แม่พระประจักษ์ที่ประเทศไทย เมื่อปี 2531 ที่วัดลำไทร
                      จากบทสัมภาษณ์คุณพ่อวิจิตร  ลิขิตธรรม เจ้าอาวาสวัดวิสุทธิวงส์( ในขณะนั้น ) อาเดเรียเป็นชาวออสเตรเลีย   เธอกำลังทำงานที่โคเออร์และเธอได้รับการติด ต่อสนทนากับแม่พระเป็นเวลา 9 ปี  และมีข่าวสารเป็นครั้งคราวจากแม่พระเพื่อ ขอให้เธอเขียนถึงพระสันตะปาปาและบุคคลสำคัญ    เธอได้บอกกับคุณพ่อว่า ตั้งแต่วันที่ 12 เม . ย . 2531เป็นต้นไป  แม่พระจะมาประจักษ์ขณะที่มีการสวด สายประคำ และชื่อของแม่พระในการมาประจักษ์ครั้งนี้คือ 
“พระแม่ผู้เห็นอกเห็น ใจเพื่อความยุติธรรมแด่ผู้ที่น่าสงสาร”              
                      อาเดเรียได้เขียนบอกถึงสาเหตุที่แม่พระมาประจักษ์ไว้เมื่อวันที่ 25 พ . ค . 2531 มีใจความว่า เพื่อสอนเราว่าให้เรารักพระเยซูเจ้าเสมอๆ 
1) ไม่มีใครรักพระเยซูเจ้าได้ดีเท่าแม่   และติดตามด้วยแบบอย่างอันสุภาพของแม่
2) เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา  หากเราไม่ละทิ้งสิ่งเลวร้าย  
3) เพื่อช่วยวิญญาณเราและวิญญาณที่อยู่ในไฟชำระ
4) เพื่อให้เรานบนอบต่อพระศาสนจักรและผู้มีหน้าที่อภิบาลสัตบุรุษทุกคน  
5) เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระ อาณาจักรสวรรค์และให้ความหวังแก่เรา
                      หลังจากปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมาก็มิได้มีการบันทึกอะไรไว้เป็นหลักฐานอีกเลย   และยังไม่มีผู้คนมาสวดภาวนาที่ถ้ำแม่พระแห่งนี้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด   ถ้าหากบรรดาผู้สูงอายุเหล่านี้ตายไปกันหมดแล้ว  ก็คงจะไม่มีใครมาหาแม่พระที่นี่อีก เป็นแน่   จะมีใครรู้บ้างไหมว่า   แม่พระทรงมาคอยลูกๆของแม่อยู่ที่ถ้ำแห่งนี้นาน ถึง16 ปีแล้ว
                      ช่วงแรกๆของการไปแสวงบุญที่ลำไทร  ผมได้ยินผู้ใหญ่หลายๆท่านพูดถึง อัศจรรย์ที่พวกท่านได้เห็นหรือได้รับพระพรจากแม่พระ  ยิ่งทำให้ผมอยากไปมากยิ่งขึ้น   คงมีสักวันที่คนบาปอย่างผม  จะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่พระบ้าง  ตลอดระยะเวลา 3 ปีแรกจึงเหมือนกับช่วงเวลาแห่งการรอคอยและชำระจิตวิญญาณของผม   จากคนที่เคยทิ้งวัดไปหลายสิบปี  ผมเริ่มรู้สึกว่าอยากไปวัด,  อยากไปหาแม่พระ, อยากสวดภาวนามากขึ้นทุกวัน  จนในที่สุดอยู่มาวันหนึ่ง ผมก็เริ่มได้ยินเสียงของแม่พระทรงตรัสกับผมที่ถ้ำแม่พระที่ลำไทร   ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่ผมคิดขึ้นมาเองในใจหรือเปล่า  จึงได้ถามแม่พระอยู่ในใจว่า   ถ้าเป็นพระประสงค์ของแม่ที่จะให้ลูกได้รับสาสน์แล้ว  ขอให้ลูกได้ยินข้อความเดิมนั้นอีกครั้ง  และผมก็ได้ยินจริงๆ  แรกๆผมก็ ไม่กล้าเล่าให้ ใครฟังนอกจากญาติ พี่น้องในครอบครัวเท่านั้น   เพราะกลัวคนอื่นเขาจะหาว่าผมเสียสตินั่นเอง   ในจิตใจของผมเริ่มร้อนรน  อยากให้ผู้คนกลับมาหาแม่พระเหมือนเดิม   แม่พระได้ทรงตรัสให้ผมเริ่มงานของแม่ด้วยการส่งให้ผมไปหาคุณพ่อวิจิตร ลิขิตธรรม ซึ่งในขณะนั้นผมยังไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวเลย  เพียงแต่ทราบว่าท่านอยู่ที่ วัดมารีสวรรค์, ดอนเมืองเท่านั้น  แต่ในที่สุดผมก็ได้รับการดลใจให้ไปหาคุณพ่อจนได้เพื่อขอให้ท่านเป็นคุณพ่อทางฝ่ายวิญญาณของผม 
                      แม่พระทรงค่อยๆสอนคนบาปหนาอย่างผมทีละเล็กทีละน้อย   ถึงความรักที่พระบิดาเจ้าและพระเยซูเจ้าทรงมีต่อลูกๆของพระองค์เป็นเวลาถึงสามปีเต็มๆ   เมื่อ เริ่มปีที่ 4 แม่พระจึงได้ทรงเริ่มประทานสาสน์ และตรัสว่าจะมาพบกับผมทุกๆวัน เสาร์ที่บ้านของผมและให้ผมบันทึกสาสน์ของแม่เอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน   ผมจึงได้ถวายตัวกับแม่พระ เพื่อขอเป็นข้ารับใช้ของแม่ไปจนตลอดชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ. 2548
                      แม่พระได้สอนให้ผมเริ่มต้นชำระจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์, ทำแต่ความดี, ให้อภัยแก่ผู้อื่น, รู้จักกับการให้ความรักและความเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์โดยที่ไม่หวังสิ่งใดๆ เป็นการตอบแทน   นอกจากนี้แม่พระยังได้ทรงสอนให้ผมรู้จักการให้ความ ช่วยเหลือแก่ญาติพี่น้องของตนเองก่อนที่จะไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น   ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ผมมักจะมองข้ามไปเสมอ   กว่าผมจะมาถึงวันนี้ได้   เมื่อผมมองย้อนหลังกลับไป  แม่พระได้ทรงชำระจิตวิญญาณของผมอย่างช้าๆจนผมแทบไม่รู้ตัว   ผมไม่มีความรู้เรื่องพระคำภีร์เลย  แต่แม่พระก็ทรงให้เวลาผมปรับตัวก่อนที่จะทรงตรัสให้ผมเริ่มทำงานให้แม่  สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือการได้ช่วยวิญญาณของน้องชายของผมที่ทิ้งวัดไปเป็นเวลา 2ปี ให้กลับใจมาหาแม่พระได้สำเร็จ   ผมขอ ขอบพระคุณแม่พระที่ทรงสอนให้ผมไม่ละความพยายาม  และค่อยๆพูดชักจูงใจจนเขาสมัครใจที่จะไปขอแก้บาปด้วยตนเอง   แม่พระได้ทรงประทานสาสน์ที่มีคุณค่า แก่จิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายอย่างมากมาย  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“มีน้อยคนนักที่มาหาเราในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่”   
“จงอย่าไปตัดสินผู้อื่น (ผู้ที่มีอำนาจตัดสินมนุษย์ทุกคนได้นั้น  มีแต่พระเป็นเจ้าเท่านั้น) จงใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีประโยชน์มากที่สุด  จงตั้งใจถวายเกียรติแด่พระผู้ เป็นเจ้า”
“ตอนเวลาที่จะทำบาปให้นึกถึงภาพพระเยซู   ภาพแห่งความทรมานของพระองค์แล้วจะรู้ว่า   พระองค์รักเรามากเพียงใด”
“ความเชื่อของมนุษย์อยู่ที่การได้มองเห็นแม่เท่านั้นหรือ?   ลูกเชื่อเพราะได้เห็นใช่ไหม?  ถ้าลูกไม่เห็น ลูกก็ไม่เชื่อในแม่ใช่ไหม?…”
 “มนุษย์ทุกคนก็เป็นคนบาป  แต่สามารถที่จะเดินตามเราได้  จงขอโทษพระผู้เป็นเจ้า  พระองค์พร้อมเสมอที่จะให้อภัย”
 “จงให้อภัยแก่ญาติพี่น้องของลูก  ผู้ใดก็ตามที่ทำให้ลูกไม่พอใจ  หรือเสียใจ   จงให้อภัยแก่เขา  สวดให้เขาเพื่อเขาจะได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง”
 “จงอย่าหวั่นไหวในทุกๆสิ่ง  พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดเส้นทางให้พวกลูกแล้ว   จงเดินตามเส้นทางนั้นเถิด   จงมีสติ  จงอดกลั้นและให้อภัย  แผ่ความรักความเมตตาในตัวลูกไปยังคนรอบข้าง  ถึงแม้ลูกจะรู้ว่าเขาจะทิ้งขว้างความมีน้ำใจ ของลูกก็จงให้อภัย   จงดูตัวอย่างของพระเยซูเจ้า  พระองค์ทรงรักมนุษย์แค้ไหน พวกลูกก็รู้ดีใช่มั๊ย?   ท่านคืออาจารย์ของลูก   จงเดินตามแนวทางชีวิตของท่าน   แล้วชีวิตของพวกลูกจะได้พบแต่สันติสุข”
“มนุษย์เมื่อตกในความลำบากอย่างถึงที่สุด   เขาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปทางไหน   ใน ช่วงสุดท้ายแห่งวิกฤตินั้น  เขาจะกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า   น่าเสียดายเวลาเหลือ เกินที่ก่อนหน้านี้   ทำไมเขาไม่เคยนึกถึงพระองค์”
“เหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นและที่ได้เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลกนี้   ก็เป็นผลจากบาปของมนุษย์ที่พวกเขายินดีที่จะกระทำมัน  ทั้งๆที่เขารู้ว่ามันจะมีผลร้ายขึ้นภายหลัง   แม่หวังว่าพวกลูกยังคงจำได้ถึงคำที่แม่มาเตือนลูกให้สวดภาวนา   และ ทำพลีกรรมเพื่อขออภัยโทษแทนพวกพ้องของลูก   แม่ยังยืนยันคำนั้นอยู่    การสวดภาวนา   การทำพลีกรรม  ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งคนใจบาปได้   แม่ได้เคยบอกว่า  พระบิดาเจ้าให้มาแจ้งว่า   เหตุการณ์ทั้งหลายนั้นกำลังจะจบสิ้นแล้ว   มันจะจบสิ้นแต่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น    คนที่ใจบาปทั้งหลายก็จะเริ่มทำในสิ่งที่ชั่วร้ายอีกเหมือนเดิม”   
“ขอให้ลูกทั้งหลายได้ตั้งมั่นอยู่ในความดี  เพราะขณะนี้ปีศาจกำลังทำงานของมัน อยู่   มันสามารถเข้ามาได้ทุกรูปแบบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความคิดของลูก มันจะทำงานง่ายมาก  ถ้าลูกฟังเสียงของมันแม้แต่เพียงนิดเดียว  อย่าได้หลงเชื่อ  จงหันหลังกลับและสวดภาวนาในทันที   แม่ให้สัญญาว่าลูกจะพ้นภัย”
“เวลาของพวกลูกทุกคนได้มีกำหนดไว้แล้วอย่างแน่นอนตายตัว   แต่พวกลูกเองต่างหากที่คอยผลัดผ่อน  ไม่เร่งรีบที่จะฉวยโอกาสอันดีที่ลูกยังมีอยู่นี้ ได้แสดง ความรักด้วยการกระทำดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ”
“จงอย่าลืมว่า   กระแสน้ำเมื่อไหลจากที่สูงตกลงไปสู่ยังที่ต่ำแล้ว   มันก็ยากที่จะไหล ย้อนทวนขึ้นมาได้อีก   อย่าเสียโอกาส   ในเมื่อพวกลูกได้พร่ำวิงวอนสวดภาวนา ยกระดับจิตใจของพวกลูกให้สูงขึ้นมากมายกว่าบรรดาจิตชั่วร้ายทั้งหลายแล้ว   เหตุใดเล่า? พวกลูกจึงยังคงเชื่อฟังและปฏิบัติตามเสียงแห่งจิตชั่วร้ายนั้นเช่นมันเป็นนายของลูกเล่า”  
“จงอย่ากลัวเลย  ถึงจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในภายภาคหน้า  แต่ด้วยการภาวนาและการทำพลีกรรมของพวกลูกทั้งหลาย   สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้”   
“จงจำไว้ว่าแม่จะอยู่กับพวกลูกทุกคนที่เปิดใจหาแม่   และจะอยู่ในทุกๆหนทุกแห่ง ตลอดไป”
ผมเชื่ออย่างสิ้นสุดจิตใจว่าสาสน์นี้มาจากแม่พระอย่างแน่นอน  ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม  แต่ขอให้ลองใช้วิจารญาณดูเองนะครับว่า  สาสน์นี้มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่จิตวิญญาณของท่านบ้าง? 
*************************