<<:Ethics ???:>>

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2006 4:47 am

It is very nice article that the monk has written.


ประเด็นทางจริยธรรม-ศีลธรรมทางการเมือง กรณี นายกรัฐมนตรีกับหุ้นชินคอร์ป

โดย พระภูธรเก่า

ก่อนจะตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนได้พิจารณาชั่งใจอยู่หลายวัน ด้วยเกรงว่า หลายท่านจะมองว่าเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ โดยเฉพาะการกล่าวพาดพิงถึงท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย

แต่เมื่อมาคำนึงถึงปัญหาของ "จริยธรรม-ศีลธรรม" แล้ว ถึงจะมีผลกระทบกับตัวท่านนายกฯ และพรรคไทยรักไทยโดยตรง แต่อุปการคุณน่าจะมีมากมายแก่สังคมไทยโดยรวม โดยเฉพาะประเด็นการปฏิรูปการเมืองการปกครองของไทย

เป็นเวลานับสิบๆ ปีแล้ว ที่สังคมไทยไม่เคยถามถึงศีลธรรม-จริยธรรมของนักการเมืองอย่างเอาจริงเอาจัง บางท่านรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้ก็มี ขณะที่บางท่านถึงกลับปฏิเสธก็มี เรื่องนี้นับว่าเป็นอันตรายไม่น้อยสำหรับบ้านเมืองเรา

แต่มาคราวนี้ ผู้เขียนแอบดีใจนิดๆ คงมิใช่เพราะมีกลุ่มคนหลายหมื่นคนออกมาขับไล่นายกฯออกจากตำแหน่ง แต่เพราะมีหลายคนหันมาพูด มาถามถึงจริยธรรม-ศีลธรรมของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ท่าน ครอบครัวของท่านในนาม ตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ ขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปให้บริษัท เทมาเส็ก จากสิงคโปร์ ได้เงินเข้ากระเป๋าเหนาะๆ ถึง 73,200 ล้าน โดยไม่ได้เสียภาษีให้รัฐแม้สักบาทเดียว อ้างว่าเป็นการกระทำตามกติกา กฎหมาย ทุกประการ

ความจริง กรณีนี้ถ้าเกิดกับนักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่ง จะเป็นใครก็ได้ ประชาชนคนไทยคงถามถึงเรื่องมาตรฐานทางศีลธรรมน้อยมาก หรืออาจไม่ถามเลยก็ได้

แต่นี่เป็นบุรุษหมายเลขหนึ่งของประเทศ ซึ่งประกาศตนเองตลอดว่า "รวยพอแล้ว ชาตินี้กินเท่าไรก็ไม่หมด เข้ามาทำงานการเมือง เพื่อทดแทนบุญคุณชาติ.....นักการเมืองที่ดีต้องเสียสละ" คำถามจึงเกิดขึ้นมาก

ถ้าจะไล่เรียงว่า ที่เรากล่าวหาท่านนายกฯว่าไม่มีจริยธรรม-ศีลธรรมนั้นท่านไม่มี หรือขาด หรือทำผิดศีลข้อใด และขาดธรรมข้อไหนกันบ้าง?

เรามาลองพิจารณาเป็นข้อๆ ดูกันดังนี้

ในบรรดาศีลห้าข้อ ธรรมห้าข้อ หรือเบญจศีล-เบญจธรรมนั้น เมื่อท่านนายกฯพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบตอนแรกๆ คล้ายว่าเรื่องการซื้อขายหุ้นของชินคอร์ปครั้งนี้ท่านไม่รู้ไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องของภรรยา ของลูกๆ ตนไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจธุรกรรมมานานแล้ว แต่ก็มีสื่อมวลชนหลายแขนงพยายามนำถ้อยคำมาปะติดปะต่อกัน และลงความเห็นว่าท่านพูดไม่จริง คำพูดต้นๆ กับคำพูดหลังๆ ขัดกันเองข้อนี้แสดงว่า ท่านละเมิดศีลข้อสี่ (มุสาวาทา) เป็นประจำ และไม่รักษาความสัตย์ความจริงด้วย

ในกรณีการขายหุ้นของดาวเทียมไทยคม และ ไอทีวี ซึ่งเป็นสมบัติชาติ ได้มาด้วยการขอสัมปทานและสิทธิพิเศษต่างๆ ไปขายให้ต่างชาติ อย่างที่จะหาทดแทนไม่ได้อีก อาจกระทบถึงความมั่นคงของชาติด้วย

เรื่องนี้ พิจารณาดูก็ไม่ต่างไปจากการขโมยสมบัติชาติไปขายกินมากนัก ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าเข้าข่ายผิดศีลข้อสอง (อทินนาทานา) พร้อมกันนี้ การทำมาหากินแบบนี้ในทรรศนะของพุทธศาสนา ก็ไม่น่าจะเป็นสัมมาอาชีพ หนึ่งในมรรคมีองค์ 8 ประการด้วย

อีกประการหนึ่ง การขายหุ้นของชินคอร์ปล็อตใหญ่สุดครั้งนี้ โฆษกของตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ (ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร) ออกมาแถลงว่า "มิใช่ไม่เสียภาษี แต่ไม่มีภาษี" เพราะเป็นไปตามกติกา และกฎหมายทั้งหมด

ประชาชนทั่วประเทศฟังแล้วต้องพากันปลงเป็นแถวๆ จำนวน เงิน 73,200 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษี เพราะท่านทราบวิธีทำให้ไม่มีภาษีได้ตลอด เพราะท่านมีทนายเก่งๆ มีผู้บริหารมืออาชีพ ผู้ถือคติแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา และคอยหาช่องโหว่ของกฎหมายช่วยให้รอดพ้นจากความผิด

แต่คนชั้นกลาง และคนยากจน แม้จะขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง อาจเรียกว่าต้องนับจำนวนจาน จำนวนชามเสียภาษี เป็นราชพลีกันทั้งนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยความภูมิใจในกรรมดีที่ได้ช่วยชาติบ้านเมืองที่รักยิ่งของตน

คุณธรรมของนักปกครอง หรือนักการเมืองแบบพระโพธิสัตว์ข้อหนึ่ง ก็คือ "ทาน" การให้ การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการแบ่งปัน ฯลฯ นักปกครองต้องเสียสละเป็นตัวอย่างจริงจัง ดังเช่นพระเวสสันดร บริจาคได้ทั้งวัสดุสิ่งของ ช้างม้า และบุตร ธิดา ภรรยาที่รักยิ่งของตนเอง

คราวหนึ่ง ท่านนายกฯได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาพิเศษแก่สมาชิกศูนย์คุณธรรม (29 ธ.ค.2547) ท่านได้ยืนยันความสำคัญของความเสียสละไว้ว่า.... "ถ้าเสียสละได้ ขั้นตอนต่อจากนั้นย่อมง่ายขึ้น แต่ถ้าคำว่าเสียสละไม่ได้นั้น ขั้นตอนต่อจากนั้นไปจะเป็นขั้นตอนที่เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง ถ้าคนไม่เสียสละแล้ว บอกว่าผมจะเป็นผู้สนับสนุนคุณธรรมจริยธรรมนั้น อย่าพูด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะคุณยังเสียสละด้วยตัวเองไม่ได้"

นี้จากคำพูดของท่านนายกฯเอง ก็พอบอกเราได้ว่าท่านนายกฯเองเป็นของจริง หรือของปลอมกันแน่?

สรุปส่งท้าย เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและควรแก่การเข้าใจในชีวิต และวิธีคิดของท่านนายกฯในเรื่องจริยธรรม-ศีลธรรมนี้ เพราะตลอดชีวิตของท่านดูเหมือนว่าท่านจะหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องทำมาหากิน การลงทุน และการหากำไร และทำอย่างไร ธุรกิจธุรกรรมนั้นๆ ของตนจะประสบความสำเร็จสูงสุด โดยไม่สนใจว่าวิธีการจะเป็นเช่นไร เอาความสำเร็จเป็นที่เป้าหมาย เป็นประการสำคัญ เข้าทำนองว่า The Means is Justified by End มิฉะนั้น ท่าน และครอบครัวชินวัตรของท่านคงไม่ก้าวไปเร็วขนาดนี้ เพียงเวลา 20 ปีเศษ จากธุรกิจสื่อสาร ท่านได้ก้าวไปครองตำแหน่งลำดับต้นของเศรษฐีโลก

ดังนั้น ตลอดเวลาที่ท่านทักษิณอยู่ในอำนาจในฐานะนายกฯของประเทศพระพุทธศาสนานี้ อาจจะคำนวณดูก็ได้ว่า ท่านเข้าวัด ไปร่วมงานกุศลกี่ครั้ง เมื่อองค์กรพุทธหลายองค์กรพยายามเชิญท่านไปเป็นประธานเปิด-ปิดงานสำคัญในยุคแรกๆ เช่น วันวิสาขบูชา มาฆบูชา อาสาฬหบูชา หรือการประชุมชาวพุทธนานาชาติ ก็ดูเหมือนว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ

อีกประการหนึ่ง พวกเราคงจำได้ว่าแม้ชาวพุทธจำนวนหลายหมื่นชุมนุมปฏิบัติธรรมหน้ารัฐสภา เพื่อเตือนให้รัฐบาลและรัฐสภาช่วยกันทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยตั้งกระทรวงพระพุทธศาสนา เมื่อ 5-20 กันยายน 2545 นายกฯคนนี้ไม่เคยสนใจชายตาไปดูเลย

มิหนำซ้ำ ท่านยังอบรมพระสงฆ์ด้วยว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นเลยกลับไปอ่านพระไตรปิฎกดีกว่า

นอกจากนี้ ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ท่านนายกฯได้เสนอนโยบายที่สวนทางกับจริยธรรม-ศีลธรรมหลายเรื่อง เช่น การขุดหวยใต้ดินขึ้นมาบนดิน ทำเหล้าสาโทของชาวบ้านมาเป็น otop แม้การปราบยาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล ผู้คนก็ล้มตายเสียชีวิตไปราว 2,500 คน โดยยังมีข้อสงสัยว่าได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือไม่?

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้มากๆ พวกเราจึงพอจะเห็นร่วมกันว่า ท่านนายกฯคนนี้เห็นเรื่องจริยธรรม-ศีลธรรมสำคัญมากน้อยเพียงใด

ดังนั้น แนวความคิดแบบนี้อาจเรียกรวมๆ ว่า "บริโภคนิยม-วัตถุนิยม" ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ระมัดระวังให้ดี ต่อไปเยาวชนไทยอาจจะยึดเอาเงินทอง อำนาจ และตำแหน่งแห่งที่ หรือความมีชื่อเสียงเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของชีวิต เป็นเป้าหมายแห่งชีวิตของตน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรม หรือจริยธรรม-ศีลธรรมเอาเลย

เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น ครูอาจารย์และนิสิต-นักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัย และประชาชนจำนวนมากออกมาถามถึงจริยธรรม ศีลธรรม กับท่านนายกฯ ยืนยันว่าท่านหมดความชอบธรรม และความสง่างามในการอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไป ด้วยประเด็นที่ควรพิจารณา 3-4 ประการ ดังนี้

1.ประชาชนส่วนใหญ่คงเคลือบแคลงสงสัย ไม่สนิทใจ หรือไม่ไว้วางใจ ถ้ากรณีเช่นนี้ไม่ผิดจริยธรรม-ศีลธรรม ก็น่ากลัวว่า สังคมไทยกำลังสร้าง หรือยอมรับปทัฏฐานทางสังคมใหม่ นั่นคือ การโกงกินบ้างไม่เป็นไร ขอให้มีผลงานบ้าง หรือทำงานเก่งๆ ไว้ การใช้อำนาจทางการเมืองมาเอื้อธุรกิจของครอบครัวของตนก็ทำได้ หรือแม้แต่ระบอบประชาธิปไตยแบบธนกิจการเมืองก็พอรับได้ในสังคมไทย ไม่เห็นเป็นไร

2.เมื่อผู้นำไม่ใส่ใจ ไม่สนใจเรื่องจริยธรรมศีลธรรม การปกครองบริหารใดๆ ก็ไร้ผลดี ไม่อาจแก้ปัญหา หรือข้ามพ้นวิกฤตการณ์ใดๆ ไปได้เลย ถามว่าทำไมเราจึงเกณฑ์ให้ผู้นำมีจริยธรรม-ศีลธรรมกันนัก เพราะว่า พวกท่านต้องไปกำหนดทิศทาง และนโยบายในการพัฒนาประเทศ ความจริงก็น่าเห็นใจนักการเมือง เพราะพวกเขาก็ยังมีกิเลส อยากมี อย่างเป็น อยากได้ อยากร่ำรวยเหมือนคนทั่วๆ ไปอยู่ หรือแม้แต่จำต้องถอนทุนการเมือง

แต่ถ้าคนขับแท็กซี่ ซึ่งเก็บกระเป๋าเงินผู้โดยสาร ข้างในมีเงินเป็นแสนๆ บาท ยังตัดสินใจคืนผู้โดยสารได้ ดังนั้น ผู้นำเช่นนายกฯ รัฐมนตรี หรือ ส.ส. และ ส.ว.จึงต้องมีมาตรฐานทางศีลธรรมสูงส่งกว่าคนขับแท็กซี่ขึ้นไปอีกหลายเท่านัก

3.ถ้าเรื่องอย่างนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ สังคมอาจเป็นห่วงเป็นใยว่าท่านนายกฯกำลังสอนบุตรธิดา ให้ฉลาดแกมโกง โดยการหลบเลี่ยงไม่ย่อมเสียภาษี ถ้าเป็นจริงตามนั้น ก็น่าเป็นห่วงและเห็นใจเด็กๆ เหล่านั้นมาก รวมทั้งอาจเป็นตัวอย่างให้เยาวชนอื่นๆ ที่มารู้เห็นเรื่องนี้ แล้วจะเอาไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเข้าทำนองว่า เรามีผู้นำ นำทางผิดๆ นำเยาวชนไปทางอศีล อธรรม ถ้าอย่างนี้แล้ว อนาคตประเทศชาติที่รักยิ่งของพวกเราจะมืดมนอนธการมากมายขนาดไหนกัน?

4.ตามหลักการของพระพุทธศาสนาแล้ว ศีลธรรมของผู้ปกครองคือปัจจัยหลักแห่งความเจริญหรือความเสื่อมของบ้านเมือง หรือความสุข และความทุกข์ของประชาชนทั้งมวล ดังนั้น ถ้าผู้ปกครองไร้ศีลขาดธรรม บ้านเมืองก็ระส่ำระสาย วิกฤตการณ์ทุกข์ยาก ตลอดไป ตรงกันข้ามแต่ถ้าผู้ปกครองเป็นคนดี มีศีลธรรม แล้วเขาก็จะนำประชาชนไปทางที่ดี ที่งาม สร้างสรรค์ และทางเป็นบุญกุศล แล้วไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็จะอยู่เป็นสุขกันทั่วหน้า

สัพพัง รัฏฐัง สุขัง เสติ ราชา เจ โหติ ธัมมิโก

ถ้าผู้ปกครองมีศีลมีธรรม ประชาชนทุกคนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2006 7:08 pm

หลักจริยธรรมต้องควบคู่ไปกับหลักธุรกิจและผู้นำเสมอ ผู้นำที่ดำเนินการโดยไร้ซึ่งจริยธรรม และ ศีลธรรมอันดีงามอย่าง :-X ก็ไม่ต่างอะไรจากเผด็จการที่ไม่ฟังใครนอกจากความคิดของตนและพวกที่คอยเชลียร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
BARKER BARBER
โพสต์: 226
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 24, 2005 8:34 pm
ที่อยู่: XAVIER HALL / PRISONMINISTRY

พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2006 8:56 pm

8)ผมว่าเรื่องนี้ มันพูดยากนะ ไม่รู้ดิ มองได้หลายแง่อ่ะครับ 8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2006 11:02 pm

มีเรื่องตั้งกระทรวงพุทธด้วยอ่ะ
ตอบกลับโพส