ถ้ามีสิ่ง 7 นี้เราสามารถไปเเก้บาปได้ไหมคับ
1.จองหอง
2.ตระหนี่
3.โลภ
4.อุลามก
5.โกรธ
6.อิจฉา
7.เกียจคร้าน
บาปต้น 7 ประการ ...
ทำไมจะไม่ได้ละครับ ;)
ขืนเก้บไว้ เด๋วมันก็ได้นำสู่บาปหนักอีก :P
ขืนเก้บไว้ เด๋วมันก็ได้นำสู่บาปหนักอีก :P
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
อย่างที่ทุกคนบอกคะ *no1
แต่อยากให้ลองอ่านบทความของพ่อ.ไพบูลย์ อุดมเดช นิดนึงคะ
+++++++++++++++
ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้น
เกริ่นนำ
บทความที่ผมจะเขียนต่อไปนี้มีเป้าหมายเพื่อชี้ให้เห็นว่า กระบวนการสอนคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกไทยเรานั้นมีปัญหาที่ต้องขบคิดและต้องเผชิญกับการท้าทายอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความพร้อมด้านอุปกรณ์การสอน เช่น หนังสือคำสอนที่เหมาะกับสภาพท้องถิ่น สื่อการสอนคำสอนด้านต่างๆที่ยังขาดแคลนและยังไม่สามารถกระจายไปทั่วถึงระดับรากหญ้าตามวัดต่างๆได้ และนอกนั้นปัญหาของการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ไม่ทันสมัยและไม่สอดคล้องกับคนในยุคปัจจุบันโดยโดยไม่ต้องพูดถึงปัญหาของผู้สอนคำสอนที่รักและศรัทธาในวิชาคำสอนที่หาได้ยากพอๆกับหากระแสเรียกนักบวช
พูดให้ตรงจุด บทความนี้ผมจะพูดถึงปัญหาของการแปลศัพท์คำสอนผิดและเป็นเหตุให้สอนผิดๆกันมาจนถึงปัจจุบันดังคำว่า ตระหนี่ ที่ผมตั้งชื่อบทความนี้ว่า ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้น เป็นไปได้หรือ? ได้และเป็นไปแล้วด้วย
บาปต้น 7 ประการ
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกได้พูดถึงบาปต้น (Captital Sins)ว่ามี 7 ประการ ผมจะนำเสนอเป็นภาษาลาติน ภาษาอิตาเลียน ฝรั่งเศส อังกฤษและไทย เพื่อเปรียบเทียบภาษาและชี้ให้เห็นว่า เหตุใดผมจึงบอกว่า ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้นดังที่เราเคยเรียนกันมาไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปี(นับจากอายุของหนังสือคำสอนที่พิมพ์เป็นภาษาไทยในปี 1923)
ลาติน อิตาเลียน ฝรั่งเศส อังกฤษ ไทย
Superbia Superbia L'orgueil Pride จองหอง
Avaritia Avarizia L'avarice Avarice ตระหนี่
Invidia Invidia L'envie Envy ริษยา
Ira Ira La colere Wrath(Anger) โมโห
Luxuria Lussuria L'impurete Lust อุลามก
Gula Golosita La gourmandise Gluttony โลภอาหาร
Desidia Pigrizia La paresse Sloth เกียจคร้าน
ตระหนี่แปลว่าอะไร?
พจนานุกรมไทยได้ให้คำแปล ตระหนี่ ว่า หวงไม่อยากให้ง่ายๆ เหนียวแน่น หรือแปลตามประสาชาวบ้านคือ ขี้เหนียว จากความหมายนี้ตั้งคำถามจริยะตามประสาชาวบ้านทั่วไปได้ว่า ขี้เหนียวเป็นบาปหรือไม่? ท่านผู้อ่านคิดว่าเป็นบาปหรือไม่ ลองตอบในใจดู?
Avaritia แปลว่าอะไร?
จากภาษาลาตินข้างต้น แปลเป็นอิตาเลียน สเปน ฝรั่งเศส ก็ยังมีเค้าให้เห็นรากเดียวกันกับลาติน แปลว่า การปรารถนาในสิ่งของเครื่องใช้หรือความร่ำรวยมั่งคั่งจนมากล้นเกินพอดี ถ้ามองในแง่จริยธรรมแล้วมันผิดตรงที่คนเราเอาความร่ำรวยเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตแทนที่จะเป็นแนวทางหรือวิถีทางนำเราไปสู่ชีวิตแห่งความดีงาม ศัพย์คำนี้ตรงกับภาษาไทยคือ ความโลภนั่นเอง
ดังนี้ Avritia หรือ Avarizia หรือ l'avarice หรือ avarice ต้องแปลว่า โลภ ตามความหมายของรากศัพท์ที่หมายถึงไม่รู้จักพอในสิ่งของเครื่องใช้ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ตระหนี่!!
ส่วนคำว่า ตระหนี่ นั้นมีความหมายตรงกันข้ามแปลว่า ขี้เหนียว ไม่ยอมแบ่งปัน เช่นนี้เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า การที่แปลคำว่า avritia เป็น ตระหนี่ นั้น ผิด แน่นอน!!! ผมไปเช็คพจนานุกรมคำดังกล่าวในภาษาลาติน ฝรั่งเศส อิตาเลียน สเปน อังกฤษก็ล้วนแปลว่า โลภ ไม่ใช่ตระหนี่ ดังนั้นตระหนี่จึงไม่ใช่หนึ่งในบาปต้น 7 ประการตามที่พระศาสนจักรคาทอลิกสอนแน่นอน
แปลผิด ทำไมถึงแปลผิดล่ะ?
ผมได้ไปค้นที่ศูนย์คำสอนกรุงเทพฯเริ่มจากหนังสือคำสอนเก่าที่สุดเท่าที่จะหาได้มาเปรียบเทียบดูว่า คำว่า ตระหนี่ นั้นเริ่มใช้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หนังสือคำสอนภาษาไทยเก่าที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้นั้นย้อนไปเมื่อปี 1923
ข้อ 2) มัจฉริยะ บาปมัจฉริยะ เปนบาป ชอบของโลกนี้เหลือขนาด เปนต้น เงินทอง เราเคยทำบาป มัจฉริยะหรือบาปขี้เหนียว ตระหนี่ เมื่อเรานับถือเงินทองและทรัพย์สินอื่นๆ เมื่อเรามักได้ของโลกนี้เกิน เราจึงหาด้วยลำบากเกิน เมื่อเราไม่ยอมหรือเราผัดใช้หนี้หรือค่าจ้างแก่ลูกจ้าง เมื่อเรามีใจแข็งต่อคนยากจน เมื่อเราเลี้ยงตนหรือบุตร์ภรรยาไม่พอ เมื่อเราบ่นว่าพระเปนเจ้าเพราะว่าเราได้เสียทรัพย์บ้าง เมื่อเราลืมหาพระคุณฝ่ายวิญญาณไปหาทรัพย์ฝ่ายโลก เปนต้นเมื่อเราทำบาปหาทรัพย์ใด ๆ (อธิบายคำสอน พระศาสนา คฤศตัง ภาค 1 ตีพิมพ์คราวที่หนึ่ง ณ โรงพิมพ์ มิซซัง โรมัน กาทอลิก พระมหานคร คฤศตะศักราช 1923 หน้า 75 ข้อ 12 เรื่องบาปต้น 7 ประการ พระคุณเจ้า แปรอส สังฆราช)
หนังสือเก่าอีกเล่มพิมพ์ซึ่งในปี ค.ศ. 1943 มีการใช้คำว่า ตระหนี่ ในบาปต้นประการที่ 2 ว่าดังนี้
บาปตระหนี่คือ ผูกไจในทรพัย์สินเงินทอง ข้าวของ จนเปนเหตุไห้หลงลืมพระผู้เปนเจ้าและไม่มีความเมตตาปรานีต่อคนจน ( หนังสือคำสอนพระสาสนา คริสตังค์ พิมพ์ครั้งที่ 11 ที่ บริสัทโสภณพิพัธนากร คริสตสักราช 1943 พระสังฆราช เรอเน แปรอส)
ทำไมแปลผิด? เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในยุคของท่านแปรอสนั้นคำว่า ตระหนี่ แปลว่า ไม่รู้จักพอ หรือ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ? ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าผมจะชั่งน้ำหนักภาษาและตีความภาษาข้างต้นตามความเข้าใจภาษาไทยของผมในปัจจุบันแล้ว ตระหนี่คือ หวง ขี้งก หลงใหลในสิ่งของมากจนลืมพระเจ้าและขาดความเมตตาต่อคนยากจนไม่ยอมแบ่งปันกับผู้ที่อดอยากหิวโหย จากคำอธิบายข้างต้นผมก็ว่าท่านแปลถูกต้องตามความหมายของภาษาไทยแล้ว แต่.....ความหมายดังกล่าวก็ไม่ใช่ความหมายของ Avaritia หรือ Avarice (ภาษาอังกฤษ)ที่นักบุญโทมัสอะไควนัสให้ความหมายเป็น 2 ลักษณะคือ 1) มันทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเช่นเมื่อคนหนึ่งสะสมเพิ่มพูนความร่ำรวยจนไม่รู้จักพอก็จะเป็นเหตุให้เบียดบังคนอื่นได้เพราะทรัพย์ในโลกนี้มีจำกัด เมื่อคนหนึ่งเอาไปมากเกินไปก็ย่อมกระทบกับคนอื่น ท่านบอกว่า...ทรัพยากรในโลกนี้ไม่อาจจะครอบครองได้โดยทุกคนในเวลาเดียวกันได้...ลักษณะที่ 2) หมายถึงท่าทีภายในของบุคคลที่มีต่อความร่ำรวยมั่งคั่ง เมื่อบุคคลมีความสุขกับความไม่รู้จักพอในทรัพย์สิน เขาทำบาปต่อตัวเอง แม้ว่าไม่ได้หมายถึงบาปกับร่างกายของเขาแต่ความปรารถนาของเขาก็มีมลทินโดยรักเงินทองมากเกินไป (Summa 2am2ae, q118 art 1) จึงสรุปได้ว่า ความหมายของ avaritia นั้นไม่ใช่ ตระหนี่แน่นอน!!
ทีนี้มามองในแง่ของประวัติศาสตร์ หนังสือคำสอนที่เราถ่ายทอดสืบต่อๆกันมานั้นแปลมาจากภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ เพราะธรรมทูตฝรั่งเศสคือผู้ที่ได้เริ่มแปลหนังสือคำสอนเป็นภาษาไทย ไล่ไปจริงๆก็คงต้องเริ่มตั้งแต่งานเขียนของท่านลาโน ท่านปัลเลอกัว ฯลฯ และได้มีการพิมพ์ต่อๆกันมา มีแก้ไขบ้าง ใช้ภาษาใหม่บ้าง พอมาถึงยุคที่มีคุณพ่อคนไทยเข้ามามีบทบาทในพระศาสนจักร ก็ได้ยึดโครงสร้างหนังสือคำสอนสายฝรั่งเศสเรื่อยมา ท่านยวง นิตโย ได้แปลหนังสืออธิบายคำสอน ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสเพื่อช่วยให้เข้าใจคำสอนลึกซึ้งมากขึ้น แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำว่า ตระหนี่ (คำถามคือทำไม? ท่านยวงได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญภาษาไทยและบาลีสันสกฤต แต่ทำไมท่านไม่แก้ไขคำว่า ตระหนี่ออกไป)คนรุ่นหลังต่อมาจนถึงปัจจุบันเช่นหนังสือของพ่อสมบูรณ์ หนังสือคำสอนของพ่อกอสเต คุณสวัสดิ์ ครุสุวรรณ จากศูนย์คำสอนหรือของคุณพ่อคนอื่นๆ รวมทั้งคนที่ยังชอบหนังสือคำสอนเล่มครบก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำนี้ คำถามคือ ทำไม?
น่าสังเกตว่าในบรรดาหนังสือคำสอนที่พิมพ์ต่อๆมาจากต้นฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสแล้วก็มีธรรมทูตจากสายอิตาเลียน คณะซาเลเซียนรุ่นหลังๆ เป็นต้น เอฟ.ศักดิ์ ได้ผลิตหนังสือคำสอนใหม่ๆออกมา โดยแปลจากต้นฉบับภาษาอิตาเลียน เขาได้แปลความหมายของคำว่า Avaritia ถูกต้องคือ แปลว่า ความมักได้ ความโลภอยากได้ (ดู..ความสว่างที่แท้จริงซึ่งนำทางสู่ความรอด เล่ม 3 หน้า 26) ซึ่งผมเห็นว่าถูกต้อง เพียงแต่ว่าหนังสือของค่ายซาเลเซียนนั้นยังไปไม่ถึงรากเหง้าของสังคมคริสตชนเป็นต้นตามวัดต่างๆที่พระสงฆ์หลายคนก็ยังใช้หนังสือคริสตังเล่มครบเหมือนเดิม และอีกประการเป็นหนังสือที่อธิบายยาว ไม่สะดวกนักสำหรับคนไทยที่ชอบอะไรสั้น ๆ และติดอยู่กับโครงสร้างแบบ ถามตอบของคริสตังเล่มครบ ความบกพร่องดังกล่าวถึงไม่ได้รับการแก้ไข
จากคำถามที่ว่า ทำไมใช้กันผิดๆเรื่อยมา ผมขออนุญาตออกความเห็น ณ ที่นี้ว่า เป็นไปได้หรือไม่เพราะ คนไทยเราไม่มีนิสัยตั้งคำถามเรื่องความถูกต้องที่บรรพชนสอนมา เราไม่ชอบตั้งคำถามกับอาจารย์หรือผู้มีอำนาจ เพราะขัดกับนิสัยและค่านิยมของเรา เราไม่ชอบค้นคว้าถึงรากเหง้าและที่มา และเป็นต้นชาวบ้านเองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะค้นคว้าได้อยู่แล้วเนื่องจากภาษาต้นฉบับนั้นเป็นภาษาลาตินหรือฝรั่งเศสที่เขาไม่รู้ (นี้เป็นเพียงความเห็นของผมนะครับยังไม่ได้เป็นการฟันธงชี้ขาดลงไปเพราะ ผมอาจจะผิดได้)
ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลง?
กาลเวลาทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความเข้าใจภาษาของคนในยุคหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเข้าใจต่างกัน ศัพท์ต่าง ๆ ก็จะใช้ในความหมายและบริบทต่างกัน ดังนั้นผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหนังสือคำสอนที่พ้นยุคเสียที
1) เอาหนังสือ คำสอนเล่มครบ ที่นิยมใช้ตามวัดนั้นไปเก็บในห้องหนังสือสำหรับอนุชนรุ่นหลังได้ค้นคว้า เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ได้รับใช้พระศาสนจักรมาเกินคุ้มแล้ว
2) หนังสือคำสอนรุ่นใหม่ที่จะทำนั้นต้องมีบรรทัดฐานในหนังสือคำสอนคาทอลิกที่ออกในปี 1997 เป็นหลักเพื่อจะได้สอนเหมือน ๆ กันทั่วโลก
3) หนังสือคำสอนเล่มใหม่ควรมีการดัดแปลงให้สั้นเพื่อความสะดวกและควรมีการอ้างจากข้อคำสอนของหนังสือคำสอนคาทอลิกฉบับสากลไม่ใช่ตีความตามใจผู้สอน
4) รูปแบบถามตอบนั้นยังใช้ไ ด้และสะดวกสำหรับการสอนคำสอนตามวัด ควรจะใช้ต่อไป ส่วนหนังสือคำสอนที่ใช้ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เท่าที่มีในปัจจุบันผมก็เห็นว่าดีแล้วเพียงแต่กระจายไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น
5) บาปต้น (ซึ่งจริงๆแล้วคำนี้ก็น่าจะเปลี่ยนเพราะมันเป็นท่าทีหรือแนวโน้มที่จะนำไปสู่บาปมากกว่าเป็นบาปเสียเอง) นั้นผมเสนอให้แปลและเรียงลำดับดังนี้
จองหอง (Pride)
โลภ (Avarice or Greed)
ริษยา (Envy)
โมโห (Wrath or Anger)
ตัณหา (เปลี่ยนจากคำว่าอุลามกหรือลามกซึ่งแปลว่า สกปรก น่าเกลียด) (Lust)
ตะกละ (เปลี่ยนจากคำว่าโลภอาหาร) (Gluttony)
เกียจคร้าน (Sloth: Acedia)
และสุดท้าย อยากพูดดังๆว่า งบประมาณสำหรับคำสอนและครูคำสอนนั้นเพิ่มหน่อยได้ไหม?
แต่อยากให้ลองอ่านบทความของพ่อ.ไพบูลย์ อุดมเดช นิดนึงคะ
+++++++++++++++
ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้น
เกริ่นนำ
บทความที่ผมจะเขียนต่อไปนี้มีเป้าหมายเพื่อชี้ให้เห็นว่า กระบวนการสอนคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกไทยเรานั้นมีปัญหาที่ต้องขบคิดและต้องเผชิญกับการท้าทายอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความพร้อมด้านอุปกรณ์การสอน เช่น หนังสือคำสอนที่เหมาะกับสภาพท้องถิ่น สื่อการสอนคำสอนด้านต่างๆที่ยังขาดแคลนและยังไม่สามารถกระจายไปทั่วถึงระดับรากหญ้าตามวัดต่างๆได้ และนอกนั้นปัญหาของการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ไม่ทันสมัยและไม่สอดคล้องกับคนในยุคปัจจุบันโดยโดยไม่ต้องพูดถึงปัญหาของผู้สอนคำสอนที่รักและศรัทธาในวิชาคำสอนที่หาได้ยากพอๆกับหากระแสเรียกนักบวช
พูดให้ตรงจุด บทความนี้ผมจะพูดถึงปัญหาของการแปลศัพท์คำสอนผิดและเป็นเหตุให้สอนผิดๆกันมาจนถึงปัจจุบันดังคำว่า ตระหนี่ ที่ผมตั้งชื่อบทความนี้ว่า ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้น เป็นไปได้หรือ? ได้และเป็นไปแล้วด้วย
บาปต้น 7 ประการ
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกได้พูดถึงบาปต้น (Captital Sins)ว่ามี 7 ประการ ผมจะนำเสนอเป็นภาษาลาติน ภาษาอิตาเลียน ฝรั่งเศส อังกฤษและไทย เพื่อเปรียบเทียบภาษาและชี้ให้เห็นว่า เหตุใดผมจึงบอกว่า ตระหนี่ไม่ใช่บาปต้นดังที่เราเคยเรียนกันมาไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปี(นับจากอายุของหนังสือคำสอนที่พิมพ์เป็นภาษาไทยในปี 1923)
ลาติน อิตาเลียน ฝรั่งเศส อังกฤษ ไทย
Superbia Superbia L'orgueil Pride จองหอง
Avaritia Avarizia L'avarice Avarice ตระหนี่
Invidia Invidia L'envie Envy ริษยา
Ira Ira La colere Wrath(Anger) โมโห
Luxuria Lussuria L'impurete Lust อุลามก
Gula Golosita La gourmandise Gluttony โลภอาหาร
Desidia Pigrizia La paresse Sloth เกียจคร้าน
ตระหนี่แปลว่าอะไร?
พจนานุกรมไทยได้ให้คำแปล ตระหนี่ ว่า หวงไม่อยากให้ง่ายๆ เหนียวแน่น หรือแปลตามประสาชาวบ้านคือ ขี้เหนียว จากความหมายนี้ตั้งคำถามจริยะตามประสาชาวบ้านทั่วไปได้ว่า ขี้เหนียวเป็นบาปหรือไม่? ท่านผู้อ่านคิดว่าเป็นบาปหรือไม่ ลองตอบในใจดู?
Avaritia แปลว่าอะไร?
จากภาษาลาตินข้างต้น แปลเป็นอิตาเลียน สเปน ฝรั่งเศส ก็ยังมีเค้าให้เห็นรากเดียวกันกับลาติน แปลว่า การปรารถนาในสิ่งของเครื่องใช้หรือความร่ำรวยมั่งคั่งจนมากล้นเกินพอดี ถ้ามองในแง่จริยธรรมแล้วมันผิดตรงที่คนเราเอาความร่ำรวยเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตแทนที่จะเป็นแนวทางหรือวิถีทางนำเราไปสู่ชีวิตแห่งความดีงาม ศัพย์คำนี้ตรงกับภาษาไทยคือ ความโลภนั่นเอง
ดังนี้ Avritia หรือ Avarizia หรือ l'avarice หรือ avarice ต้องแปลว่า โลภ ตามความหมายของรากศัพท์ที่หมายถึงไม่รู้จักพอในสิ่งของเครื่องใช้ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ตระหนี่!!
ส่วนคำว่า ตระหนี่ นั้นมีความหมายตรงกันข้ามแปลว่า ขี้เหนียว ไม่ยอมแบ่งปัน เช่นนี้เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า การที่แปลคำว่า avritia เป็น ตระหนี่ นั้น ผิด แน่นอน!!! ผมไปเช็คพจนานุกรมคำดังกล่าวในภาษาลาติน ฝรั่งเศส อิตาเลียน สเปน อังกฤษก็ล้วนแปลว่า โลภ ไม่ใช่ตระหนี่ ดังนั้นตระหนี่จึงไม่ใช่หนึ่งในบาปต้น 7 ประการตามที่พระศาสนจักรคาทอลิกสอนแน่นอน
แปลผิด ทำไมถึงแปลผิดล่ะ?
ผมได้ไปค้นที่ศูนย์คำสอนกรุงเทพฯเริ่มจากหนังสือคำสอนเก่าที่สุดเท่าที่จะหาได้มาเปรียบเทียบดูว่า คำว่า ตระหนี่ นั้นเริ่มใช้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หนังสือคำสอนภาษาไทยเก่าที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้นั้นย้อนไปเมื่อปี 1923
ข้อ 2) มัจฉริยะ บาปมัจฉริยะ เปนบาป ชอบของโลกนี้เหลือขนาด เปนต้น เงินทอง เราเคยทำบาป มัจฉริยะหรือบาปขี้เหนียว ตระหนี่ เมื่อเรานับถือเงินทองและทรัพย์สินอื่นๆ เมื่อเรามักได้ของโลกนี้เกิน เราจึงหาด้วยลำบากเกิน เมื่อเราไม่ยอมหรือเราผัดใช้หนี้หรือค่าจ้างแก่ลูกจ้าง เมื่อเรามีใจแข็งต่อคนยากจน เมื่อเราเลี้ยงตนหรือบุตร์ภรรยาไม่พอ เมื่อเราบ่นว่าพระเปนเจ้าเพราะว่าเราได้เสียทรัพย์บ้าง เมื่อเราลืมหาพระคุณฝ่ายวิญญาณไปหาทรัพย์ฝ่ายโลก เปนต้นเมื่อเราทำบาปหาทรัพย์ใด ๆ (อธิบายคำสอน พระศาสนา คฤศตัง ภาค 1 ตีพิมพ์คราวที่หนึ่ง ณ โรงพิมพ์ มิซซัง โรมัน กาทอลิก พระมหานคร คฤศตะศักราช 1923 หน้า 75 ข้อ 12 เรื่องบาปต้น 7 ประการ พระคุณเจ้า แปรอส สังฆราช)
หนังสือเก่าอีกเล่มพิมพ์ซึ่งในปี ค.ศ. 1943 มีการใช้คำว่า ตระหนี่ ในบาปต้นประการที่ 2 ว่าดังนี้
บาปตระหนี่คือ ผูกไจในทรพัย์สินเงินทอง ข้าวของ จนเปนเหตุไห้หลงลืมพระผู้เปนเจ้าและไม่มีความเมตตาปรานีต่อคนจน ( หนังสือคำสอนพระสาสนา คริสตังค์ พิมพ์ครั้งที่ 11 ที่ บริสัทโสภณพิพัธนากร คริสตสักราช 1943 พระสังฆราช เรอเน แปรอส)
ทำไมแปลผิด? เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในยุคของท่านแปรอสนั้นคำว่า ตระหนี่ แปลว่า ไม่รู้จักพอ หรือ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ? ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าผมจะชั่งน้ำหนักภาษาและตีความภาษาข้างต้นตามความเข้าใจภาษาไทยของผมในปัจจุบันแล้ว ตระหนี่คือ หวง ขี้งก หลงใหลในสิ่งของมากจนลืมพระเจ้าและขาดความเมตตาต่อคนยากจนไม่ยอมแบ่งปันกับผู้ที่อดอยากหิวโหย จากคำอธิบายข้างต้นผมก็ว่าท่านแปลถูกต้องตามความหมายของภาษาไทยแล้ว แต่.....ความหมายดังกล่าวก็ไม่ใช่ความหมายของ Avaritia หรือ Avarice (ภาษาอังกฤษ)ที่นักบุญโทมัสอะไควนัสให้ความหมายเป็น 2 ลักษณะคือ 1) มันทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเช่นเมื่อคนหนึ่งสะสมเพิ่มพูนความร่ำรวยจนไม่รู้จักพอก็จะเป็นเหตุให้เบียดบังคนอื่นได้เพราะทรัพย์ในโลกนี้มีจำกัด เมื่อคนหนึ่งเอาไปมากเกินไปก็ย่อมกระทบกับคนอื่น ท่านบอกว่า...ทรัพยากรในโลกนี้ไม่อาจจะครอบครองได้โดยทุกคนในเวลาเดียวกันได้...ลักษณะที่ 2) หมายถึงท่าทีภายในของบุคคลที่มีต่อความร่ำรวยมั่งคั่ง เมื่อบุคคลมีความสุขกับความไม่รู้จักพอในทรัพย์สิน เขาทำบาปต่อตัวเอง แม้ว่าไม่ได้หมายถึงบาปกับร่างกายของเขาแต่ความปรารถนาของเขาก็มีมลทินโดยรักเงินทองมากเกินไป (Summa 2am2ae, q118 art 1) จึงสรุปได้ว่า ความหมายของ avaritia นั้นไม่ใช่ ตระหนี่แน่นอน!!
ทีนี้มามองในแง่ของประวัติศาสตร์ หนังสือคำสอนที่เราถ่ายทอดสืบต่อๆกันมานั้นแปลมาจากภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ เพราะธรรมทูตฝรั่งเศสคือผู้ที่ได้เริ่มแปลหนังสือคำสอนเป็นภาษาไทย ไล่ไปจริงๆก็คงต้องเริ่มตั้งแต่งานเขียนของท่านลาโน ท่านปัลเลอกัว ฯลฯ และได้มีการพิมพ์ต่อๆกันมา มีแก้ไขบ้าง ใช้ภาษาใหม่บ้าง พอมาถึงยุคที่มีคุณพ่อคนไทยเข้ามามีบทบาทในพระศาสนจักร ก็ได้ยึดโครงสร้างหนังสือคำสอนสายฝรั่งเศสเรื่อยมา ท่านยวง นิตโย ได้แปลหนังสืออธิบายคำสอน ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสเพื่อช่วยให้เข้าใจคำสอนลึกซึ้งมากขึ้น แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำว่า ตระหนี่ (คำถามคือทำไม? ท่านยวงได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญภาษาไทยและบาลีสันสกฤต แต่ทำไมท่านไม่แก้ไขคำว่า ตระหนี่ออกไป)คนรุ่นหลังต่อมาจนถึงปัจจุบันเช่นหนังสือของพ่อสมบูรณ์ หนังสือคำสอนของพ่อกอสเต คุณสวัสดิ์ ครุสุวรรณ จากศูนย์คำสอนหรือของคุณพ่อคนอื่นๆ รวมทั้งคนที่ยังชอบหนังสือคำสอนเล่มครบก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำนี้ คำถามคือ ทำไม?
น่าสังเกตว่าในบรรดาหนังสือคำสอนที่พิมพ์ต่อๆมาจากต้นฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสแล้วก็มีธรรมทูตจากสายอิตาเลียน คณะซาเลเซียนรุ่นหลังๆ เป็นต้น เอฟ.ศักดิ์ ได้ผลิตหนังสือคำสอนใหม่ๆออกมา โดยแปลจากต้นฉบับภาษาอิตาเลียน เขาได้แปลความหมายของคำว่า Avaritia ถูกต้องคือ แปลว่า ความมักได้ ความโลภอยากได้ (ดู..ความสว่างที่แท้จริงซึ่งนำทางสู่ความรอด เล่ม 3 หน้า 26) ซึ่งผมเห็นว่าถูกต้อง เพียงแต่ว่าหนังสือของค่ายซาเลเซียนนั้นยังไปไม่ถึงรากเหง้าของสังคมคริสตชนเป็นต้นตามวัดต่างๆที่พระสงฆ์หลายคนก็ยังใช้หนังสือคริสตังเล่มครบเหมือนเดิม และอีกประการเป็นหนังสือที่อธิบายยาว ไม่สะดวกนักสำหรับคนไทยที่ชอบอะไรสั้น ๆ และติดอยู่กับโครงสร้างแบบ ถามตอบของคริสตังเล่มครบ ความบกพร่องดังกล่าวถึงไม่ได้รับการแก้ไข
จากคำถามที่ว่า ทำไมใช้กันผิดๆเรื่อยมา ผมขออนุญาตออกความเห็น ณ ที่นี้ว่า เป็นไปได้หรือไม่เพราะ คนไทยเราไม่มีนิสัยตั้งคำถามเรื่องความถูกต้องที่บรรพชนสอนมา เราไม่ชอบตั้งคำถามกับอาจารย์หรือผู้มีอำนาจ เพราะขัดกับนิสัยและค่านิยมของเรา เราไม่ชอบค้นคว้าถึงรากเหง้าและที่มา และเป็นต้นชาวบ้านเองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะค้นคว้าได้อยู่แล้วเนื่องจากภาษาต้นฉบับนั้นเป็นภาษาลาตินหรือฝรั่งเศสที่เขาไม่รู้ (นี้เป็นเพียงความเห็นของผมนะครับยังไม่ได้เป็นการฟันธงชี้ขาดลงไปเพราะ ผมอาจจะผิดได้)
ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลง?
กาลเวลาทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความเข้าใจภาษาของคนในยุคหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเข้าใจต่างกัน ศัพท์ต่าง ๆ ก็จะใช้ในความหมายและบริบทต่างกัน ดังนั้นผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหนังสือคำสอนที่พ้นยุคเสียที
1) เอาหนังสือ คำสอนเล่มครบ ที่นิยมใช้ตามวัดนั้นไปเก็บในห้องหนังสือสำหรับอนุชนรุ่นหลังได้ค้นคว้า เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ได้รับใช้พระศาสนจักรมาเกินคุ้มแล้ว
2) หนังสือคำสอนรุ่นใหม่ที่จะทำนั้นต้องมีบรรทัดฐานในหนังสือคำสอนคาทอลิกที่ออกในปี 1997 เป็นหลักเพื่อจะได้สอนเหมือน ๆ กันทั่วโลก
3) หนังสือคำสอนเล่มใหม่ควรมีการดัดแปลงให้สั้นเพื่อความสะดวกและควรมีการอ้างจากข้อคำสอนของหนังสือคำสอนคาทอลิกฉบับสากลไม่ใช่ตีความตามใจผู้สอน
4) รูปแบบถามตอบนั้นยังใช้ไ ด้และสะดวกสำหรับการสอนคำสอนตามวัด ควรจะใช้ต่อไป ส่วนหนังสือคำสอนที่ใช้ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เท่าที่มีในปัจจุบันผมก็เห็นว่าดีแล้วเพียงแต่กระจายไปสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น
5) บาปต้น (ซึ่งจริงๆแล้วคำนี้ก็น่าจะเปลี่ยนเพราะมันเป็นท่าทีหรือแนวโน้มที่จะนำไปสู่บาปมากกว่าเป็นบาปเสียเอง) นั้นผมเสนอให้แปลและเรียงลำดับดังนี้
จองหอง (Pride)
โลภ (Avarice or Greed)
ริษยา (Envy)
โมโห (Wrath or Anger)
ตัณหา (เปลี่ยนจากคำว่าอุลามกหรือลามกซึ่งแปลว่า สกปรก น่าเกลียด) (Lust)
ตะกละ (เปลี่ยนจากคำว่าโลภอาหาร) (Gluttony)
เกียจคร้าน (Sloth: Acedia)
และสุดท้าย อยากพูดดังๆว่า งบประมาณสำหรับคำสอนและครูคำสอนนั้นเพิ่มหน่อยได้ไหม?
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
*kis เสริมอีกนิดนึงค่ะ พ่อไพบูลย์บอกว่า ไม่อยากให้เรียกว่า บาปต้น 7 ประการ แต่ให้เราเรียกว่า อธรรม 7 ประการ ค่ะ
คุณธรรมหลัก 7 ประการ
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
บาปต้นมี 7 ประการ ซึ่งเมื่อทำจนเคยชินเป็นสันดานก็เรียกได้ว่าเป็นกิเลสต้น 7 ประการ เหมือนกับน้ำเสีย 7 ลำธารอันเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งหลายที่มนุษย์อาจจะทำได้
การทำดีก็ก่อให้เกิดกุศล 7 ประการ ซึ่งเมื่อทำจนเคยชินเป็นอุปนิสัยนอนเนื่องก็เรียกว่า คุณธรรมหลัก 7 ประการ เหมือนกับต้นน้ำดี 7 ลำธาร อันเป็นบ่อเกิดของความดีทั้งหลายที่มนุษย์อาจจะทำได้
คุณธรรมหลัก 7 ประการ แบ่งออกเป็นคุณธรรมหลักเหนือธรรมชาติ 3 ประการ คือ ความเชื่อ ความวางใจ และความรัก กับคุณธรรมหลักตามธรรมชาติ 4 ประการ คือ ความรอบคอบ ความรู้จักประมาณตน ความกล้าหาญ และความยุติธรรม
การทำบาปนั้น ผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ผิดแล้ว
ส่วนกุศลหรือการทำดีนั้น ต้องมีคุณธรรมหลักตามธรรมชาติครบทั้ง 4 ข้อ ซึ่งเป็นการทำดีตามธรรมชาติ หากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็เป็นการทำผิดแล้วตามธรรมชาติ
หากต้องการให้การทำดีเป็นกุศลเหนือธรรมชาติก็ต้องเพิ่มคุณธรรมหลักเหนือธรรมชาติให้ครบทั้ง 3 ข้ออีกด้วย คือ ต้องทำด้วยความเชื่อ ความวางใจ และความรัก
ขาดเพียงข้อเดียวก็จะเป็นกุศลตามธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นการทำดีในระดับหนึ่งที่ใช้ได้ และอาจจะเตรียมจิตใจให้ทำดีเหนือธรรมชาติต่อไปในอนาคตก็ได้
ดังนั้นการทำดีที่ถูกต้องจะต้องมีความรอบคอบ คือรู้จักสายกลาง ไม่ขาดไม่เกิน เมื่อรู้แล้วก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะตัดสินใจลงมือปฏิบัติตาม ในการปฏิบัติจะต้องอยู่ในกรอบของความสามารถของตน จึงต้องรู้จักประมาณตน ไม่ทำเกินกำลังตน กำลังครอบครัว และกำลังประเทศชาติ และจะต้องยุติธรรมด้วย
คือทำความดีโดยไม่เบียดเบียนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นโดยเขาไม่เต็มใจรับ หากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็กลายเป็นการทำผิดไป
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
บาปต้นมี 7 ประการ ซึ่งเมื่อทำจนเคยชินเป็นสันดานก็เรียกได้ว่าเป็นกิเลสต้น 7 ประการ เหมือนกับน้ำเสีย 7 ลำธารอันเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายทั้งหลายที่มนุษย์อาจจะทำได้
การทำดีก็ก่อให้เกิดกุศล 7 ประการ ซึ่งเมื่อทำจนเคยชินเป็นอุปนิสัยนอนเนื่องก็เรียกว่า คุณธรรมหลัก 7 ประการ เหมือนกับต้นน้ำดี 7 ลำธาร อันเป็นบ่อเกิดของความดีทั้งหลายที่มนุษย์อาจจะทำได้
คุณธรรมหลัก 7 ประการ แบ่งออกเป็นคุณธรรมหลักเหนือธรรมชาติ 3 ประการ คือ ความเชื่อ ความวางใจ และความรัก กับคุณธรรมหลักตามธรรมชาติ 4 ประการ คือ ความรอบคอบ ความรู้จักประมาณตน ความกล้าหาญ และความยุติธรรม
การทำบาปนั้น ผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ผิดแล้ว
ส่วนกุศลหรือการทำดีนั้น ต้องมีคุณธรรมหลักตามธรรมชาติครบทั้ง 4 ข้อ ซึ่งเป็นการทำดีตามธรรมชาติ หากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็เป็นการทำผิดแล้วตามธรรมชาติ
หากต้องการให้การทำดีเป็นกุศลเหนือธรรมชาติก็ต้องเพิ่มคุณธรรมหลักเหนือธรรมชาติให้ครบทั้ง 3 ข้ออีกด้วย คือ ต้องทำด้วยความเชื่อ ความวางใจ และความรัก
ขาดเพียงข้อเดียวก็จะเป็นกุศลตามธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นการทำดีในระดับหนึ่งที่ใช้ได้ และอาจจะเตรียมจิตใจให้ทำดีเหนือธรรมชาติต่อไปในอนาคตก็ได้
ดังนั้นการทำดีที่ถูกต้องจะต้องมีความรอบคอบ คือรู้จักสายกลาง ไม่ขาดไม่เกิน เมื่อรู้แล้วก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะตัดสินใจลงมือปฏิบัติตาม ในการปฏิบัติจะต้องอยู่ในกรอบของความสามารถของตน จึงต้องรู้จักประมาณตน ไม่ทำเกินกำลังตน กำลังครอบครัว และกำลังประเทศชาติ และจะต้องยุติธรรมด้วย
คือทำความดีโดยไม่เบียดเบียนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นโดยเขาไม่เต็มใจรับ หากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็กลายเป็นการทำผิดไป
บาปต้นมี 7 ประการแน่หรือ
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
คุณธรรมหลักของชีวิตคริสตชนมี 7 ประการแน่นอน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะทำให้เป็นคริสตชนที่ไม่มีคุณธรรมทันที ( คุณธรรมแบบคริสต์นะครับ ) ถ้าต้องการดีอย่างมนุษย์ มีคุณธรรมแบบมนุษย์เพียง 4 ข้อก็พอ การรับศีลล้างบาปเป็นการสมัครใจ ยอมผูกมัดตัวเองเพิ่มขึ้นอีก 3 ประการ
คริสตชนคนใดมีคุณธรรมครบ 7 ประการ ถือได้มีคุณธรรมแบบคริสต์ครบถ้วนบริบูรณ์ จะแจงออกไปเป็นคุณธรรมย่อยสักกี่ร้อยกี่พันประการก็มีครบถ้วน
บาปต้นอันได้แก่นิสัยเคยชินที่ไม่ดีหรือที่เรียกว่ากิเลสนั้นตรงกันข้ามกับคุณธรรม นิสัยไม่ดีเพียงอย่างเดียวก็เป็นความบกพร่องแล้ว เหมือนชามดีต้องไม่มีรอยร้าวหรือรอยบิ่นตรงไหนเลย หากร้าวหรือบิ่นสักแห่งเดียวก็ไม่เรียกว่าชามดีแล้ว
ความประพฤติไม่ดีเพียงครั้งเดียว ยังไม่เป็นนิสัย ไม่เรียกว่ากิเลส ไม่ใช่บาปต้น แก้ไขได้ง่าย ไม่เป็นบ่อเกิดของบาปต่างๆ
แต่ปล่อยให้เป็นนิสัยนอนเนื่องในสันดานเมื่อใดก็เมื่อนั้น จะเป็นบาปต้นบ่อเกิดของบาปได้นับไม่ถ้วนทั้งสิ้น
จนถึงบาปผิดต่อพระจิตเจ้า และสิ้นหวังไปเลยก็ได้ จึงเผลอไม่ได้ มันเหมือนหญ้าคาหรือหญ้าคอมมิวนิสต์ ขึ้นง่าย ถอนยาก ขืนปล่อยไว้จะลำบากเจ้าของที่ดินเอง
ในเมื่อบาปใดหากเคยชินจนเป็นนิสัยก็เป็นบาปต้นแล้ว บาปต้นจึงนับให้ได้กี่ชนิดก็ได้ตามความพอใจ พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดไว้
นักปราชญ์เสนอกันไว้หลายแบบ
พระศาสนจักรคาทอลิกในปัจจุบันรับรู้ว่ามี 7 ชื่อ ต่อไปนี้ เรียกว่าบาปต้น 7 ประการ คือ ความสู่รู้ ( สำคัญตนว่าเลิศหรือทนงตน ) ความริษยา ความโกรธ ความเกียจคร้าน ความตระหนี่ ความโลภ การชอบล่วงกามารมณ์ นับเป็นนโยบายการสอนของพระศาสนจักร ไม่ใช่ข้อความเชื่อ
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
คุณธรรมหลักของชีวิตคริสตชนมี 7 ประการแน่นอน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะทำให้เป็นคริสตชนที่ไม่มีคุณธรรมทันที ( คุณธรรมแบบคริสต์นะครับ ) ถ้าต้องการดีอย่างมนุษย์ มีคุณธรรมแบบมนุษย์เพียง 4 ข้อก็พอ การรับศีลล้างบาปเป็นการสมัครใจ ยอมผูกมัดตัวเองเพิ่มขึ้นอีก 3 ประการ
คริสตชนคนใดมีคุณธรรมครบ 7 ประการ ถือได้มีคุณธรรมแบบคริสต์ครบถ้วนบริบูรณ์ จะแจงออกไปเป็นคุณธรรมย่อยสักกี่ร้อยกี่พันประการก็มีครบถ้วน
บาปต้นอันได้แก่นิสัยเคยชินที่ไม่ดีหรือที่เรียกว่ากิเลสนั้นตรงกันข้ามกับคุณธรรม นิสัยไม่ดีเพียงอย่างเดียวก็เป็นความบกพร่องแล้ว เหมือนชามดีต้องไม่มีรอยร้าวหรือรอยบิ่นตรงไหนเลย หากร้าวหรือบิ่นสักแห่งเดียวก็ไม่เรียกว่าชามดีแล้ว
ความประพฤติไม่ดีเพียงครั้งเดียว ยังไม่เป็นนิสัย ไม่เรียกว่ากิเลส ไม่ใช่บาปต้น แก้ไขได้ง่าย ไม่เป็นบ่อเกิดของบาปต่างๆ
แต่ปล่อยให้เป็นนิสัยนอนเนื่องในสันดานเมื่อใดก็เมื่อนั้น จะเป็นบาปต้นบ่อเกิดของบาปได้นับไม่ถ้วนทั้งสิ้น
จนถึงบาปผิดต่อพระจิตเจ้า และสิ้นหวังไปเลยก็ได้ จึงเผลอไม่ได้ มันเหมือนหญ้าคาหรือหญ้าคอมมิวนิสต์ ขึ้นง่าย ถอนยาก ขืนปล่อยไว้จะลำบากเจ้าของที่ดินเอง
ในเมื่อบาปใดหากเคยชินจนเป็นนิสัยก็เป็นบาปต้นแล้ว บาปต้นจึงนับให้ได้กี่ชนิดก็ได้ตามความพอใจ พระคัมภีร์ไม่ได้กำหนดไว้
นักปราชญ์เสนอกันไว้หลายแบบ
พระศาสนจักรคาทอลิกในปัจจุบันรับรู้ว่ามี 7 ชื่อ ต่อไปนี้ เรียกว่าบาปต้น 7 ประการ คือ ความสู่รู้ ( สำคัญตนว่าเลิศหรือทนงตน ) ความริษยา ความโกรธ ความเกียจคร้าน ความตระหนี่ ความโลภ การชอบล่วงกามารมณ์ นับเป็นนโยบายการสอนของพระศาสนจักร ไม่ใช่ข้อความเชื่อ
ความตระหนี่ ( Avarice )
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
ความตระหนี่ที่เป็นบาปต้นหรือต้นตอของบาปทั้งหลายนั้นมิได้หมายความเพียงแต่ว่ามีเงินแล้วไม่ยอมใช้เท่านั้น แต่หมายความกว้างไปถึงพระพรต่างๆที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งพระเยซูเรียกว่า "ตาแลนตา" หรือ "ตาลันต์
การไม่ยอมเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าตนจะขัดสนมีไม่พอ ไม่ไว้ใจในพระญาณสอดส่อง อยากจะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง โดยพยายามสะสมกักตุนไว้มากๆ เพื่อตัวเอง มิได้คิดจะช่วยผู้อื่น
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ กลัวผู้อื่นจะเกินหน้าตน เช่น มีความรู้แล้วไม่ยอมเผื่อแผ่ผู้อื่น กลัวผู้อื่นจะรู้มากกว่าตน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการเพาะนิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว ไม่เพียงแต่ขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น ยังเลวมากกว่านั้น เพราะมีจิตใจแข่งขัน กีดกันผู้อื่นทุกคน กลัวจะได้ดีกว่าตน จิตใจเช่นนี้จึงพร้อมที่จะวางตัวเป็นศัตรูกับทุกคน อย่างนี้แล้วจะไม่เป็นต้นตอของบาปได้อย่างไร
ความเลวตรงข้ามคือความสุรุ่ยสุร่าย คือ ใช้เงินโดยไม่จำเป็น ไม่ตรงกับเป้าหมายที่พระเจ้าทรงพระประสงค์ การใช้พระพรอื่นๆ อย่างไม่ถูกเรื่อง อย่างที่พระเยซูตรัสไว้ว่า อย่าเอาเพชรไปโยนให้สุกร มันไม่รู้คุณค่า เสียคุณค่าของพระพร
บางคนก็มุ่งทำกิจกุศลอย่างไม่บันยะบันยัง จนเสื่อมเสียสุขภาพอย่างไม่คุ้มค่า หรือขาดหน้าที่ที่สำคัญกว่า เช่น ขาดการดูแลคนในบ้าน ขาดการดูแลผู้อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรง เป็นต้น
คุณธรรมที่จะขจัดนิสัยสุดขั้วเหล่านี้ คือ ความพอดีในความรัก ไม่ใช่สักแต่ว่ารักเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องรักอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ขาดและไม่เกินพอดี ความพอดีคือความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญ
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
ความตระหนี่ที่เป็นบาปต้นหรือต้นตอของบาปทั้งหลายนั้นมิได้หมายความเพียงแต่ว่ามีเงินแล้วไม่ยอมใช้เท่านั้น แต่หมายความกว้างไปถึงพระพรต่างๆที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งพระเยซูเรียกว่า "ตาแลนตา" หรือ "ตาลันต์
การไม่ยอมเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าตนจะขัดสนมีไม่พอ ไม่ไว้ใจในพระญาณสอดส่อง อยากจะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง โดยพยายามสะสมกักตุนไว้มากๆ เพื่อตัวเอง มิได้คิดจะช่วยผู้อื่น
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ กลัวผู้อื่นจะเกินหน้าตน เช่น มีความรู้แล้วไม่ยอมเผื่อแผ่ผู้อื่น กลัวผู้อื่นจะรู้มากกว่าตน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการเพาะนิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว ไม่เพียงแต่ขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์เท่านั้น ยังเลวมากกว่านั้น เพราะมีจิตใจแข่งขัน กีดกันผู้อื่นทุกคน กลัวจะได้ดีกว่าตน จิตใจเช่นนี้จึงพร้อมที่จะวางตัวเป็นศัตรูกับทุกคน อย่างนี้แล้วจะไม่เป็นต้นตอของบาปได้อย่างไร
ความเลวตรงข้ามคือความสุรุ่ยสุร่าย คือ ใช้เงินโดยไม่จำเป็น ไม่ตรงกับเป้าหมายที่พระเจ้าทรงพระประสงค์ การใช้พระพรอื่นๆ อย่างไม่ถูกเรื่อง อย่างที่พระเยซูตรัสไว้ว่า อย่าเอาเพชรไปโยนให้สุกร มันไม่รู้คุณค่า เสียคุณค่าของพระพร
บางคนก็มุ่งทำกิจกุศลอย่างไม่บันยะบันยัง จนเสื่อมเสียสุขภาพอย่างไม่คุ้มค่า หรือขาดหน้าที่ที่สำคัญกว่า เช่น ขาดการดูแลคนในบ้าน ขาดการดูแลผู้อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรง เป็นต้น
คุณธรรมที่จะขจัดนิสัยสุดขั้วเหล่านี้ คือ ความพอดีในความรัก ไม่ใช่สักแต่ว่ารักเพื่อนมนุษย์ แต่ต้องรักอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ขาดและไม่เกินพอดี ความพอดีคือความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญ
ความโลภ ( Gluttony )
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
ความโลภไม่ใช่ความอยากเกินต้องการหรือเกินพอดี ถ้าอยากได้ในสิ่งที่เสริมคุณธรรมแล้ว อยากมากเท่าใดก็ไม่มีวันเกิน แต่ถ้าอยากได้ในสิ่งที่ขัดกับคุณธรรมแล้ว แม้แต่นิดเดียวก็เป็นความโลภแล้ว นี่กล่าวถึงความโลภในส่วนที่เป็นความคิดและความอยาก
แต่ในส่วนที่เป็นการบริโภคและจับจ่ายใช้สอยแล้ว ก็ย่อมมีขาดมีเกินและพอดี เช่น การรับประทานอาหารต้องให้ถูกต้องและพอดี คือต้องบริโภคเฉพาะสิ่งที่ให้คุณและอยู่ในเกณฑ์พอดี ขาดก็เสียสุขภาพ เกินก็เสียสุขภาพ
ในการซื้อหาเครื่องใช้ไม้สอยก็เช่นกัน ในฐานะที่แต่ละคนมีตำแหน่งหนึ่งในสังคม ย่อมต้องการข้าวของเครื่องใช้และศักดิ์ศรีที่ให้คุณต่อการปฏิบัติตนตามตำแหน่งในสังคม ขาดก็ทำหน้าที่ไม่ได้ เกินก็ทำให้จิตใจติดข้อง เป็นความโลภตามตำแหน่งหน้าที่ในสังคม เพราะเกินพอดี
ความพอดีอยู่ตรงไหน คิดยากคำนวณยาก เอาเป็นว่าพระเจ้าประทานให้แค่ไหนก็ยินดีรับแค่นั้น และพอใจเพียงแค่นั้น พอได้ยินเสียงพระเจ้าบอกในใจว่า "เกินไปแล้วนะ" ก็รีบถอยทันที
พอได้ยินเสียงพระเจ้าบอกในใจว่า "ความรักเรียกร้องตรงนั้นแล้ว ถ้าเจ้าไม่แทรกเข้าไปตรงนั้น จะมีช่องโหว่ในสังคม" ก็รีบแทรกเข้าไปทันที ไม่ใช่เพราะโลภยึดเผื่อไว้ แต่เพราะพระเจ้าเสนอช่องโหว่ตรงนั้น ไม่มีใครสนใจเสนอตัว เราแทรกตัวเข้าไปแล้วต้องได้ทำดีมีประโยชน์ หากรู้สึกผิดที่ ให้ถอยมาตั้งหลักใหม่
รอคำชี้แนะจากพระเจ้า พระองค์บอกให้ทำก็กุลีกุจอทำเต็มที่ พระองค์บอกให้หยุดก็หยุด พระองค์บอกให้เปลี่ยนก็เปลี่ยน ก็แค่นั้นเอง
ความโลภก็จะไม่เกิด ความคร้านจะไม่กราย การถล่มตัวอย่างเสียหายก็จะไม่เกิด เข้าอยู่ในแนวทางแห่งชีวิตพระเจ้า มีคุณธรรม 7 ประการครบถ้วน นั่นหมายถึงมีคุณธรรมครบถ้วนไม่ว่าจะเอ่ยชื่อใดขึ้นมา
ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ หนังสือ"วันละก้าว...เข้าหาพระ"
ความโลภไม่ใช่ความอยากเกินต้องการหรือเกินพอดี ถ้าอยากได้ในสิ่งที่เสริมคุณธรรมแล้ว อยากมากเท่าใดก็ไม่มีวันเกิน แต่ถ้าอยากได้ในสิ่งที่ขัดกับคุณธรรมแล้ว แม้แต่นิดเดียวก็เป็นความโลภแล้ว นี่กล่าวถึงความโลภในส่วนที่เป็นความคิดและความอยาก
แต่ในส่วนที่เป็นการบริโภคและจับจ่ายใช้สอยแล้ว ก็ย่อมมีขาดมีเกินและพอดี เช่น การรับประทานอาหารต้องให้ถูกต้องและพอดี คือต้องบริโภคเฉพาะสิ่งที่ให้คุณและอยู่ในเกณฑ์พอดี ขาดก็เสียสุขภาพ เกินก็เสียสุขภาพ
ในการซื้อหาเครื่องใช้ไม้สอยก็เช่นกัน ในฐานะที่แต่ละคนมีตำแหน่งหนึ่งในสังคม ย่อมต้องการข้าวของเครื่องใช้และศักดิ์ศรีที่ให้คุณต่อการปฏิบัติตนตามตำแหน่งในสังคม ขาดก็ทำหน้าที่ไม่ได้ เกินก็ทำให้จิตใจติดข้อง เป็นความโลภตามตำแหน่งหน้าที่ในสังคม เพราะเกินพอดี
ความพอดีอยู่ตรงไหน คิดยากคำนวณยาก เอาเป็นว่าพระเจ้าประทานให้แค่ไหนก็ยินดีรับแค่นั้น และพอใจเพียงแค่นั้น พอได้ยินเสียงพระเจ้าบอกในใจว่า "เกินไปแล้วนะ" ก็รีบถอยทันที
พอได้ยินเสียงพระเจ้าบอกในใจว่า "ความรักเรียกร้องตรงนั้นแล้ว ถ้าเจ้าไม่แทรกเข้าไปตรงนั้น จะมีช่องโหว่ในสังคม" ก็รีบแทรกเข้าไปทันที ไม่ใช่เพราะโลภยึดเผื่อไว้ แต่เพราะพระเจ้าเสนอช่องโหว่ตรงนั้น ไม่มีใครสนใจเสนอตัว เราแทรกตัวเข้าไปแล้วต้องได้ทำดีมีประโยชน์ หากรู้สึกผิดที่ ให้ถอยมาตั้งหลักใหม่
รอคำชี้แนะจากพระเจ้า พระองค์บอกให้ทำก็กุลีกุจอทำเต็มที่ พระองค์บอกให้หยุดก็หยุด พระองค์บอกให้เปลี่ยนก็เปลี่ยน ก็แค่นั้นเอง
ความโลภก็จะไม่เกิด ความคร้านจะไม่กราย การถล่มตัวอย่างเสียหายก็จะไม่เกิด เข้าอยู่ในแนวทางแห่งชีวิตพระเจ้า มีคุณธรรม 7 ประการครบถ้วน นั่นหมายถึงมีคุณธรรมครบถ้วนไม่ว่าจะเอ่ยชื่อใดขึ้นมา
แก้ไขล่าสุดโดย Jezebel เมื่อ อังคาร พ.ค. 09, 2006 7:46 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.