@@ อะไรที่เรียกว่า พระพรของพระเจ้า @@

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

ศุกร์ ม.ค. 13, 2006 7:39 pm

*heh น้องสาวพี่เมลไปถามพ่อจั่ว :+: เรื่องพระพรของพระเจ้า :+: พี่เห็นว่า น่าสนใจดีเลยอยากมาแบ่งปันให้พี่น้องชาวนิวมานาที่สงสัย หรือยังไม่เข้าใจว่า อะไรหล่ะ ที่เรียกว่า :+: พระพรของพระเจ้า :+:


*kis การมองสิ่งรอบตัวว่าเป็นพระพรนั้นพ่อหมายถึง มองด้วยสายตาของการตระหนักว่า พระเจ้าล้วนมีแผนการในทุกสิ่ง หรือแม้พระองค์ไม่มีแผนการกับสิ่งนั้นๆ สิ่งนั้นๆที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมายในตัวมันเอง เวลาพูดถึงคำว่า :+: พระพร :+: คนเรามักจะคิดว่า ต้องเป็นสิ่งที่ชอบ สิ่งที่พอใจ สิ่งที่ทำให้เบิกบานใจ หัวเราะร่าเริ่ง เสมอ แต่ในความเป็นจริงนั้นคำว่า :+: พระพร :+: ยังรวมไปถึงน้ำตา เสียงร้องไห้ ความเจ็บปวด สิ่งที่ไม่ชอบแต่ต้องทำด้วย เพราะมนุษย์มักยึดเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้งแล้ววาดแผนการณ์ว่า ต้องเป็นเช่นนี้เช่นนั้นบนพื้นฐานที่ตัวเองชอบ แต่พระพรไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป บางครั้งไม้เรียวก็มีประโยชน์ ความเจ็บก็ทำให้มีมานะ การพ่ายแพ้ทำให้เกิดแรงฮึดสู้และได้มาซึ่งสิ่งที่ทั่วไปแล้วไม่มีวันเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราไม่ชอบนั้นบางครั้งพระเจ้าก็ใช้เพื่อทำให้เราตระหนักและกลายเป็นสิ่งที่เกื้อกูล การพยายามมองโลกด้วยสายตาเช่นนี้เองที่พ่อหมายถึง คือหาพระประสงค์หรือเจตจำนงหรือน้ำพระทัยของพระองค์ให้พบในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

*heh ส่วนคำว่า @ พระญาณอาทร @ นั้นพ่อหมายถึง @ พระญาณสอดส่อง @ในภาษาเดิม พ่อคิดว่าน่าจะตรงกับความหมาย Providence มากกว่าคือ พระเจ้าจัดสรรสิ่งต่างๆให้ตามความเหมาะสมด้วยความรักเมตตาของพระองค์ พระองค์ไม่ได้มองมนุษย์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามคำว่า สอดส่องหรอกเพราะพระองค์เคารพในการตัดสินใจและเจตจำนงเสรีของเราอยู่แล้ว (อันที่จริงคำว่าพระญาณสอดส่องนั้นน่าจะเป็นคำสั้นที่ย่อมาจากคำว่าพระญาณสอดส่องดูแลแต่ทำไมเขาใช้พระญาณสอดส่องแทนที่จะเป็นพระญาณดูแลก็ไม่รู้เหมือนกัน รึมันจะเพราะกว่า?)
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ ม.ค. 14, 2006 9:56 am

ขอบคุณครับ พี่ฟิม ;D
Junior Boy
โพสต์: 659
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.ย. 10, 2005 2:01 pm
ที่อยู่: I believe in God...

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2006 6:04 pm

ขอบคุณครับ *thx
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

ศุกร์ ม.ค. 20, 2006 11:44 pm

seraphim เขียน: *heh น้องสาวพี่เมลไปถามพ่อจั่ว :+: เรื่องพระพรของพระเจ้า :+: พี่เห็นว่า น่าสนใจดีเลยอยากมาแบ่งปันให้พี่น้องชาวนิวมานาที่สงสัย หรือยังไม่เข้าใจว่า อะไรหล่ะ ที่เรียกว่า :+: พระพรของพระเจ้า :+:


มีคำถามมารบกวนอีกซักข้อนะ seraphim
แม้ว่าใน ห้องรับแขก ตอนนี้
กำลังพูดถึงเรื่องดูดวงกันอยู่ก็ตาม
แต่ที่เลือกเข้ามาในกระทู้นี้ เพราะนี่เป็นคำถาม
เกี่ยวกับเรื่องของการสวดภาวนา ขอพรพระ
และผมอยากรู้ว่า
พวกเรามีความคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างไร
และเผื่อว่าจะได้คำตอบที่ดีจากพ่อจั่วด้วย

1. เราสามารถรู้อนาคตล่วงหน้าของชีวิตเราได้ไหม
(ได้ / ไม่ได้)
2. พระเจ้าคือองค์ความรู้ มีอะไรบ้างที่พระองค์ไม่รู้ไหม
(ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่รู้ / มี)
3. พระเจ้าล่วงรู้อนาคตข้างหน้าของเราไหม
(พระองค์รู้ / พระองค์ไม่รู้)
4. พระเจ้ารู้ไหม ว่าเด็กที่เกิดมาคนนี้จะขึ้นสวรรค์
หรือตกนรก
(พระองค์รู้ / พระองค์ไม่รู้)
5. ใครเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราล่ะ
(ตัวเรา / พระเจ้า)

6. ถ้าพระเจ้า ทรงเป็นผู้ประทานพระหรรษทานทุกอย่าง
ให้แก่มนุษย์ ทรงรู้หมดทุกอย่าง และรู้ทุกเรื่อง
รู้ ไม่ใช่แค่เพียงอนาคตของเรา
แต่เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน
ไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว ดังนั้น
การสวดภาวนาขอพระพรจากพระเจ้า(ในบางข้อ)
ของเรานั้น มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ
(นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมยกมาถามในกระทู้นี้)

เช่น ถ้าคนๆหนึ่ง สวดขอให้เมื่อตายไป
ขอให้ได้ขึ้นไปอยู่กับพระองค์
หรือไปหาชีลับในอาราม ขอให้
ช่วยสวดให้สอบ Entrance ติด
(ไม่ต้องสวดขอหรอก เพราะพระเจ้ากำหนดทุกอย่างเอาไว้แล้ว)
เรื่องพวกนี้ สวดขอไปก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม

ถ้ามีคนนำ 6 คำถามนี้มาถาม คุณให้คำตอบอย่างไร
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ เสาร์ ม.ค. 21, 2006 2:41 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ ม.ค. 21, 2006 5:08 am

ตอนแรกที่บอกในกระทู้ห้องระบแขกว่า จะมาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตจิตของตัวเอง ที่น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ พอมาอ่านคำถามอีกรอบ ..... ก็ขอเปลี่ยนใจไม่แบ่งปันละกันค่ะ คิดว่า คงไม่มีประโยชน์ เพราะคุณ Q น่าจะต้องการคำตอบแบบปรัชญามากกว่า :D คิดว่า เราจะมองกันคนละมุม ตัวเองจะมองคริสตศาสนาเป็นเรื่องของความรัก และความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ซึ่งถ้ามองแบบนี้ปุ๊บ คำถามเหล่านี้จะไม่เกิด เพราะเราจะรู้ว่า นี่เป็นคำถามของคนที่ไม่รักกัน ไม่ไว้ใจกัน (ไม่ได้ว่า คุณ Q ไม่รักพระนะคะ แต่เข้าใจว่า อันนี้เป็นการมองแบบปรัชญา ซึ่งคุณ Q อาจกำลังศึกษาอยู่ จึงไม่ผิดที่เราจะแสวงหาความรู้)

เหมือนกับ... เราจะแต่งงานกับคนนึง แทนที่จะไว้ใจเค้า กลับมานั่งถามเค้าว่า อนาคตเราจะเป็นแบบไหนคะ คุณว่า เราจะไปกันรอดมั้ยคะ ดิฉันสามารถทำตามใจตัวเองได้มั้ยคะ รึว่า ต้องตามใจคุณเท่านั้น .... คุณให้ดิฉันได้ทุกอย่าง ถ้างั้นดิฉันก็ไม่ต้องอ้อนขออะไรคุณเลยใช่มั้ยคะ คุณจะรู้เองใช่มั้ยคะว่า ต้องให้อะไรดิฉันบ้าง ..... ;D ถามสนุกๆนะคะ แต่ก็คงจะบอกได้ว่า คู่นี้มันคงไปไม่รอด ;D

เรื่องการวอนขอ ตัวเองก็จะมองว่า นี่คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระ เท่าที่คุยกับคนที่ล้างบาปตอนโต อันนี้จะชัดว่า การวอนขอแสดงถึงความสนิทและความไว้ใจในพระที่มีมากขึ้นจากเมือก่อนที่เราไม่รู้จักพระเลย คนเคยเป็นพุทธ สังเกตุดูว่า สวดขอไม่เป็น เพราะเกิดมาไม่เคยวอนขอ พอบอกว่า สวดขอพระสิ คำถามแรกคือ สวดขออะไร ไม่รู้จะขออะไร ขอมากไปรึเปล่า เราจะเป็นลูกอีช่างขอมั้ยนะ นั่นเพราะเรายังไม่รู้จักพระ เคยแต่ ถ้าอยากได้อะไร ต้องทำเอง อยากมีบุญต้องทำบุญ ..... ตอนแรกสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมต้องขอ พระรู้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ ..... แต่ต่อมาก็เรียนรู้ว่า

เราต้องขอ...... เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อเปิดใจกับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อแสดงความไว้ใจในพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อสรรเสริญพระองค์
และเราต้องขอ........ เพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า พระองค์คือ พระบิดานิรันดร... :)
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ เสาร์ ม.ค. 21, 2006 5:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ม.ค. 21, 2006 7:23 am

และผมอยากรู้ว่า พวกเรามีความคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างไร
และเผื่อว่าจะได้คำตอบที่ดีจากพ่อจั่วด้วย

พี่Q กั๊บ พ่อจั่วยังไม่มา พ่อเจี๊ยบขอมั่วก่อนนะฮะ

1. เราสามารถรู้อนาคตล่วงหน้าของชีวิตเราได้ไหม
(ได้ / ไม่ได้)

ไม่ได้

2. พระเจ้าคือองค์ความรู้ มีอะไรบ้างที่พระองค์ไม่รู้ไหม
(ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่รู้ / มี)

ไม่มีอะไร ที่พระองค์ไม่รู้ แต่พระองค์ทรงรู้อะไรบ้าง เราทราบไม่ได้


3. พระเจ้าล่วงรู้อนาคตข้างหน้าของเราไหม

(พระองค์รู้ / พระองค์ไม่รู้)

พระองค์รู้ ฮับ



4. พระเจ้ารู้ไหม ว่าเด็กที่เกิดมาคนนี้จะขึ้นสวรรค์
หรือตกนรก (พระองค์รู้ / พระองค์ไม่รู้)

พระองค์รู้


5. ใครเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราล่ะ
(ตัวเรา / พระเจ้า)

พระเจ้า

6. ถ้าพระเจ้า ทรงเป็นผู้ประทานพระหรรษทานทุกอย่าง
ให้แก่มนุษย์ ทรงรู้หมดทุกอย่าง และรู้ทุกเรื่อง
รู้ ไม่ใช่แค่เพียงอนาคตของเรา
แต่เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน
ไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว ดังนั้น
การสวดภาวนาขอพระพรจากพระเจ้า(ในบางข้อ)
ของเรานั้น มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ
(นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมยกมาถามในกระทู้นี้)

การภาวนายังจำเป็นมาก เพราะเราไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเอง ว่ากำลังดำเนินในน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนพระทัยได้ในบางอย่าง เช่นดูเมืองนีห์นาเวย์ ที่ทานโยนาไปประกาศ ว่า 40 วันพระเจ้าจะทรงทำลายเมือง คนทั้งเมือง ได้ไว้ทุกข์ กลับใจจากความชั่ว กลับมาหาพระองค์ พระเจ้าทรงอภัยพวกเขา

เจี๊ยบคิดง่ายๆอย่างนี้ ฮะ พระเจ้าทรงประทานสารพัดอย่างให้มนุษย์ทุกๆคน เช่นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะผ่านธรรมชาติ เช่นสายลม แสงแดด สายฝน ฯลฯ

แต่พวกเราคริสตชน จะได้ พระพรพิเศษจากพระเจ้า เพื่อเป็นรางวัล ในการดำเนินชีวิต หรือ เป็นการแสดงปฏิสัมพันธ์ คือมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ผ่านพิธีกรรม การภาวนา อ่านพระวาจา ฯลฯ ที่เราต้องภาวนา เพราะเรากลับไปสู่ความสัมพันธ์กับพระบิดา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในเวลาเดียวกัน การวิงวอน/อธิษฐานภาวนา เป็นการแสดงออก ถึงความรักของเราต่อพระเจ้า นั่นคือเรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

เสาร์ ม.ค. 21, 2006 10:21 am

Buddy เขียน: ตอนแรกที่บอกในกระทู้ห้องระบแขกว่า จะมาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตจิตของตัวเอง ที่น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ พอมาอ่านคำถามอีกรอบ ..... ก็ขอเปลี่ยนใจไม่แบ่งปันละกันค่ะ คิดว่า คงไม่มีประโยชน์ เพราะคุณ Q น่าจะต้องการคำตอบแบบปรัชญามากกว่า :D คิดว่า เราจะมองกันคนละมุม ตัวเองจะมองคริสตศาสนาเป็นเรื่องของความรัก และความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ซึ่งถ้ามองแบบนี้ปุ๊บ คำถามเหล่านี้จะไม่เกิด เพราะเราจะรู้ว่า นี่เป็นคำถามของคนที่ไม่รักกัน ไม่ไว้ใจกัน (ไม่ได้ว่า คุณ Q ไม่รักพระนะคะ แต่เข้าใจว่า อันนี้เป็นการมองแบบปรัชญา ซึ่งคุณ Q อาจกำลังศึกษาอยู่ จึงไม่ผิดที่เราจะแสวงหาความรู้)


เราต้องขอ...... เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อเปิดใจกับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อแสดงความไว้ใจในพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อสรรเสริญพระองค์
และเราต้องขอ........ เพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า พระองค์คือ พระบิดานิรันดร... :)

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันนะครับ คุณ Buddy

แต่ก่อนอื่น ขอเสริมคำอธิบายในคำถามของผมอีกซักนิด
เพราะเข้าใจดีว่า ผมเป็นคนที่เขียนอะไร แล้วมักจะเข้าใจยาก

ถ้าคุณ buddy กลับขึ้นไปอ่านคำถามของผมดีๆอีกที
จะเห็นว่าผมไม่ได้ดูถูกเรื่องของการสวดภาวนานะครับ

ถ้าคริสตชนคนไหนเห็นว่า เรื่องสวดไม่สำคัญ
เท้าข้างหนึ่งของเค้า คงไม่ห่างประตูนรกไกลเท่าไหร่แน่
และพระเยซูเองก็คงไม่ถึงกับสอนให้รู้จักสวดหรอก
ถ้าพระองค์เห็นว่าไม่สำคัญ

เพียงแต่ผมเห็นว่า
การสวดของคริสตชนหลายๆคนทุกวันนี้
มันเป็นการสวดภาวนาอย่างที่พระเจ้าต้องการไหมต่างหาก
ใช่อย่างที่พระเยซูสอนในบทข้าแต่พระบิดาไหม

อะไรทำนองนี้อะ
แล้วก็อยากจะขอฟังคำแนะนำจากพ่อจั่วด้วยว่า
สิ่งที่เราชอบขอ กับสิ่งที่พระให้ (พระหรรษทาน)
บางครั้ง มันจูนไม่ตรงกันใช่ไหม
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ เสาร์ ม.ค. 21, 2006 10:28 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ ม.ค. 21, 2006 9:41 pm

มาตีมือให้เจี๊ยบนะ เยี่ยมมาก

ส่วนเรื่องที่ถามว่า
เพียงแต่ผมเห็นว่า
การสวดของคริสตชนหลายๆคนทุกวันนี้
มันเป็นการสวดภาวนาอย่างที่พระเจ้าต้องการไหมต่างหาก
ใช่อย่างที่พระเยซูสอนในบทข้าแต่พระบิดาไหม
การภาวนาที่พระองค์ต้องการคืออะไรหล่ะครับ จำเป็นหรือเปล่าครับที่ต้องเป็นบทสวด "ข้าแต่พระบิดา" อย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ เราเองก็เป็นลูก ๆ ของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราเข้าหาพระองค์เหมือนลูก ๆ ที่เข้าหาพ่ออ่ะครับ

ดังนั้นเราสามารถที่จะสวดอะไรก็ได้ครับ ถ้าการสวดนั้นมาจากใจของเราที่ต้องการจะพูดกับพระบิดาของเราครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

เสาร์ ม.ค. 21, 2006 9:46 pm

ตอบสั้นๆครับ


ทุกอย่าง ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นกับเรา

เพราะ พระองค์ประสงค์สิ่งดีแก่เราเสมอ ;)
Buddy.

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 12:26 am

Q เขียน:
Buddy เขียน: ตอนแรกที่บอกในกระทู้ห้องระบแขกว่า จะมาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตจิตของตัวเอง ที่น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ พอมาอ่านคำถามอีกรอบ ..... ก็ขอเปลี่ยนใจไม่แบ่งปันละกันค่ะ คิดว่า คงไม่มีประโยชน์ เพราะคุณ Q น่าจะต้องการคำตอบแบบปรัชญามากกว่า :D คิดว่า เราจะมองกันคนละมุม ตัวเองจะมองคริสตศาสนาเป็นเรื่องของความรัก และความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ซึ่งถ้ามองแบบนี้ปุ๊บ คำถามเหล่านี้จะไม่เกิด เพราะเราจะรู้ว่า นี่เป็นคำถามของคนที่ไม่รักกัน ไม่ไว้ใจกัน (ไม่ได้ว่า คุณ Q ไม่รักพระนะคะ แต่เข้าใจว่า อันนี้เป็นการมองแบบปรัชญา ซึ่งคุณ Q อาจกำลังศึกษาอยู่ จึงไม่ผิดที่เราจะแสวงหาความรู้)


เราต้องขอ...... เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อเปิดใจกับพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อแสดงความไว้ใจในพระองค์
เราต้องขอ...... เพื่อสรรเสริญพระองค์
และเราต้องขอ........ เพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า พระองค์คือ พระบิดานิรันดร... :)

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันนะครับ คุณ Buddy

แต่ก่อนอื่น ขอเสริมคำอธิบายในคำถามของผมอีกซักนิด
เพราะเข้าใจดีว่า ผมเป็นคนที่เขียนอะไร แล้วมักจะเข้าใจยาก

ถ้าคุณ buddy กลับขึ้นไปอ่านคำถามของผมดีๆอีกที
จะเห็นว่าผมไม่ได้ดูถูกเรื่องของการสวดภาวนานะครับ

ถ้าคริสตชนคนไหนเห็นว่า เรื่องสวดไม่สำคัญ
เท้าข้างหนึ่งของเค้า คงไม่ห่างประตูนรกไกลเท่าไหร่แน่
และพระเยซูเองก็คงไม่ถึงกับสอนให้รู้จักสวดหรอก
ถ้าพระองค์เห็นว่าไม่สำคัญ

เพียงแต่ผมเห็นว่า
การสวดของคริสตชนหลายๆคนทุกวันนี้
มันเป็นการสวดภาวนาอย่างที่พระเจ้าต้องการไหมต่างหาก
ใช่อย่างที่พระเยซูสอนในบทข้าแต่พระบิดาไหม

อะไรทำนองนี้อะ
แล้วก็อยากจะขอฟังคำแนะนำจากพ่อจั่วด้วยว่า
สิ่งที่เราชอบขอ กับสิ่งที่พระให้ (พระหรรษทาน)
บางครั้ง มันจูนไม่ตรงกันใช่ไหม
??? I didn't say or mean that you are not agreeing with prayer, did I? Honestly, I felt like you want to know the reason in terms of philosophy, not the reason that is based on love and relationship.... in which I'm not qualified to answer..

In relationship, what we ask is not always what we get.... but what we ask is always increasing the relationship. ..... During the time of developing the relationship, God's will and your will is not always matched.. and that's why we need to develop the relationship with God in order that we'll have the same heart as God...or your will is become God's will.... And it is very important that these two wills are not matched in the first place otherwise you can't grow in the relationship with God.. You'll just stay the same.

Is that make sense?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 12:35 am

Batholomew เขียน: มาตีมือให้เจี๊ยบนะ เยี่ยมมาก

ส่วนเรื่องที่ถามว่า
เพียงแต่ผมเห็นว่า
การสวดของคริสตชนหลายๆคนทุกวันนี้
มันเป็นการสวดภาวนาอย่างที่พระเจ้าต้องการไหมต่างหาก
ใช่อย่างที่พระเยซูสอนในบทข้าแต่พระบิดาไหม
การภาวนาที่พระองค์ต้องการคืออะไรหล่ะครับ จำเป็นหรือเปล่าครับที่ต้องเป็นบทสวด "ข้าแต่พระบิดา" อย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่ เราเองก็เป็นลูก ๆ ของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราเข้าหาพระองค์เหมือนลูก ๆ ที่เข้าหาพ่ออ่ะครับ

ดังนั้นเราสามารถที่จะสวดอะไรก็ได้ครับ ถ้าการสวดนั้นมาจากใจของเราที่ต้องการจะพูดกับพระบิดาของเราครับ


ผมไม่ได้บอกว่าต้องสวดแต่บทข้าแต่พระบิดานะครับ
ไม่จำเป็นต้อง เป็นบทข้าแต่พระบิดาหรอกครับ
แต่ น่าจะอาศัยบทสวดนี้เป็นบันได และ
เป็นแบบอย่างในการพูดคุยกับพระองค์ไม่ใช่เหรอ

เมื่อมีคนขอให้พระองค์สอนเราให้รู้จักสวด
แล้วพระองค์ก็สอนบทสวดนี้ให้ด้วยตัวพระองค์เอง
เราก็น่าจะสวดให้เป็นแล้ว ไม่ใช่เหรอ

ผมเห็นด้วยกับที่ Batholomew บอกว่า
เราควรเข้ามาคุยกับพระองค์เหมือนลูก
อยากพูดอะไรอยากขออะไรก็ขอไปเลย
ให้มันมาจากใจ

แต่จะดีขึ้นกว่านี้ไหม
ถ้าเราจะเป็นลูกที่โตขึ้นมาหน่อย
แล้วรู้ว่าวิธีการทำให้พ่อตนเองพอใจ
นั่นควรต้องพูดต้องทำอย่างไร

ไม่ใช่เจอหน้าพ่อ ก็ พ่อขอตังค์
พ่อ..หาคอมตัวใหม่ให้ใช้ซักตัวสิ
พ่อจ๋า ... หารถให้ซักคันสิ
พ่อ...ขอออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนนะ

ไม่ใช่ คนเป็นพ่อไม่ชอบนะ ที่เห็นลูกเข้ามาขอ
แต่ผมเชื่อว่า พ่อทุกคน คงจะดีใจไม่น้อย
ที่เห็นลูกของตน อยากเข้ามาคุยกับตนจริงๆ
หรือขอในสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเค้าจริงๆ

แล้วผมก็คิดว่า บทข้าแต่พระบิดานี่ล่ะ
น่าจะเป็นบทที่ชัดเจนที่สุดไม่ใช่เหรอ
ว่าพระองค์คิดว่าอะไรจำเป็นสำหรับเรา
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 1:13 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 12:41 am

Buddy. เขียน:
Q เขียน:

Is that make sense?

Yes
I already see.
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 12:42 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 2:48 pm

ไม่ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่า เราสามารถที่จะพูดกับพ่อของเราได้ทุกเรื่องครับ ไม่จำเป็นต้องจำเพาะเรื่องที่จะขอเท่านั้นนะครับ ทุกเรื่องครับ แต่ขอให้เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจนะครับ

ส่วนเรื่องที่บอกว่าอยากเป็นลูกที่โตขึ้นมาหน่อย ถูกครับ
คือว่าเราทำให้พ่อเราพอใจ ก็คือ การที่เราไม่ทำบาป ไงครับ
นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยที่สุดครับ

จริงอยู่ครับ เราขอให้พระองค์ช่วยเหลือเรา แต่เราก็ต้องรู้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นน้ำพระทัยพระองค์ทั้งสิ้น ผมเห็นด้วยครับ ว่า "บทข้าแต่พระบิดา" เป็นบทที่สำคัญ แต่ผมกำลังจะบอกว่า เราไม่จำเป็นที่ต้องยึดบทสวดอะไรที่แบบแผนที่ตายตัวครับ เราสามารถที่จะสวดภาวนาได้ทุกโอกาส แต่ถามว่า สวดบทนี้ก่อนได้มั๊ย ก็ได้นะครับ ดีกว่าซะด้วยครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับตัวบุคคลครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2006 11:17 pm

Batholomew เขียน: ไม่ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่า เราสามารถที่จะพูดกับพ่อของเราได้ทุกเรื่องครับ ไม่จำเป็นต้องจำเพาะเรื่องที่จะขอเท่านั้นนะครับ ทุกเรื่องครับ แต่ขอให้เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจนะครับ

ส่วนเรื่องที่บอกว่าอยากเป็นลูกที่โตขึ้นมาหน่อย ถูกครับ
คือว่าเราทำให้พ่อเราพอใจ ก็คือ การที่เราไม่ทำบาป ไงครับ
นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยที่สุดครับ

จริงอยู่ครับ เราขอให้พระองค์ช่วยเหลือเรา แต่เราก็ต้องรู้นะครับ ว่าทุกอย่างเป็นน้ำพระทัยพระองค์ทั้งสิ้น ผมเห็นด้วยครับ ว่า "บทข้าแต่พระบิดา" เป็นบทที่สำคัญ แต่ผมกำลังจะบอกว่า เราไม่จำเป็นที่ต้องยึดบทสวดอะไรที่แบบแผนที่ตายตัวครับ เราสามารถที่จะสวดภาวนาได้ทุกโอกาส แต่ถามว่า สวดบทนี้ก่อนได้มั๊ย ก็ได้นะครับ ดีกว่าซะด้วยครับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับตัวบุคคลครับ


ถ้าคุณ Batholomew ขึ้นไปอ่านคำถามของผม
ตั้งแต่ต้นในกระทู้นี้ดีๆ (โดยเฉพาะใน ข้อ 6)
ผมกำลังเน้นถึงเรื่องของการสวดขออยู่นะครับ

ผมถามว่า
การขอพรในบางข้อของเรา จะไปมีประโยชน์อะไรนะ
ไม่ได้ถามว่า การสวดภาวนาของเราจะไปมีประโยชน์อะไรนะครับ
ดังนั้น ที่คุณตอบมา ก็เลยทำให้ผมงงนิดๆอะ
พอคุณพูดถึงการภาวนา(โดยไม่ได้เน้นถึงเรื่องของการขอ)
ก็เลย อ๋อ คุณไม่ได้ตั้งใจมาตอบคำถามข้อนั้นของผม
ต้องขอโทษทีนะครับ

ส่วนที่ผมเสนอว่า น่าจะใช้บทข้าแต่พระบิดาเป็นบันไดนี่
ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องขึ้นต้นด้วยบทนี้ก่อนสวดนะ

เพียงแต่เสนอให้จับใจความของบทสวดนี้ให้ได้ก่อน
เพื่อเป็นฐานในการสวดภาวนาพูดคุยกับพระต่อๆไป

เห็นด้วยที่คุณบอกว่า
เราไม่ต้องยึดบทสวดอะไรที่เป็นแบบแผนตายตัว
แต่ เสนอว่าในเมื่อนี่เป็นบทสวดที่พระองค์
สอนด้วยตัวของพระองค์เอง
เราก็น่าจะรำพึงจับใจความสำคัญของทุกคำทุกวรรค
ในบทสวดนี้ เป็นพื้นฐานในการสวดภาวนาขอพร
จากพระในเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเราไม่ใช่เหรอ

จะพูดคุยกับพระองค์แบบไม่เป็นบทสวดเลย
มันก็ทำได้ เพียงแต่อย่างน้อย
ไม่อยากให้ลืมเรื่องที่ผมบอกนี้แค่นั้นเอง

เช่น สมมติสุทศไปแนะนำเพื่อนคนหนึ่งที่
นับถือต่างศาสนา แล้วเค้าขอให้สุทศสอนเค้าให้รู้จักสวด
สุทศก็บอกเพื่อนว่า ได้เลย ง่ายมาก
คุณคิดถึงพระนะ แล้วคุณอยากพูดคุยอะไรกับพระ
คุณก็พูดคุยระบายออกมาได้เลย
นี่ก็เป็นการวิธีการสวดภาวนาแบบหนึ่งแล้ว

ส่วนตัว ผมเห็นด้วยนะกับวิธีการสวดแบบนี้
เพียงแต่ ถ้าป็นผม อย่างน้อยผมจะสอนให้เค้า
รู้จักบทสวดข้าแต่พระบิดาด้วย อธิบายใจความสำคัญ
ของบทๆนี้ ให้เค้าเข้าใจอีกซักหน่อย

ผมว่ามันน่าจะดีกว่า ปล่อยให้ใครคนหนึ่ง
เข้าไปหาพระ แล้วก็นั่งบ่นนั่งระบายเรื่องต่างๆ
ภายในใจ เรื่องกลุ้มเรื่องเสียใจต่างๆที่เจอมาทั้งวัน
เสร็จแล้วก็ออกจากวัดไป ทำเหมือนพระองค์เป็นกระโถน

โดยไม่ได้นึกเลยว่า ในชีวิตเค้า
มันยังมีอีกบางเรื่องที่พระเยซูเจ้าอยากให้เค้านึกถึงด้วย
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ม.ค. 23, 2006 10:22 pm

อ๋อ เข้าใจแล้วครับ
(แสดงว่าเราเข้าใจไม่ค่อยตรงกันครับ)

คือว่าเราก็อย่าสักแต่ว่าสวดนะครับ เราเองก็ต้องตั้งใจกับสิ่งที่เราสวดด้วยครับ
ยิ่งถ้าเราสวดโดยให้ความสำคัญ รำพึงตาม ก็จะดีมาก ๆ ครับ

ปล.นอกนั้นเห็นด้วยกับคุณ Q ครับ
ตอบกลับโพส