละ
ตกใจกันกันใหญ่ ถามว่าขี่มาได้ยังงัย รถเหลืออยู่แค่นี่
ที่เหลืออยู่คือ...สายไฟเชื่อมเกี่ยวกันอยู่เท่านั้น
ต ัวคานสนิทกินจะผุหมดแล้ว
เขาว่าขี่มาโดยที่ล้อกับตัวรถไม่ขาดออกจากกันได้ยังงัย
เพราะมันไม่เหลืออะไร ลองแล้ว
เขาบอกว่า พระเจ้าช่วยเขาจริงๆ
เขาคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยเขา เขาคงตายอยู่กลางถนนที่ไหนสักแห่งแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++
คริสตังใหม่คนนี้ชื่อ โชคชัย
เพิ่งล้างบาปได้ไม่ถึงปี แต่รู้จักพระเจ้ามา 3 ปี
ที่เพิ่งตัดสินใจล้างบาป เพราะมั่วแต่สองจิตสองใจ
แต่ที่สุดพระเจ้าก็เรียก แต่ตัดสินใจล้างบาป
พอล้างบาปก็เป็นคริสตังใหม่ไฟแรง
ไปวันทุกวัน (ทุกวันจริงๆคะ) ยกเว้นที่ว่าติดธุระจริงๆหรือ
ฝนตกถึงจะไม่ไป (เพราะใช้มอเตอร์ไซด์)
ชวนคนเป็นพุทธมาวัดเยอะแยะ แพร่ธรรมเต็มที่
ส่วนภรรยาและลูกสาวเขายังเป็นพุทธ เพราะยังไม่ได้เรียนคำสอน
แต่มีใจมาเป็นคริสต์แล้ว มากกว่า 50 %
ตอนนี้ติดต่อขอเรียนคำสอนอยู่
ร่ายมายาวมาก....เข้าเรื่องเลยนะคะ
โชคชัยเขาซื้อมอเตอร์ไซด์ต่อมาจากคนงานคนหนึ่ง
ซึ่งคนงานคนนี้จอดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้มา2ปีแล้ว ขายให้แค่1,000 บาท
เขาก็ขี่ๆ ใช้ได้สักพักก็รู้สึกว่ายิ่งขี่ รถยิ่งเตี้ยลง
ขี่นานๆแล้วปวดหลัง
วันหนึ่งจึงตัดสินใจเอาไปอู่ ที่รู้จักกัน
ปรากฏว่าเจ้าของอู่ไม่รับ เพราะกำลังยุ่งมาก งานล้นมือ
จึงไล่เขากลับไปก่อน แล้วค่อยมาวันหลัง
โชคชัยก็รบเร้าว่าดูให้หน่อยเถอะ เพราะเขาขี่แล้วปวดหลังจริงๆ
แต่พูดยังไงเจ้าของอู่ก็ยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าให้ มาวันหลัง
เขาเลยคุกเข่ามันตรงนั่นแล้วพูดว่า
ถ้าไม่ดูให้ก็จะคุกเข่าอยู่ ตรงนี่แหละ (เหมือนหนังจีนเลย)
เจ้าของอู่เลยรำคาญ จึงยอมดูให้
พอเปิดฝาครอบดูเท่านั้นแหละ
ตกใจกันกันใหญ่ ถามว่าขี่มาได้ยังงัย รถเหลืออยู่แค่นี่
ที่เหลืออยู่คือ...สายไฟเชื่อมเกี่ยวกันอยู่เท่านั้น
ต ัวคานสนิทกินจะผุหมดแล้ว
เขาว่าขี่มาโดยที่ล้อกับตัวรถไม่ขาดออกจากกันได้ยังงัย
เพราะมันไม่เหลืออะไร ลองแล้ว
เขาบอกว่า พระเจ้าช่วยเขาจริงๆ
เขาคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยเขา เขาคงตายอยู่กลางถนนที่ไหนสักแห่งแล้ว
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 6 พระเจ้าหางาน และ ยังหาคนงานให้ด้วย
++++++++++++++++++++++++++++
เพิ่งเกิดขึ้นช่วงปลายกันยา ปี 2004
โชคชัยคนนี้ เพิ่งจะตั้งบริษัทยาม เป็นกิจการเล็กๆ ไม่ใหญ่โตมาก
แต่ช่วงที่ผ่านมา หางานไม่ได้เลย
เขาก็สวดบอกพระว่าของานให้เขาหน่อยเถอะ
เขาไม่มีเงินจะจ่ายลูก น้อง
ปรากฏว่าตกเย็นจู่ๆก็มีคนโทรศัพท์มา บอกว่า
เขาต้องการจะจ้างยามด่วน เป็นผู้หญิง2คน
โชคชัยก็ดีใจ แต่ตอนนั้นเขามียามผู้หญิงแค่คนเดียว
เขาจึงพูดแบ่งรับแบ่งสู้
แต่ทางผู้จ้างก็ตอบมาว่า เขาต้องการเปลี่ยนยามจริงๆ
เพราะไม่ชอบบริษัทที่ดูแลอยู่ปัจจุบัน
ถ้าหาให้เขาได้ เขาจะจ้างเลยจ่ายเป็นเงินเดือนด้วย
แต่โชคชัยก็บอกเขาว่า แบ่งเป็น2งวด/เดือนได้มั๊ย
เพราะเขาจ่ายพนักงานเป็นวิก
ทางผู้จ้างก็ตกลงทันที
แล้วก็ย้ำว่าถ้าพามาวันรุ่งขึ้นได้ เขาจะเลิกจ้างบริษัทเก่าทันที
โชคชัยก็เล่าว่า เขางงไปเลยว่า ทำไมง่ายอย่างนี้
แต่ปัญหายังไม่หมด
พอวางหูเขาก็เปรยบอกพระว่า พระองค์ให้งานลูกแล้วพระองค์ไม่ให้คนลูกมา
แล้วลูกจะทำงานได้ยังงัยละ เขาก็คิดๆๆจนกลุ้ม ขี่รถกลับบ้าน
พอจะถึงบ้านเขาก็เจอยามผู้หญิงที่ดูแลโรงงานอยู่แถวบ้าน
เผอิญร ู้จักเคยคุยทักกัน จึงหยุดพูดคุยด้วย
ยามหญิงคนนั้นก็พูดว่า เซ็ง อยากจะย้ายงาน
เพราะไม่ชอบบริษัทที่ทำด้วย นายจ้างไม่ดี
โชคชัยจึงเอ่ยปากชวนเล่นๆว่า
งั้นมาอยู่กับผมมั๊ยละ
เธอก็ตอบตกลงทันที
โชคชัยก็งงเลย...ยังถามย้ำอีกทีว่า แน่นะ
ยามหญิงก็บอกว่า แน่
โชคชัยก็บอกว่า งั้นพรุ่งนี้ให้มาหาเขาที่บริษัท
โชคชัยเล่าว่า พอรุ่งเช้า ยามหญิงคนนั้นก็มายืนรอหน้าบริษัท
ในชุดยามแบบเต็มยศเลย...
เขาทั้งดีใจ และขอบคุณพระ
เขาว่าพระดีต่อเขาจริงๆ เหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา
ทำให้ภรรยาและลูกสาวก็มีความเชื่อมากขึ้น
จากแต่ก่อนที่ที่ทำงาน มีตี่จูเอี้ย มีนางกวัก(ของเจ้าบ้านคนเก่า)
โชคชัยจะยกออก ภรรยาก็ขอไว้
เพราะทำใจไม่ได้ ยังศรัทธาอยู่
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น ภรรยาเขาก็ยินดีให้ยกออก
พร้อมแล้วที่จะพึ่งพระเจ้า
วันนี้ที่ไปฉลองวันด้วยกันแล้วแวะไปรับเขาที่บ้าน
ตัวภรรยาพาไปดูเลยว่าเ ธอยกออกไปแล้ว พร้อมกับนำ
รูปแม่พระอุปถัมภ์ที่อุ้มพระกุมารขนาดฟุตครึ่งมาตั้งแทนที่นางกวัก
(ในที่ทำงานมีกางเขนติดไว้อยู่แล้ว)
++++++++++++++++++++++++++++
เพิ่งเกิดขึ้นช่วงปลายกันยา ปี 2004
โชคชัยคนนี้ เพิ่งจะตั้งบริษัทยาม เป็นกิจการเล็กๆ ไม่ใหญ่โตมาก
แต่ช่วงที่ผ่านมา หางานไม่ได้เลย
เขาก็สวดบอกพระว่าของานให้เขาหน่อยเถอะ
เขาไม่มีเงินจะจ่ายลูก น้อง
ปรากฏว่าตกเย็นจู่ๆก็มีคนโทรศัพท์มา บอกว่า
เขาต้องการจะจ้างยามด่วน เป็นผู้หญิง2คน
โชคชัยก็ดีใจ แต่ตอนนั้นเขามียามผู้หญิงแค่คนเดียว
เขาจึงพูดแบ่งรับแบ่งสู้
แต่ทางผู้จ้างก็ตอบมาว่า เขาต้องการเปลี่ยนยามจริงๆ
เพราะไม่ชอบบริษัทที่ดูแลอยู่ปัจจุบัน
ถ้าหาให้เขาได้ เขาจะจ้างเลยจ่ายเป็นเงินเดือนด้วย
แต่โชคชัยก็บอกเขาว่า แบ่งเป็น2งวด/เดือนได้มั๊ย
เพราะเขาจ่ายพนักงานเป็นวิก
ทางผู้จ้างก็ตกลงทันที
แล้วก็ย้ำว่าถ้าพามาวันรุ่งขึ้นได้ เขาจะเลิกจ้างบริษัทเก่าทันที
โชคชัยก็เล่าว่า เขางงไปเลยว่า ทำไมง่ายอย่างนี้
แต่ปัญหายังไม่หมด
พอวางหูเขาก็เปรยบอกพระว่า พระองค์ให้งานลูกแล้วพระองค์ไม่ให้คนลูกมา
แล้วลูกจะทำงานได้ยังงัยละ เขาก็คิดๆๆจนกลุ้ม ขี่รถกลับบ้าน
พอจะถึงบ้านเขาก็เจอยามผู้หญิงที่ดูแลโรงงานอยู่แถวบ้าน
เผอิญร ู้จักเคยคุยทักกัน จึงหยุดพูดคุยด้วย
ยามหญิงคนนั้นก็พูดว่า เซ็ง อยากจะย้ายงาน
เพราะไม่ชอบบริษัทที่ทำด้วย นายจ้างไม่ดี
โชคชัยจึงเอ่ยปากชวนเล่นๆว่า
งั้นมาอยู่กับผมมั๊ยละ
เธอก็ตอบตกลงทันที
โชคชัยก็งงเลย...ยังถามย้ำอีกทีว่า แน่นะ
ยามหญิงก็บอกว่า แน่
โชคชัยก็บอกว่า งั้นพรุ่งนี้ให้มาหาเขาที่บริษัท
โชคชัยเล่าว่า พอรุ่งเช้า ยามหญิงคนนั้นก็มายืนรอหน้าบริษัท
ในชุดยามแบบเต็มยศเลย...
เขาทั้งดีใจ และขอบคุณพระ
เขาว่าพระดีต่อเขาจริงๆ เหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา
ทำให้ภรรยาและลูกสาวก็มีความเชื่อมากขึ้น
จากแต่ก่อนที่ที่ทำงาน มีตี่จูเอี้ย มีนางกวัก(ของเจ้าบ้านคนเก่า)
โชคชัยจะยกออก ภรรยาก็ขอไว้
เพราะทำใจไม่ได้ ยังศรัทธาอยู่
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น ภรรยาเขาก็ยินดีให้ยกออก
พร้อมแล้วที่จะพึ่งพระเจ้า
วันนี้ที่ไปฉลองวันด้วยกันแล้วแวะไปรับเขาที่บ้าน
ตัวภรรยาพาไปดูเลยว่าเ ธอยกออกไปแล้ว พร้อมกับนำ
รูปแม่พระอุปถัมภ์ที่อุ้มพระกุมารขนาดฟุตครึ่งมาตั้งแทนที่นางกวัก
(ในที่ทำงานมีกางเขนติดไว้อยู่แล้ว)
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 7 ++ ความเชื่อของพ่อ ช่วยลูกได้ ++
++++++++++++++++++++++++++++
ครอบครัวนี้มีพ่อเป็นคนที่ศรัทธามากๆ แกชื่อน้าตุ้ยค่ะ
ตัวLLเองก็รู้จักแกในระดับหนึ่ง
แกเป็นคนที่ศรัทธามากๆ แกจะสวดสายประคำกางแขนหน้าพระแท่นเป็นประจำ
หลายๆคนชอบด่าว่าแก โอเวอร์ แม้แต่คุณพ่อบางท่านก็ไม่ชอบแก
เพราะแกทำกิจศรัทธามากกว่าที่คนธรรมดาเขาจะทำกัน(เชื่อว่าคงมีพี่น้องหลายท่านเคยเห็นแกค่ะ เพราะแกไปหลายวัดเหมือนกัน)
ถึงใครจะด่าแก มองแกแปลกๆ แกก็ไม่เคยด่าว่ากลับ
แกจะก้มหน้าก้มตาสวดต่อ ไม่สนใจใคร
ครอบครัวของแก มีแกเป็นคริสต์คนเดียวค่ะ
เรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น
ก็คือ เมื่ออาทิตย์กว่าๆที่ผ่านมา
ลูกสาวแกไม่สบาย เป็นโรคอะไรไม่ทราบ เท้าปวดแดงก่ำ ฯลฯ
เดินแทบไม่ได้ ไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวบ้าน
เขาก็รักษาจนหมดปัญญา รักษายังงัยก็ไม่ทุเลาลง
แกจึงย้ายลูกไปโรงพยาบาลรามา
ทว่าไม่มีห้องว่างเลย
ลูกสาวแกก็บอกว่า อยากมารักษาที่เซนต์หลุยส์
แกก็เลยพามา แม้แกจะรู้ว่าค่ารักษาต้องแพงแน่ๆ
แกไม่ค่อยมีตังค์หรอกค่ะ รักษาอยู่2วัน ค่ารักษาก็2-3หมื่นเข้าไปแล้ว
แกก็กลุ้มใจ จึงขึ้นไปสวดที่วัดน้อยชั้น24 ของโรงพยาบาล และเริ่มพลีกรรม อดอาหาร
แกอดอาหารแบบไม่ทานอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า
แกเล่าว่าเวลาแกหิวมากๆ เพียงแค่แกเดินรูป14ภาค
ความหิวก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ส่วนลูกสาวแกก็เดินกระย่องกระแย่ง เอาพวงมาลัยไปไหว้แม่พระ
แล้วอยู่ดีๆ คุณหมอจากจุฬาท่านหนึ่ง(เป็นคาทอลิก)
ก็มาเห็นเข้า คุณหมอก็บอกขึ้นมาว่า
คุณหมอต้องการย้ายเธอไปรักษาที่จุฬา แล้วก็เดินเรื่องให้หมด
ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าที่จุฬา ต้องเข้าคิวรอเตียงขนาดไหน
ยังไม่จบเท่านั้นค่ะ
น้าตุ้ยแกก็ยังอดอาหารและ สวดไม่เลิก
สวดทุกวัน จนมืดค่ำ มาเซอร์ก็ต้องมาบอกแกว่า
แกทำแบบนี้ไม่ได้ มาเซอร์ต้องปิดห้อง ตอนกลางคืน
แกก็กราบเท้ามาเซอร์เลย แกบอกว่าแกขอร้อง
ลูกสาวแกป่วยมาก แกกำลังจำศีลพลีกรรมให้ลูกสาว
มาเซอร์จึงยอม
พอเข้าวันที่5 คุณพ่อวิจิตรก็ไปพบแกเข้า
แกเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณพ่อจึงอวยพรเขา
แล้วก็ร้องเพลง "พระเยซูชนะพญามาร"
เนื้อร้องก็ง่ายมากๆค่ะ
"พระเยซูชนะ พระเยซูชนะ พระเยซูชนะพญามาร
พระเยซูชนะ พระเยซูชนะ พระเยซูชนะพญามาร
อัลเลลูยา อัลเลลูยา พระเยซูชนะพญามาร
อัลเลลูยา อัลเลลูยา พระเยซูชนะพญามาร"
แกบอกว่าเพลงนี้ดังก้องจนแกทนไม่ไหว แกรู้สึกว่าพระเยซูทรงเมตตาแกแล้ว
และต้องรักษาลูกสาวแกแน่ๆ
แกจึงรีบโทรศ ัพท์ไปหาลูกสาวแล้วร้องเพลงนี้ให้ฟัง
พอร้องเพลงจบลูกสาวแกก็ร้องไห้
น้าตุ้ยก ็ถามว่าเป็นอะไร
ลูกสาวแกก็บอกว่า เธอหายแล้ว
น้าตุ้ยก็ถามว่าจริงรึเปล่า
ลูกสาวแกก็บอกว่า พ่อมาดูเองสิค่ะ คุณหมอให้กลับบ้านได้แล้ว
แผลต่างๆ อาการต่างๆ หายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ลูกสาวแกร้องไห้บอกน้าตุ้ยว่า แกจะเป็นคริสต์แล้ว
และเวลานี้ลูกเมียแก ขอเรียนคำสอนทั้งครอบครัวแล้วค่ะ
ความเชื่อ ความศรัทธา และการพลีกรรม
ช่วยเขาและครอบครัวให้รอดค่ะ
++++++++++++++++++++++++++++
ครอบครัวนี้มีพ่อเป็นคนที่ศรัทธามากๆ แกชื่อน้าตุ้ยค่ะ
ตัวLLเองก็รู้จักแกในระดับหนึ่ง
แกเป็นคนที่ศรัทธามากๆ แกจะสวดสายประคำกางแขนหน้าพระแท่นเป็นประจำ
หลายๆคนชอบด่าว่าแก โอเวอร์ แม้แต่คุณพ่อบางท่านก็ไม่ชอบแก
เพราะแกทำกิจศรัทธามากกว่าที่คนธรรมดาเขาจะทำกัน(เชื่อว่าคงมีพี่น้องหลายท่านเคยเห็นแกค่ะ เพราะแกไปหลายวัดเหมือนกัน)
ถึงใครจะด่าแก มองแกแปลกๆ แกก็ไม่เคยด่าว่ากลับ
แกจะก้มหน้าก้มตาสวดต่อ ไม่สนใจใคร
ครอบครัวของแก มีแกเป็นคริสต์คนเดียวค่ะ
เรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น
ก็คือ เมื่ออาทิตย์กว่าๆที่ผ่านมา
ลูกสาวแกไม่สบาย เป็นโรคอะไรไม่ทราบ เท้าปวดแดงก่ำ ฯลฯ
เดินแทบไม่ได้ ไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวบ้าน
เขาก็รักษาจนหมดปัญญา รักษายังงัยก็ไม่ทุเลาลง
แกจึงย้ายลูกไปโรงพยาบาลรามา
ทว่าไม่มีห้องว่างเลย
ลูกสาวแกก็บอกว่า อยากมารักษาที่เซนต์หลุยส์
แกก็เลยพามา แม้แกจะรู้ว่าค่ารักษาต้องแพงแน่ๆ
แกไม่ค่อยมีตังค์หรอกค่ะ รักษาอยู่2วัน ค่ารักษาก็2-3หมื่นเข้าไปแล้ว
แกก็กลุ้มใจ จึงขึ้นไปสวดที่วัดน้อยชั้น24 ของโรงพยาบาล และเริ่มพลีกรรม อดอาหาร
แกอดอาหารแบบไม่ทานอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า
แกเล่าว่าเวลาแกหิวมากๆ เพียงแค่แกเดินรูป14ภาค
ความหิวก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ส่วนลูกสาวแกก็เดินกระย่องกระแย่ง เอาพวงมาลัยไปไหว้แม่พระ
แล้วอยู่ดีๆ คุณหมอจากจุฬาท่านหนึ่ง(เป็นคาทอลิก)
ก็มาเห็นเข้า คุณหมอก็บอกขึ้นมาว่า
คุณหมอต้องการย้ายเธอไปรักษาที่จุฬา แล้วก็เดินเรื่องให้หมด
ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าที่จุฬา ต้องเข้าคิวรอเตียงขนาดไหน
ยังไม่จบเท่านั้นค่ะ
น้าตุ้ยแกก็ยังอดอาหารและ สวดไม่เลิก
สวดทุกวัน จนมืดค่ำ มาเซอร์ก็ต้องมาบอกแกว่า
แกทำแบบนี้ไม่ได้ มาเซอร์ต้องปิดห้อง ตอนกลางคืน
แกก็กราบเท้ามาเซอร์เลย แกบอกว่าแกขอร้อง
ลูกสาวแกป่วยมาก แกกำลังจำศีลพลีกรรมให้ลูกสาว
มาเซอร์จึงยอม
พอเข้าวันที่5 คุณพ่อวิจิตรก็ไปพบแกเข้า
แกเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณพ่อจึงอวยพรเขา
แล้วก็ร้องเพลง "พระเยซูชนะพญามาร"
เนื้อร้องก็ง่ายมากๆค่ะ
"พระเยซูชนะ พระเยซูชนะ พระเยซูชนะพญามาร
พระเยซูชนะ พระเยซูชนะ พระเยซูชนะพญามาร
อัลเลลูยา อัลเลลูยา พระเยซูชนะพญามาร
อัลเลลูยา อัลเลลูยา พระเยซูชนะพญามาร"
แกบอกว่าเพลงนี้ดังก้องจนแกทนไม่ไหว แกรู้สึกว่าพระเยซูทรงเมตตาแกแล้ว
และต้องรักษาลูกสาวแกแน่ๆ
แกจึงรีบโทรศ ัพท์ไปหาลูกสาวแล้วร้องเพลงนี้ให้ฟัง
พอร้องเพลงจบลูกสาวแกก็ร้องไห้
น้าตุ้ยก ็ถามว่าเป็นอะไร
ลูกสาวแกก็บอกว่า เธอหายแล้ว
น้าตุ้ยก็ถามว่าจริงรึเปล่า
ลูกสาวแกก็บอกว่า พ่อมาดูเองสิค่ะ คุณหมอให้กลับบ้านได้แล้ว
แผลต่างๆ อาการต่างๆ หายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ลูกสาวแกร้องไห้บอกน้าตุ้ยว่า แกจะเป็นคริสต์แล้ว
และเวลานี้ลูกเมียแก ขอเรียนคำสอนทั้งครอบครัวแล้วค่ะ
ความเชื่อ ความศรัทธา และการพลีกรรม
ช่วยเขาและครอบครัวให้รอดค่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 8 เรื่องของแม่เพื่อนLL
++++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแม่เพื่อนค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่ของเพื่อนLLซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัวLLพอสมควรเป็นหญิงเก่งด้วยความจำเป็น เพราะสามีเป็นอัมพาตหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ คุณแม่ของเพื่อนก็เลยต้องสลัดผ้ากันเปื้อนทิ้งมาหัดขับรถกะบะทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแทน
วันหนึ่งอาอี้(แม่เพื่อน)ต้องไปทำงานต่างจังหวัดโดยมีคนงานนั่งอยู่ที่กะบะหลังไปด้วย2คน พอทำงานเสร็จก็เริ่มเย็นแล้ว อาอี้ก็เป็นห่วงสามีเพราะที่บ้านมีแต่เด็กๆอยู่กัน จึงรีบขับรถกลับบ้าน ถนนโล่งมากๆอี้เขาก็เลยเหยียดคันเร่งซะเต็มที่ มีรถตามมาข้างหลัง3คัน แต่ยังไงอี้ก็ไม่ลืมที่จะสวดสายประคำระหว่างขับรถด้วย แล้วขับอยู่ดีๆก็มีมอเตอร์ไซด์ขับตัดหน้ารถ อี้เขาก็หักหลบทันที ทำให้รถเสียหลักหมุนติ้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ อี้เล่าว่าตอนนั้นนึกในใจว่ารถต้องคว่ำแน่ๆ คงจะต้องตายแน่แล้วจึงรีบนึกถึงแม่พระ
แต่ปรากฏว่ารถไม่คว่ำ เมื่อรถหยุดสนิทกลับไม่มีใครเป็นอะไรเลย คนงานทั้ง2คนก็ไม่ได้กระเด็นตกจากรถ(ถ้าตกจากรถไปคงได้มีคนตายแน่ๆ) รถที่ตามมาก็เบรคทันไม่ได้พุ่งเข้ามาชนตัวรถ พออี้ตั้งสติได้ก็จะสวดขอบคุณพระ เลยมองหาสายประคำก็ปรากฏว่าสายประคำขาดเป็น3ท่อนกองอยู่พื้นรถ
พวกเราจึงเชื่อว่าพระเจ้าและแม่พระทรงให้สายประคำรับเคราะห์แทน ดังนั่นไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหนใกล้ไกลทุกครั้ง อย่าลืมสวดขอพรพระเจ้าให้ทรงคุมครองการเดินทางของเรานะค่ะ
++++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณแม่เพื่อนค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่ของเพื่อนLLซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัวLLพอสมควรเป็นหญิงเก่งด้วยความจำเป็น เพราะสามีเป็นอัมพาตหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ คุณแม่ของเพื่อนก็เลยต้องสลัดผ้ากันเปื้อนทิ้งมาหัดขับรถกะบะทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแทน
วันหนึ่งอาอี้(แม่เพื่อน)ต้องไปทำงานต่างจังหวัดโดยมีคนงานนั่งอยู่ที่กะบะหลังไปด้วย2คน พอทำงานเสร็จก็เริ่มเย็นแล้ว อาอี้ก็เป็นห่วงสามีเพราะที่บ้านมีแต่เด็กๆอยู่กัน จึงรีบขับรถกลับบ้าน ถนนโล่งมากๆอี้เขาก็เลยเหยียดคันเร่งซะเต็มที่ มีรถตามมาข้างหลัง3คัน แต่ยังไงอี้ก็ไม่ลืมที่จะสวดสายประคำระหว่างขับรถด้วย แล้วขับอยู่ดีๆก็มีมอเตอร์ไซด์ขับตัดหน้ารถ อี้เขาก็หักหลบทันที ทำให้รถเสียหลักหมุนติ้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ อี้เล่าว่าตอนนั้นนึกในใจว่ารถต้องคว่ำแน่ๆ คงจะต้องตายแน่แล้วจึงรีบนึกถึงแม่พระ
แต่ปรากฏว่ารถไม่คว่ำ เมื่อรถหยุดสนิทกลับไม่มีใครเป็นอะไรเลย คนงานทั้ง2คนก็ไม่ได้กระเด็นตกจากรถ(ถ้าตกจากรถไปคงได้มีคนตายแน่ๆ) รถที่ตามมาก็เบรคทันไม่ได้พุ่งเข้ามาชนตัวรถ พออี้ตั้งสติได้ก็จะสวดขอบคุณพระ เลยมองหาสายประคำก็ปรากฏว่าสายประคำขาดเป็น3ท่อนกองอยู่พื้นรถ
พวกเราจึงเชื่อว่าพระเจ้าและแม่พระทรงให้สายประคำรับเคราะห์แทน ดังนั่นไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหนใกล้ไกลทุกครั้ง อย่าลืมสวดขอพรพระเจ้าให้ทรงคุมครองการเดินทางของเรานะค่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 9 เครื่องหมายของพระเจ้า
+++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของLL
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปีที่แล้วLLได้มีโอกาสติดตามเพื่อนๆที่อยากไปดูดวงบ้านหมอดูคนหนึ่ง
ที่เป็นร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม(เขาบอกว่าอย่างนั้น) (โอ๊ะๆ....LLไม่ได้ไปดูนะค่ะ ติดสอยห้อย
ตามไปเฉยๆ เดี๋ยวพี่ๆน้องๆจะตกใจกันว่าเป็นคริสต์ทำไมไปดูหมอ)
วันนั้นมีไปกัน8คนโดยแยกรถกันไป2คัน รถคันที่LLนั่งมีกัน4คน
มีรุ่นน้องผู้ชายเป็นขับรถไปให้ นอกนั้นก็สาวๆหมด(ตามสไตล์สาวไทยชอบดูดวง)
ระหว่างทางก็คุยกันว่าน้องผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก
เคยเห็นเป็นตัวโปร่งแสงเดินผ่านหน้าเลย
พอไปถึงที่บ้านร่างทรง รถคันที่พวกLLนั่งมาถึงก่อน
พวกLLก็เข้าไปในบ้านร่างทรงโดยที่น้องผู้ชายไม่ได้เข้าไปด้วย
ยืนทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเข้าไปร่างทรงก็ทักเลยว่าพาใครมาด้วย
พวกLLก็เลยบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะ ช่วยขับรถมาส่งแต่ไม่กล้าดูดวงเลยเดินเล่นข้างนอก
ร่างทรงก็บอกว่าเขาพาใครมาด้วยนะ อีกคนหนึ่ง...พวกLLก็มองหน้ากันเลิกลักเลย
ก็มีกันแค่นี้จะมีใครอีกหล่ะร่างทรงก็บอกให้ไปเรียกน้องเขาเข้ามา
เขาก็ดูๆแล้วก็บอกว่าน้องคนนี้ชอบมีพวกวิญญาณตามประจำ
เพราะอะไรเนี่ยLLจำไม่ได้แล้ว
หมอดูบอกว่าวิญญาณตามมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มออกรถจากมหาลัยแล้ว
เท่านั้นแหละ กรี๊ดกันทั้งกลุ่มเพราะหมายความว่าพวกLLนั่งกับ....มาตลอดทางเหรอ
(แล้วLLน่ะกลัวผีสุดๆ คนอื่นก็กลัวเหมือนกัน....แต่ย้ำว่าLLน่ะกลัวสุดๆ
ขนาดบ้านตัวเองบางทียังไม่กล้าขึ้นชั้นสองเวลากลางคืนที่ปิดไฟมืดๆเลย)
ร่างทรงก็หันมามองหน้าLLแล้วก็พูดว่า
"หนูไม่ต้องกลัวหรอก ชีวิตนี้หนูไม่ได้เห็นผีหรอก"
ตอนแรกๆLLก็งงอยู่เหมือนกันว่าเขาหมายความว่าอะไร
LLก็อยู่ที่นั่นได้สักพักก็พอดีเริ่มเย็นแล้ว LLก็เลยนั่งแท๊กซี่กลับบ้านไปก่อน
คืนนั้นLLก็คิดทั้งคืนว่าที่ร่างทรงพูดมันหมายความว่าอะไร
แต่ตั้งแต่เด็กๆแล้วมาม๊าของLLจะพูดเสมอว่าเมื่อเราล้างบาปแล้ว
เราจะมีเครื่องหมายของพระเจ้าที่หน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า
พอวันรุ่งขึ้นLLก็ได้เจอเพื่อนคนหนึ่งที่ไปดูหมอด้วยกัน
LLก็เลยบอกเขาว่า "เราว่าเมื่อวานที่ร่างทรงพูดว่าเราจะไม่เห็นผีชั่วชีวิตน่ะ เราว่า..."
พูดยังไม่ทันจบเลย เพื่อนก็บอกว่า
"อืมม์ พอเธอกลับไปแล้วพี่เขา(หมายถึงร่างทรง)ก็บอกว่าเธอมีเครื่องหมายกากบาทที่หน้าผากด้วย"
แล้วเขาก็ทำรูปกากบาทที่เขาว่าให้ดู....มันคือรูปกางเขนค่ะ!!
LLทั้งอึ้ง ทั้งอัศจรรย์ใจ หลายๆอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ มองหน้าเพื่อนเงียบไปพักใหญ่เลย
เพราะเพื่อนๆทุกคนรู้ว่าLLเป็นคริสต์ แต่รับรองแน่ๆว่าเขาไม่รู้ว่าพิธีล้างบาปเป็นยังไง
(เพราะพิธีล้างบาปจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณพ่อจะเอาน้ำมันมาเจิมเป็นรูปกางเขนที่หน้าผาก)
และที่สำคัญร่างทรงไม่มีทางรู้ก่อนแน่ๆว่าLLเป็นคริสต์ LLไม่รู้ว่าร่างทรงรู้ได้ด้วยพลังอำนาจของอะไร LLรู้แต่ว่านี่แหละสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ผีปีศาจกลัว
นี่แหละเพราะLLเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์จึงมอบเครื่องหมายนี้ให้LL
ในขณะที่เพื่อนๆไม่มี และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงหลักฐาน
แห่งความเที่ยงแท้ของพระองค์
และLLยังเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนและพี่น้องในครอบครัวฟังบ่อยๆ
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะLLอยากจะอวดตัวว่ามีของดี แต่LLอยากจะบอกทุกๆคนว่า
เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาเที่ยงแท้ จงอย่ากลัวสิ่งใดๆเลย อย่ากลัวมารผจญ
ก็เราทุกคนมีเครื่องหมายของพระองค์ที่จะติดตัวเราไปตลอดจนถึงชีวิตนิรันดร
+++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ตรงของLL
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปีที่แล้วLLได้มีโอกาสติดตามเพื่อนๆที่อยากไปดูดวงบ้านหมอดูคนหนึ่ง
ที่เป็นร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม(เขาบอกว่าอย่างนั้น) (โอ๊ะๆ....LLไม่ได้ไปดูนะค่ะ ติดสอยห้อย
ตามไปเฉยๆ เดี๋ยวพี่ๆน้องๆจะตกใจกันว่าเป็นคริสต์ทำไมไปดูหมอ)
วันนั้นมีไปกัน8คนโดยแยกรถกันไป2คัน รถคันที่LLนั่งมีกัน4คน
มีรุ่นน้องผู้ชายเป็นขับรถไปให้ นอกนั้นก็สาวๆหมด(ตามสไตล์สาวไทยชอบดูดวง)
ระหว่างทางก็คุยกันว่าน้องผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก
เคยเห็นเป็นตัวโปร่งแสงเดินผ่านหน้าเลย
พอไปถึงที่บ้านร่างทรง รถคันที่พวกLLนั่งมาถึงก่อน
พวกLLก็เข้าไปในบ้านร่างทรงโดยที่น้องผู้ชายไม่ได้เข้าไปด้วย
ยืนทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเข้าไปร่างทรงก็ทักเลยว่าพาใครมาด้วย
พวกLLก็เลยบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะ ช่วยขับรถมาส่งแต่ไม่กล้าดูดวงเลยเดินเล่นข้างนอก
ร่างทรงก็บอกว่าเขาพาใครมาด้วยนะ อีกคนหนึ่ง...พวกLLก็มองหน้ากันเลิกลักเลย
ก็มีกันแค่นี้จะมีใครอีกหล่ะร่างทรงก็บอกให้ไปเรียกน้องเขาเข้ามา
เขาก็ดูๆแล้วก็บอกว่าน้องคนนี้ชอบมีพวกวิญญาณตามประจำ
เพราะอะไรเนี่ยLLจำไม่ได้แล้ว
หมอดูบอกว่าวิญญาณตามมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มออกรถจากมหาลัยแล้ว
เท่านั้นแหละ กรี๊ดกันทั้งกลุ่มเพราะหมายความว่าพวกLLนั่งกับ....มาตลอดทางเหรอ
(แล้วLLน่ะกลัวผีสุดๆ คนอื่นก็กลัวเหมือนกัน....แต่ย้ำว่าLLน่ะกลัวสุดๆ
ขนาดบ้านตัวเองบางทียังไม่กล้าขึ้นชั้นสองเวลากลางคืนที่ปิดไฟมืดๆเลย)
ร่างทรงก็หันมามองหน้าLLแล้วก็พูดว่า
"หนูไม่ต้องกลัวหรอก ชีวิตนี้หนูไม่ได้เห็นผีหรอก"
ตอนแรกๆLLก็งงอยู่เหมือนกันว่าเขาหมายความว่าอะไร
LLก็อยู่ที่นั่นได้สักพักก็พอดีเริ่มเย็นแล้ว LLก็เลยนั่งแท๊กซี่กลับบ้านไปก่อน
คืนนั้นLLก็คิดทั้งคืนว่าที่ร่างทรงพูดมันหมายความว่าอะไร
แต่ตั้งแต่เด็กๆแล้วมาม๊าของLLจะพูดเสมอว่าเมื่อเราล้างบาปแล้ว
เราจะมีเครื่องหมายของพระเจ้าที่หน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า
พอวันรุ่งขึ้นLLก็ได้เจอเพื่อนคนหนึ่งที่ไปดูหมอด้วยกัน
LLก็เลยบอกเขาว่า "เราว่าเมื่อวานที่ร่างทรงพูดว่าเราจะไม่เห็นผีชั่วชีวิตน่ะ เราว่า..."
พูดยังไม่ทันจบเลย เพื่อนก็บอกว่า
"อืมม์ พอเธอกลับไปแล้วพี่เขา(หมายถึงร่างทรง)ก็บอกว่าเธอมีเครื่องหมายกากบาทที่หน้าผากด้วย"
แล้วเขาก็ทำรูปกากบาทที่เขาว่าให้ดู....มันคือรูปกางเขนค่ะ!!
LLทั้งอึ้ง ทั้งอัศจรรย์ใจ หลายๆอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ มองหน้าเพื่อนเงียบไปพักใหญ่เลย
เพราะเพื่อนๆทุกคนรู้ว่าLLเป็นคริสต์ แต่รับรองแน่ๆว่าเขาไม่รู้ว่าพิธีล้างบาปเป็นยังไง
(เพราะพิธีล้างบาปจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณพ่อจะเอาน้ำมันมาเจิมเป็นรูปกางเขนที่หน้าผาก)
และที่สำคัญร่างทรงไม่มีทางรู้ก่อนแน่ๆว่าLLเป็นคริสต์ LLไม่รู้ว่าร่างทรงรู้ได้ด้วยพลังอำนาจของอะไร LLรู้แต่ว่านี่แหละสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ผีปีศาจกลัว
นี่แหละเพราะLLเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์จึงมอบเครื่องหมายนี้ให้LL
ในขณะที่เพื่อนๆไม่มี และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงหลักฐาน
แห่งความเที่ยงแท้ของพระองค์
และLLยังเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนและพี่น้องในครอบครัวฟังบ่อยๆ
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะLLอยากจะอวดตัวว่ามีของดี แต่LLอยากจะบอกทุกๆคนว่า
เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาเที่ยงแท้ จงอย่ากลัวสิ่งใดๆเลย อย่ากลัวมารผจญ
ก็เราทุกคนมีเครื่องหมายของพระองค์ที่จะติดตัวเราไปตลอดจนถึงชีวิตนิรันดร
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 03, 2006 2:31 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 10 แม่พระทรงรักษาทารกน้อย
+++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวนี้มีกัน4คนพ่อแม่ลูกสาว และอยู่ในท้องอีกหนึ่ง สามีเป็นคนพุทธ ส่วนภรรยาเป็นคาทอลิก ขณะนั้นภรรยาท้องได้8เดือน แต่ตัวภรรยาเป็นคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก คืนหนึ่งจู่ๆภรรยาก็เกิดอาการตกเลือดจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที คืนนั้นหมอก็รีบทำการผ่าเอาเด็กออกมา เป็นเด็กผู้ชายค่ะแต่ปรากฏว่ารกไปพันคอเด็กอาการเป็นตายเท่ากัน ส่วนตัวแม่เด็กนั้นปลอดภัย
ทั้งหมอและพยาบาลก็บอกให้ครอบครัวของเขาทำใจ เพราะเคสแบบนี้เด็กจะค่อยไม่รอด ถึงอยู่ได้ก็ไม่เกินอาทิตย์ หรือถ้ารอดจริงๆก็จะอยู่ในตู้อบมากกว่า6เดือน ทั้งพ่อและแม่เสียใจมาก คืนนั้นตัวพ่อเด็กก็รีบเตรียมจะออกไปจากโรงพยาบาลไปหาร่างทรงกุมารทองให้มาช่วยลูกชายของเขา แม่เด็กก็รีบห้ามบอกว่า"ไม่ต้องไปตามกุมารทองมานะ คุณหน่ะไปหาคุณพ่อวิจิตร ไปเชิญคุณพ่อมา"
แต่สามีไม่เชื่อ ยืนยันจะไปหากุมารทองให้ได้ เมื่อสามีไปแล้ว ตัวภรรยาก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะสามีไม่ยอมไปเชิญคุณพ่อ แต่ไปเชิญ กุมารทอง ดังนั้นเธอก็เลยลงจากเตียงคนไข้กัดฟันเดินไปที่ห้องเด็กอ่อน เธอบอกว่าเห็นลูกตัวเองตัวเล็กนิดเดียวนอนหายใจเบาๆอยู่ในตู้อบมีสายนู่นสายนี่ระโยงระยางเต็มตัวเด็ก ทั้งแขนทั้งขามีสายยางเจาะทะลุ พอเห็นแล้วรู้สึกสงสารลูกมากๆ เธอก็ยื่นเหรียญแม่พระอัศจรรย์ส่งให้พยาบาล แล้วก็บอกพยาบาลว่าให้ช่วยเอาไปไว้ใต้หมอนลูกให้ด้วย พยาบาลก็ทำให้โดยไม่ขัด
พอเธอกลับมาถึงห้องก็นอนรอสามีอยู่ที่เตียง โทรศํพท์ไปบอกน้องสาวให้รีบเชิญพ่อวิจิตรมา(คงกะว่าจะให้มาถึงก่อนกุมารทอง) ระหว่างนั้นก็สวดสายประคำไปด้วย ปรากฏว่าคุณพ่อไปถึงโรงพยาบาลเช้ามืดวันนั้น พอไปถึงทั้งตัวสามีและภรรยาก็รีบเล่าเรื่องอัศจรรย์ให้ฟัง
เรื่องของเรื่องก็คือว่า คืนนั้นสามีไปตามร่างทรงกุมารทองมา เมื่อร่างทรงกุมารทองมาถึง สามีเล่าว่าแค่ก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้องเด็กอ่อน กุมารทองก็หยุดเดินแล้วก็พูดว่า เขาไม่จำเป็นต้องอยู่แล้ว สามีก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น กุมารทองเลยบอกว่าเด็กไม่ตายหรอก มีเจ้าแม่องค์หนึ่งยืนผายมืออยู่เหนือตู้อบ รับรองว่าเด็กไม่ตายหรอก แล้วกุมารทองก็กลับเลย
สามีก็กลับใจวันนั้นเลยเหมือนกัน พอเขาพาคุณพ่อไปเยี่ยมเด็ก คุณพ่อบอกว่าพอไปถึงก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาว่าอีกสองอาทิตย์เด็กจะได้ออกมาจากตู้อบแล้วนะ ทั้งหมอทั้งพยาบาลก็เถียงว่าไม่ได้เพราะอย่างน้อยๆต้องอยู่อีก6เดือน และก็ปรากฏว่าหลังจากนั้นสองอาทิตย์เด็กก็ได้ออกจากตู้อบจริงๆ(คุณพ่อเชิญพยาบาลคนนั้นมายืนยันด้วย) หลังจาดนั้นพอเด็กคนนั้นแข็งแรงแล้วก็เข้าพิธีล้างบาปพร้อมๆกับพ่อของเขา
ตอนนี้ครอบครัวนี้มีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน กลายเป็น 3 คนพี่น้อง
น่ารักมาก ชื่อน้องศร น้องท๊อป และ กู๊ดดี้ *ok
+++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวนี้มีกัน4คนพ่อแม่ลูกสาว และอยู่ในท้องอีกหนึ่ง สามีเป็นคนพุทธ ส่วนภรรยาเป็นคาทอลิก ขณะนั้นภรรยาท้องได้8เดือน แต่ตัวภรรยาเป็นคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก คืนหนึ่งจู่ๆภรรยาก็เกิดอาการตกเลือดจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที คืนนั้นหมอก็รีบทำการผ่าเอาเด็กออกมา เป็นเด็กผู้ชายค่ะแต่ปรากฏว่ารกไปพันคอเด็กอาการเป็นตายเท่ากัน ส่วนตัวแม่เด็กนั้นปลอดภัย
ทั้งหมอและพยาบาลก็บอกให้ครอบครัวของเขาทำใจ เพราะเคสแบบนี้เด็กจะค่อยไม่รอด ถึงอยู่ได้ก็ไม่เกินอาทิตย์ หรือถ้ารอดจริงๆก็จะอยู่ในตู้อบมากกว่า6เดือน ทั้งพ่อและแม่เสียใจมาก คืนนั้นตัวพ่อเด็กก็รีบเตรียมจะออกไปจากโรงพยาบาลไปหาร่างทรงกุมารทองให้มาช่วยลูกชายของเขา แม่เด็กก็รีบห้ามบอกว่า"ไม่ต้องไปตามกุมารทองมานะ คุณหน่ะไปหาคุณพ่อวิจิตร ไปเชิญคุณพ่อมา"
แต่สามีไม่เชื่อ ยืนยันจะไปหากุมารทองให้ได้ เมื่อสามีไปแล้ว ตัวภรรยาก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะสามีไม่ยอมไปเชิญคุณพ่อ แต่ไปเชิญ กุมารทอง ดังนั้นเธอก็เลยลงจากเตียงคนไข้กัดฟันเดินไปที่ห้องเด็กอ่อน เธอบอกว่าเห็นลูกตัวเองตัวเล็กนิดเดียวนอนหายใจเบาๆอยู่ในตู้อบมีสายนู่นสายนี่ระโยงระยางเต็มตัวเด็ก ทั้งแขนทั้งขามีสายยางเจาะทะลุ พอเห็นแล้วรู้สึกสงสารลูกมากๆ เธอก็ยื่นเหรียญแม่พระอัศจรรย์ส่งให้พยาบาล แล้วก็บอกพยาบาลว่าให้ช่วยเอาไปไว้ใต้หมอนลูกให้ด้วย พยาบาลก็ทำให้โดยไม่ขัด
พอเธอกลับมาถึงห้องก็นอนรอสามีอยู่ที่เตียง โทรศํพท์ไปบอกน้องสาวให้รีบเชิญพ่อวิจิตรมา(คงกะว่าจะให้มาถึงก่อนกุมารทอง) ระหว่างนั้นก็สวดสายประคำไปด้วย ปรากฏว่าคุณพ่อไปถึงโรงพยาบาลเช้ามืดวันนั้น พอไปถึงทั้งตัวสามีและภรรยาก็รีบเล่าเรื่องอัศจรรย์ให้ฟัง
เรื่องของเรื่องก็คือว่า คืนนั้นสามีไปตามร่างทรงกุมารทองมา เมื่อร่างทรงกุมารทองมาถึง สามีเล่าว่าแค่ก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้องเด็กอ่อน กุมารทองก็หยุดเดินแล้วก็พูดว่า เขาไม่จำเป็นต้องอยู่แล้ว สามีก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น กุมารทองเลยบอกว่าเด็กไม่ตายหรอก มีเจ้าแม่องค์หนึ่งยืนผายมืออยู่เหนือตู้อบ รับรองว่าเด็กไม่ตายหรอก แล้วกุมารทองก็กลับเลย
สามีก็กลับใจวันนั้นเลยเหมือนกัน พอเขาพาคุณพ่อไปเยี่ยมเด็ก คุณพ่อบอกว่าพอไปถึงก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาว่าอีกสองอาทิตย์เด็กจะได้ออกมาจากตู้อบแล้วนะ ทั้งหมอทั้งพยาบาลก็เถียงว่าไม่ได้เพราะอย่างน้อยๆต้องอยู่อีก6เดือน และก็ปรากฏว่าหลังจากนั้นสองอาทิตย์เด็กก็ได้ออกจากตู้อบจริงๆ(คุณพ่อเชิญพยาบาลคนนั้นมายืนยันด้วย) หลังจาดนั้นพอเด็กคนนั้นแข็งแรงแล้วก็เข้าพิธีล้างบาปพร้อมๆกับพ่อของเขา
ตอนนี้ครอบครัวนี้มีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน กลายเป็น 3 คนพี่น้อง
น่ารักมาก ชื่อน้องศร น้องท๊อป และ กู๊ดดี้ *ok
อืม เรื่องใหม่ๆเยอะดีจังงับ แต่เอ
เรื่องที่10นี่ ใช่เด็กๆที่พี่พามาให้ผมสอนเล่นที่ร้านปะอะคับ
ที่พี่บอกว่ามาจาก usa น่ะ
เรื่องที่10นี่ ใช่เด็กๆที่พี่พามาให้ผมสอนเล่นที่ร้านปะอะคับ
ที่พี่บอกว่ามาจาก usa น่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ใช่..นั่นแหละ...ครอบครัวนั้นเลย
ส่วนเคสที่ว่าคือ น้องท๊อป ลูกคนกลางของเขางัย
ส่วนเคสที่ว่าคือ น้องท๊อป ลูกคนกลางของเขางัย
ชอบเรื่องพวกนี้จัง อ่านแล้วเสริมศรัทธาได้ดีจัง มีอีกมาเล่าอีกนะงับ *ok
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 11 พระเยซูทรงเจิมลูกแกะด้วยพระองค์เอง
++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องของลูกทูนหัวของมาม๊าLL1 คะ
เรื่องมีอยู่ว่าเธอรู้จักพี่โฮลี่เพราะจากการติดต่องานกัน
เธอเป็นชาวพุทธที่เรียกได้ว่าเคร่งครัด
นั่งวิปัสนาทุกอาทิตย์ มีโอกาสต้องไปนั่งบวชชี
วัดพระแก้วเนี่ยไปทุกวันพระเลย
เธอเป็นช่างปั้นโมเดลต่างๆ และมีโอกาสได้เอารูปพระที่บ้านLL1ไปซ่อม
ซ่อมไปซ่อมมาก็เกิดสนใจพระเยซู
ประมาณว่าเอาพระมาซ่อมก็น่าจะรู้จักสวดขอพรพระซะหน่อย
เลยมาขอบทสวดไป
สวดวันแรกๆก็บทสองบท
แต่ปรากฏว่ายิ่งสวดยิ่งรักพระเยซู
สวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสวดวันละ 4 เวลา
เช้า สาย บ่าย เย็น สวดแล้วมีความสุข
เธอเลยมาขอหนังสือเกี่ยวกับพระเยซูไปอ่าน
มาถามว่าพระองค์เป็นยังงัย นู่นนี้สาระพัด
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอเล่าว่า
เธอกำลังล้มตัวลงนอน ช่วงเที่ยงคืน-ตี1
เธอบอกว่ารู้ตัวว่ายังไม่หลับ ไม่ใช่จิตปรุงแต่งแน่นอน
เธอเห็นมีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดขาวเดินมาหาเธอ
แล้วแตะหน้าผากเธอ ทำเครื่องหมายอะไรสักอย่างแล้วหายไป
เธอรีบลุกขึ้นทันทีเลยด้วยความตกใจ
แต่ก็ไม่เห็นใครแล้ว
เธอยังเอามาเล่าให้LL1 พี่โฮลี่ และมาม๊าฟังเลย
ตอนนั้นเราก็คิดว่าพระเยซูมาเจิ่มรึเปล่า
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ล้างบาป
วันที่เธอล้างบาปเธอขนลุกซู่เลย
พอเจอพิธีเธอก็รีบเล่าทันทีว่า
ตอนที่คุณพ่อเจิ่มน้ำมันที่หน้าผากของเธอ
เป็นรูปกางเขน เหมือนกับที่ผู้ชายชุดขาวคนนั้น
ทำที่หน้าผากของเธอเลย
เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเข้าพิธีล้างบาปมีขั้นตอนการทำการเขนด้วย
พวกเราจึงเชื่อว่า
พระเยซูเจ้าทรงเจิ่มเธอ
ก่อนที่เธอจะรับศัลล้างบาป
เพื่อยืนยันว่า พระองคืทรงเรียกเธอแล้ว ;)
ทุกวันนี้เธอไปวัดเกือบทุกวัน
งานที่ทำ ก็มีแต่งานพระมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งซ่อมพระในวัด ทั้งรูป 14 ภาค ฯลฯ
++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องของลูกทูนหัวของมาม๊าLL1 คะ
เรื่องมีอยู่ว่าเธอรู้จักพี่โฮลี่เพราะจากการติดต่องานกัน
เธอเป็นชาวพุทธที่เรียกได้ว่าเคร่งครัด
นั่งวิปัสนาทุกอาทิตย์ มีโอกาสต้องไปนั่งบวชชี
วัดพระแก้วเนี่ยไปทุกวันพระเลย
เธอเป็นช่างปั้นโมเดลต่างๆ และมีโอกาสได้เอารูปพระที่บ้านLL1ไปซ่อม
ซ่อมไปซ่อมมาก็เกิดสนใจพระเยซู
ประมาณว่าเอาพระมาซ่อมก็น่าจะรู้จักสวดขอพรพระซะหน่อย
เลยมาขอบทสวดไป
สวดวันแรกๆก็บทสองบท
แต่ปรากฏว่ายิ่งสวดยิ่งรักพระเยซู
สวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสวดวันละ 4 เวลา
เช้า สาย บ่าย เย็น สวดแล้วมีความสุข
เธอเลยมาขอหนังสือเกี่ยวกับพระเยซูไปอ่าน
มาถามว่าพระองค์เป็นยังงัย นู่นนี้สาระพัด
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอเล่าว่า
เธอกำลังล้มตัวลงนอน ช่วงเที่ยงคืน-ตี1
เธอบอกว่ารู้ตัวว่ายังไม่หลับ ไม่ใช่จิตปรุงแต่งแน่นอน
เธอเห็นมีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดขาวเดินมาหาเธอ
แล้วแตะหน้าผากเธอ ทำเครื่องหมายอะไรสักอย่างแล้วหายไป
เธอรีบลุกขึ้นทันทีเลยด้วยความตกใจ
แต่ก็ไม่เห็นใครแล้ว
เธอยังเอามาเล่าให้LL1 พี่โฮลี่ และมาม๊าฟังเลย
ตอนนั้นเราก็คิดว่าพระเยซูมาเจิ่มรึเปล่า
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ล้างบาป
วันที่เธอล้างบาปเธอขนลุกซู่เลย
พอเจอพิธีเธอก็รีบเล่าทันทีว่า
ตอนที่คุณพ่อเจิ่มน้ำมันที่หน้าผากของเธอ
เป็นรูปกางเขน เหมือนกับที่ผู้ชายชุดขาวคนนั้น
ทำที่หน้าผากของเธอเลย
เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเข้าพิธีล้างบาปมีขั้นตอนการทำการเขนด้วย
พวกเราจึงเชื่อว่า
พระเยซูเจ้าทรงเจิ่มเธอ
ก่อนที่เธอจะรับศัลล้างบาป
เพื่อยืนยันว่า พระองคืทรงเรียกเธอแล้ว ;)
ทุกวันนี้เธอไปวัดเกือบทุกวัน
งานที่ทำ ก็มีแต่งานพระมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งซ่อมพระในวัด ทั้งรูป 14 ภาค ฯลฯ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ก.พ. 15, 2005 9:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
จะค่อยๆทยอยเล่านะคะ
(จริงๆแล้ว..ไม่มีเวลาพิมพ์คะ :'( )
จะพยายามมาเล่าบ่อยๆนะคะ :-*
(จริงๆแล้ว..ไม่มีเวลาพิมพ์คะ :'( )
จะพยายามมาเล่าบ่อยๆนะคะ :-*
แล้ว พี่เค้าไม่บอกลักษณะของคนในความฝันเหรอครับ
เพราะผู้เจิมล้างบาปก้อเยอะแยะ น.ยอห์นบัปติส ก้อเป็นไปได้
แต่ที่แน่ๆ เป็นกระแสเรียกแน่นอน
เพราะผู้เจิมล้างบาปก้อเยอะแยะ น.ยอห์นบัปติส ก้อเป็นไปได้
แต่ที่แน่ๆ เป็นกระแสเรียกแน่นอน
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
น. ยอห์น
สวมเสื้อทำจากหนังแกะ
ไม่ใช่เสื้อขาวยาวครับ
และ
น.ยอห์น ทำพิธีล้างด้วยน้ำ
ไม่ใช่ทำด้วยรูปกางเขนครับ :D
สวมเสื้อทำจากหนังแกะ
ไม่ใช่เสื้อขาวยาวครับ
และ
น.ยอห์น ทำพิธีล้างด้วยน้ำ
ไม่ใช่ทำด้วยรูปกางเขนครับ :D
ครับ ลืมไปหน่อย เหอๆ~@Little lamb@~ เขียน: น. ยอห์น
สวมเสื้อทำจากหนังแกะ
ไม่ใช่เสื้อขาวยาวครับ
และ
น.ยอห์น ทำพิธีล้างด้วยน้ำ
ไม่ใช่ทำด้วยรูปกางเขนครับ :D
ขอบคุณมากครับ
Very nice and impressive stories!! Thanks so much!! I like the 7th story... :)
Anyway, I just copied and sent those stories to my friend.. I hope you don't mind this.. :)
I just registered here.. and I'm so impressed with the topics here!!!
Anyway, I just copied and sent those stories to my friend.. I hope you don't mind this.. :)
I just registered here.. and I'm so impressed with the topics here!!!
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ พุธ มี.ค. 09, 2005 11:28 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
*blushhappy ยินดีรับใช้คะ
คุณBuddyมีประสบการณ์อะไรก็สามารถแบ่งปัน
ให้พี่ๆน้องๆได้อ่านกันได้นะคะ
คุณBuddyมีประสบการณ์อะไรก็สามารถแบ่งปัน
ให้พี่ๆน้องๆได้อ่านกันได้นะคะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 12 ++ อัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิท แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่สุด ++
--------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่10-12 ธันวาคมที่ผ่านมา
Little Lambไปฉลองวัดที่เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย
การเดินทางที่ไม่สะดวกบวกกับนอนดึกทำให้เกิดร้อนในที่ลิ้นถึง2ที่
ที ่ปลายลิ้น และ ที่โคนลิ้น เจ็บมากๆคะ
วันที่ 12 ธันวา จึงซื้อยามาทาในเย็นวันนั้น พร้อมเดินทางกลับกทม.
คนขายยาบอกว่าทาสองวันหาย
แต่ปรากฏว่า ทาถึงวันอังคารแล้วก็ยังไม่หาย
เลยเลิกทามันซะเลย เพราะความเซ็ง
เพราะนอกจากไม่หายแล้วยังเจ็บกว่าเดิม
ตลอดเวลาที่เป็นจะเจ็บมากๆ ทานอะไรก็ลำบาก
พูดก็ไม่ถนัด ยิ่งตื่นใหม่ๆจะลิ้นแข็งเลยคะ
จนกระทั่งล่วงเข้าวันศุกร์ที่ 17 ธันวาก็ยังไม่หาย
แถมแผลทั้งสองที่ดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพราะยังนอนดึกทุกวัน
วันนั้นช่วงเย็นก็มีโอกาสได้ไปร่วมมิสซาวันศุกร์
พอถึงตอนรับศีลก็ออกไปรับแล้วกลับมาคุกเข่าที่ที่นั่งของตัวเอง
ตอนนั้นก็พูดในใจว่า
"พระเยซูเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมาจะเป็นอาทิตย์แล้ว
ช่วยลูกด้วยเถอะคะ สัมผัสและรักษาแผลให้ลูกด้วย"
คิดอย่างนั้นปุ๊บก็เลื่อนแผ่นศีลไปแปะที่แผล ร้อนในทั้งสองที่
แล้วก็นึกในใจอีกว่า
"ช่วยลูกด้วย รักษาลูกด้วย"
แล้วก็กลืนศีลลงไป
พอออกจากวัดก็ไปทานข้าวกับลูกค้าต่อ
ตอนนั้นทานข้าวไปคุยไปก็ยังรู้สึกเจ็บเหมือนเดิม
แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรจนเข้านอน
รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา ก็ลุกจะไปอาบน้ำแต่งตัว
แล้วก็มาเอะใจว่า 'เอ๊ะ...ทำไมวันนี้ไม่เจ็บลิ้นหว่า'
เลยไปดูหน้ากระจก
ปรากฏว่า
..........
แผลร้อนในหายไปเลยคะ ไม่เหลือแม้แต่รอยด้วยซ้ำ
สุดยอดมากๆคะ ดีใจสุดๆ ทายาสองวันไม่หาย
เอาศีลแปะวันเดียวหาย
(ใครๆคงคิดว่า..อะไร...แค่เนี่ยอ่ะนะ)
แต่สำหรับLL มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นคะ เพราะนี่เป็นเครื่องยืนยันว่า
แม้แต่เรื่องแผลร้อนใน เรื่องเล็กน้อยสุดๆ ไร้สาระสำหรับบางคนด้วย
แต่พระองค์ก็ไม่เคยเมินเฉย หรือ ละเลย
อัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวันคะ พระเยซูเป็นหมอที่เก่งที่สุด ขอบคุณพระเจ้า
--------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่10-12 ธันวาคมที่ผ่านมา
Little Lambไปฉลองวัดที่เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย
การเดินทางที่ไม่สะดวกบวกกับนอนดึกทำให้เกิดร้อนในที่ลิ้นถึง2ที่
ที ่ปลายลิ้น และ ที่โคนลิ้น เจ็บมากๆคะ
วันที่ 12 ธันวา จึงซื้อยามาทาในเย็นวันนั้น พร้อมเดินทางกลับกทม.
คนขายยาบอกว่าทาสองวันหาย
แต่ปรากฏว่า ทาถึงวันอังคารแล้วก็ยังไม่หาย
เลยเลิกทามันซะเลย เพราะความเซ็ง
เพราะนอกจากไม่หายแล้วยังเจ็บกว่าเดิม
ตลอดเวลาที่เป็นจะเจ็บมากๆ ทานอะไรก็ลำบาก
พูดก็ไม่ถนัด ยิ่งตื่นใหม่ๆจะลิ้นแข็งเลยคะ
จนกระทั่งล่วงเข้าวันศุกร์ที่ 17 ธันวาก็ยังไม่หาย
แถมแผลทั้งสองที่ดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพราะยังนอนดึกทุกวัน
วันนั้นช่วงเย็นก็มีโอกาสได้ไปร่วมมิสซาวันศุกร์
พอถึงตอนรับศีลก็ออกไปรับแล้วกลับมาคุกเข่าที่ที่นั่งของตัวเอง
ตอนนั้นก็พูดในใจว่า
"พระเยซูเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมาจะเป็นอาทิตย์แล้ว
ช่วยลูกด้วยเถอะคะ สัมผัสและรักษาแผลให้ลูกด้วย"
คิดอย่างนั้นปุ๊บก็เลื่อนแผ่นศีลไปแปะที่แผล ร้อนในทั้งสองที่
แล้วก็นึกในใจอีกว่า
"ช่วยลูกด้วย รักษาลูกด้วย"
แล้วก็กลืนศีลลงไป
พอออกจากวัดก็ไปทานข้าวกับลูกค้าต่อ
ตอนนั้นทานข้าวไปคุยไปก็ยังรู้สึกเจ็บเหมือนเดิม
แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรจนเข้านอน
รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา ก็ลุกจะไปอาบน้ำแต่งตัว
แล้วก็มาเอะใจว่า 'เอ๊ะ...ทำไมวันนี้ไม่เจ็บลิ้นหว่า'
เลยไปดูหน้ากระจก
ปรากฏว่า
..........
แผลร้อนในหายไปเลยคะ ไม่เหลือแม้แต่รอยด้วยซ้ำ
สุดยอดมากๆคะ ดีใจสุดๆ ทายาสองวันไม่หาย
เอาศีลแปะวันเดียวหาย
(ใครๆคงคิดว่า..อะไร...แค่เนี่ยอ่ะนะ)
แต่สำหรับLL มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นคะ เพราะนี่เป็นเครื่องยืนยันว่า
แม้แต่เรื่องแผลร้อนใน เรื่องเล็กน้อยสุดๆ ไร้สาระสำหรับบางคนด้วย
แต่พระองค์ก็ไม่เคยเมินเฉย หรือ ละเลย
อัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวันคะ พระเยซูเป็นหมอที่เก่งที่สุด ขอบคุณพระเจ้า
Thanks so much ka... Well, my experience with God is something simple but huge for me... It may seems to be simple and humble, but I don't think so.. I just found myself not trust much in the Lord... I still don't let him deal with everything in my life... so the stories encourage me so much....umm.. Thanks again ka.. :)~@Little lamb@~ เขียน: *blushhappy ยินดีรับใช้คะ
คุณBuddyมีประสบการณ์อะไรก็สามารถแบ่งปัน
ให้พี่ๆน้องๆได้อ่านกันได้นะคะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องของพระเจ้ายิ่งใหญ่เสมอคะ
เอาเรื่องที่เขียนในอิสระก็ได้นิคะ
น่าประทับใจดีออก
ที่คุณBuddyเขียนว่า
สวดขอแม่พระให้สอนสวดอ่ะคะ *no1
เอาเรื่องที่เขียนในอิสระก็ได้นิคะ
น่าประทับใจดีออก
ที่คุณBuddyเขียนว่า
สวดขอแม่พระให้สอนสวดอ่ะคะ *no1
Oh... you've read that? :) Thanks ka.. Well, the story is just that.. nothing more.. It's like my strugglings to be a catholic.. :)~@Little lamb@~ เขียน: เรื่องของพระเจ้ายิ่งใหญ่เสมอคะ
เอาเรื่องที่เขียนในอิสระก็ได้นิคะ
น่าประทับใจดีออก
ที่คุณBuddyเขียนว่า
สวดขอแม่พระให้สอนสวดอ่ะคะ *no1
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
แต่คุณลองคิดดูสิคะว่า
ทำไมอยู่ดีๆ ซิสเตอร์ก็เดินมา
ทำไมไม่เป็นตาสี ตาสาเดินมาแทน
นั่นแปลว่า พระเจ้าเมตตาและรักคุณBuddyมากนะคะ ;)
ทำไมอยู่ดีๆ ซิสเตอร์ก็เดินมา
ทำไมไม่เป็นตาสี ตาสาเดินมาแทน
นั่นแปลว่า พระเจ้าเมตตาและรักคุณBuddyมากนะคะ ;)
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 13 อัศจรรย์แม่พระฟาติมาแห่งซ้งแย้
+++++++++++++++++++++++++++++++
เอาล่ะคะ วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกจนได้
จริงๆก็มีเยอะ...แต่บางเรื่องเล่าไม่ได้
เอาเรื่องที่เล่าได้แล้วกันนะคะ (ลีลาท่ามากจริงๆ)
เข้าเรื่อง...สืบเนื่องจากกระทู้นี้
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... readid=768
ทำให้มีคนหลั่งไหลมาสวดภาวนา กับแม่พระที่บ้านทุกวัน
และก้มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นกับพวกเขา
หนึ่งในนั้นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง
LL ไม่ทราบชื่อ เพราะไม่ได้เป็นคนต้อนรับแขก
แต่ผู้หญิงคนนี้มาบ่อย ตอนแรกมาแบบถือไม้เท้ามาเลยคะ
เพราะหัวเข่าเจ็บ
มาม๊าต้องบอกว่า
"ท่านไหนขาไม่ดี นั่งบนโซฟาได้เลยนะคะ"
ผู้หญิงท่านนี้ก็ค่อยๆเดินไปนั่ง ดูก็รู้คะว่าเจ็บเข่าจริงๆ
แล้วพวกเราก็สวดภาวนากัน สวดสายประคำ
และแบ่งปัน เล่าเรื่องเสริมศรัทธากัน
แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
วันต่อมา...เออ...ผู้หญิงคนนี้มาอีกแล้ว
แต่คราวนี้ดีเขาแจ่มใสขึ้น
แม้ยังใช้ไม้เท้าอยู่ แต่ก็ดูอาการดีขึ้น
พวกเราก็ต้อนรับเต็มที่เหมือนเดิม
ก็ทำเหมือนวันอื่นๆคือ สวดสายประคำด้วยกัน
แบ่งปันเรื่องเสริมศรัทธากัน แล้วก็กลับ
จนวันรุ่งขึ้น
เธอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มาตัวเปล่าเลยคะ
ทิ้งไม้เท้าไปเลย เธอดีใจมากๆ
มาขอบคุณแม่พระใหญ่เลย
เพราะไม่คิดว่าจะหายเร็วขนาดนี้ :D
+++++++++++++++++++++++++++++++
เอาล่ะคะ วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกจนได้
จริงๆก็มีเยอะ...แต่บางเรื่องเล่าไม่ได้
เอาเรื่องที่เล่าได้แล้วกันนะคะ (ลีลาท่ามากจริงๆ)
เข้าเรื่อง...สืบเนื่องจากกระทู้นี้
http://www.newmana.com/yabb/http://newm ... readid=768
ทำให้มีคนหลั่งไหลมาสวดภาวนา กับแม่พระที่บ้านทุกวัน
และก้มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นกับพวกเขา
หนึ่งในนั้นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง
LL ไม่ทราบชื่อ เพราะไม่ได้เป็นคนต้อนรับแขก
แต่ผู้หญิงคนนี้มาบ่อย ตอนแรกมาแบบถือไม้เท้ามาเลยคะ
เพราะหัวเข่าเจ็บ
มาม๊าต้องบอกว่า
"ท่านไหนขาไม่ดี นั่งบนโซฟาได้เลยนะคะ"
ผู้หญิงท่านนี้ก็ค่อยๆเดินไปนั่ง ดูก็รู้คะว่าเจ็บเข่าจริงๆ
แล้วพวกเราก็สวดภาวนากัน สวดสายประคำ
และแบ่งปัน เล่าเรื่องเสริมศรัทธากัน
แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
วันต่อมา...เออ...ผู้หญิงคนนี้มาอีกแล้ว
แต่คราวนี้ดีเขาแจ่มใสขึ้น
แม้ยังใช้ไม้เท้าอยู่ แต่ก็ดูอาการดีขึ้น
พวกเราก็ต้อนรับเต็มที่เหมือนเดิม
ก็ทำเหมือนวันอื่นๆคือ สวดสายประคำด้วยกัน
แบ่งปันเรื่องเสริมศรัทธากัน แล้วก็กลับ
จนวันรุ่งขึ้น
เธอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มาตัวเปล่าเลยคะ
ทิ้งไม้เท้าไปเลย เธอดีใจมากๆ
มาขอบคุณแม่พระใหญ่เลย
เพราะไม่คิดว่าจะหายเร็วขนาดนี้ :D
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร พ.ค. 03, 2005 11:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องที่ 14 อัศจรรย์แม่พระฟาติมาแห่งซ้งแย้ ( ภาค 2 )
+++++++++++++++++++++++++++++++
อีกเรื่องเป็นคนพุทธที่มีญาติเป็นคาทอลิก
แล้วเผอิญรู้จักกับที่บ้าน เลยชวนกันมาสวด
เป็นอาม๊ามาจากระยอง
เธอก็เล่าว่าญาติชวนมาก็มา
มาลองขอพรแม่พระดู อาม๊าว่า
ชอบมีเรื่องทะเลาะกับคนข้างบ้านประจำ
เวลาที่บ้านต่อเติมอะไร ข้างบ้านก็จะด่า
หาว่าสกปรกฝุ่นเยอะ
พอข้างบ้านทำบ้าง เขาก็จะไปว่าบ้าง
ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา
ไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้ว
แต่อาม๊ากำลังจะทำกันสาดใหม่
ก็คงไม่วายได้ทะเลาะกันอีก
เลยจะมาขอให้แม่พระช่วยก็มาสวดด้วยกัน
พอเรียบร้อยแล้วก็กลับบ้านไป
ปรากฏว่าคืนวันต่อมา
อาม่า พร้อมลูกๆหลานๆ ก็บึ่งรถมาจากระยอง
มาถึงที่บ้าน LL ตอน 23.00 น.
ขอเข้ามาขอบคุณแม่พระ
บ้านLL ก็เปิดต้อนรับเขา
เขาก็เอาพวงมาลัย มาถวายแม่
มาขอบคุณกันใหญ่แล้วก็เล่าให้ฟังว่า
เมื่อเช้าเขาเจอเพื่อนบ้านกำลังเดินออกมาพอดี
เลยตัดสินใจเดินไปคุยด้วย
บอกว่าจะทำกันสาด อาจจะเลอะเทอะหน่อยคะ
ปรากฏว่าคนข้างบ้านตอบว่า
"เอาเลยเจ้ ทำเลย แล้วเจ๊เอาช่างมาจากไหนล่ะ"
อาม่าแกก็ตอบว่า
"อัวะหามาเอง ฝีมือก็ใช้ได้"
คนข้างบ้าน
"ดีเลย งั้นให้อี่มาทำให้บ้านอัวะด้วย"
แล้วก็คุยกันจนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย :o
อาม่าเลยรีบบึ่งรถมาจากระยองเพื่อมาขอบคุณแม่พระที่ช่วยให้ดีกับเพื่อนบ้านได้
+++++++++++++++++++++++++++++++
อีกเรื่องเป็นคนพุทธที่มีญาติเป็นคาทอลิก
แล้วเผอิญรู้จักกับที่บ้าน เลยชวนกันมาสวด
เป็นอาม๊ามาจากระยอง
เธอก็เล่าว่าญาติชวนมาก็มา
มาลองขอพรแม่พระดู อาม๊าว่า
ชอบมีเรื่องทะเลาะกับคนข้างบ้านประจำ
เวลาที่บ้านต่อเติมอะไร ข้างบ้านก็จะด่า
หาว่าสกปรกฝุ่นเยอะ
พอข้างบ้านทำบ้าง เขาก็จะไปว่าบ้าง
ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา
ไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้ว
แต่อาม๊ากำลังจะทำกันสาดใหม่
ก็คงไม่วายได้ทะเลาะกันอีก
เลยจะมาขอให้แม่พระช่วยก็มาสวดด้วยกัน
พอเรียบร้อยแล้วก็กลับบ้านไป
ปรากฏว่าคืนวันต่อมา
อาม่า พร้อมลูกๆหลานๆ ก็บึ่งรถมาจากระยอง
มาถึงที่บ้าน LL ตอน 23.00 น.
ขอเข้ามาขอบคุณแม่พระ
บ้านLL ก็เปิดต้อนรับเขา
เขาก็เอาพวงมาลัย มาถวายแม่
มาขอบคุณกันใหญ่แล้วก็เล่าให้ฟังว่า
เมื่อเช้าเขาเจอเพื่อนบ้านกำลังเดินออกมาพอดี
เลยตัดสินใจเดินไปคุยด้วย
บอกว่าจะทำกันสาด อาจจะเลอะเทอะหน่อยคะ
ปรากฏว่าคนข้างบ้านตอบว่า
"เอาเลยเจ้ ทำเลย แล้วเจ๊เอาช่างมาจากไหนล่ะ"
อาม่าแกก็ตอบว่า
"อัวะหามาเอง ฝีมือก็ใช้ได้"
คนข้างบ้าน
"ดีเลย งั้นให้อี่มาทำให้บ้านอัวะด้วย"
แล้วก็คุยกันจนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย :o
อาม่าเลยรีบบึ่งรถมาจากระยองเพื่อมาขอบคุณแม่พระที่ช่วยให้ดีกับเพื่อนบ้านได้