ตัวอย่างที่สามของพระเยซูว่าด้วยเรื่องเดินไปสองไมล์นั้น เป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของทหารโรมันในการบังคับใช้แรงงานแก่ประชาชนที่เป็นเป้าหมาย
ทหารสามารถสั่งให้ประชาชนแบกสัมภาระไปได้ไกลแค่ไมล์เดียว การบังคับให้ประชาชนแบกไปไกลกว่านั้นย่อมได้รับโทษภายใต้กฏของกองทัพการทำเช่นนี้ทำให้จักรวรรดิโรมันสามารถระงับความโกรธเคืองของประชาชนที่อยู่ภายใต้การยึดครองลงได้ และสามารถทำให้กองทัพของตนเคลื่อนขบวนอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี การบังคับใช้แรงงานนี้ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจที่ขมขื่นสำหรับชาวยิว ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของการกดขี่แม้ในดินแดนแห่งพันธสัญญาก็ตาม
สำหรับพวกยิวที่มีความหยิ่งในตนเองแต่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้นั้น
พระเยซูไม่ได้แนะนำให้ลุกขึ้นประท้วง และ เราไม่ควรแกล้งทำเป็นมิตรกับทหาร หลอกให้เดินไปกับเรา แล้วจ้วงแทงเขาที่สีข้าง พระเยซูรู้ดีว่าไม่มีความสำเร็จรออยู่หากพยายามใช้อาวุธต่อสู้กับจักรวรรดิโรมันอันทรงพลัง พระเยซูไม่กล่าวถึงการลุกขึ้นสู้แม้ว่าการพูดเช่นนั้นจะทำให้ท่านได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ประท้วงก็ตาม
แต่ทำไมต้องเดินไปสองไมล์เล่า? หรือนี่เป็นการตอกกลับอย่างสุดโต่ง – ไม่สู้ก็ร่วมมือกับศัตรูเสียเลย? แต่หาเป็นเช่นที่เราคิดไม่
ทำนองเดียวกับสองตัวอย่างที่กล่าวแล้ว คำถามจึงอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้ผู้ถูกกดขี่ได้เริ่มรุก (มากกว่าตั้งรับ) ทำอย่างไรให้พวกเขาแสดงให้เห็นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในขณะนั้น กฎเป็นของซีซาร์ (กษัตริย์ชาวโรมัน - ผู้ถอดความ) แต่การปฏิบัติตามกฎเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล การปฏิบัติตามกฎเป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า และซีซาร์ไม่มีอำนาจเหนือพระองค์
ลองวาดภาพทหารโรมันตกตะลึงเมื่อถึงหลักไมล์ถัดไป ขณะที่ทหารไม่ค่อยเต็มใจจะเอื้อมมือไปหยิบสัมภาระของตน (ซึ่งหนักประมาณ 65-80 ปอนด์) คุณกลับพูดว่า“ไม่เป็นไร ให้ฉันช่วยแบกไปอีกสักไมล์เถิด” โดยทั่วไป ทหารต้องบังคับให้ญาติของคุณแบกสัมภาระของเขา แต่ขณะนี้คุณกลับรับที่จะทำหน้าที่นั้นอย่างหน้าชื่นตาบานและไม่คิดจะหยุดพัก นี่เป็นการยั่วให้โมโหหรือเปล่า? หรือกำลังดูถูกพลกำลังของทหารผู้นี้? หรือแค่แสดงความมีน้ำใจ? หรือบอกให้ทหารปฎิบัติตามกฎเพราะดูเหมือนว่ากำลังจะบังคับให้คุณเดินมากกว่าที่ควรเดิน? หรือว่าคุณคิดจะร้องเรียน? คุณกำลังจะสร้างปัญหาหรือ?
จากสภาพการถูกเกณฑ์ให้เป็นผู้รับใช้ คุณกลับได้ยึดกุมเกมส์รุกอีกครั้งหนึ่ง คุณได้อำนาจในการเลือกกลับคืนมา เพราะคุณทำให้ทหารตั้งตัวไม่ติดเพราะนึกไม่ถึงว่าคุณจะตอบโต้เช่นนี้ ลองคิดถึงภาพตลกขบขันที่ทหารในกองทัพโรมันกำลังอ้อนวอนชาวยิว “น่า ขอร้องละ เอาสัมภาระของฉันคืนมา” ภาพน่าขันของเหตุการณ์นี้อาจเล็ดลอดสายตาของผู้ที่คิดว่าตนมีมโนธรรมสูงกว่าผู้อื่น แต่มันยากที่จะหลุดรอดไปจากสายตาของผู้ที่ติดตามฟังพระเยซู พวกเขาเหล่านั้นคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นว่าผู้กดขี่รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
ผู้อ่านบางท่านอาจไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะทำให้ทหารรู้สึกอึดอัดใจ หรือผู้ให้กู้เสียหน้า
แต่จะมีหนทางใดเล่าที่จะทำให้ผู้ที่กดขี่ผู้อื่นได้สำนึกผิด นอกเสียจากทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจต่อการกระทำของเขาเอง อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในด้านหนึ่งการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นกลยุทธเพื่อแก้เผ็ดหรือสร้างความอับอายนั้น มีอันตรายอยู่เช่นกัน แต่ในด้านตรงกันข้าม การใช้อารมณ์ความรู้สึกและความอ่อนโยน อาจทำให้เข้าใจผิดว่าความรักอย่างไม่มีข้อแม้ของพระเยซู เป็นเพียงการเสแสร้งทำดี
การเผชิญหน้าด้วยความรักจะช่วยปลดปล่อยทั้งผู้ถูกกดขี่ออกจากความว่าง่ายและผู้กดขี่ออกจากบาป
หากว่าวิธีการไม่ใช้ความรุนแรงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้กดขี่ได้ในทันทีทันใด มันก็จะส่งผลต่อบรรดาผู้ที่มุ่งมั่นในวิธีการนี้
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้เป็นพยานให้เห็นว่า วิธีการนี้ช่วยให้พวกเขาได้เกิดความเคารพในตนเองและเกิดความเข้มแข็งและความกล้าซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีอยู่ในแต่ละคน สำหรับผู้ที่มีอำนาจแล้ว คำแนะนำที่พระเยซูมีให้แก่ผู้ที่ไร้ซึ่งอำนาจอาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับผู้ที่มีชีวิตในกรอบที่กำหนดให้ต้องกุมมือและก้มหัวต่อหน้าเจ้านายตลอดเวลา หรือต้องยอมรับชะตาชีวิตว่าตนด้อยกว่าอยู่เสมอแล้ว
ก้าวย่างเล็กๆ นี้สำคัญยิ่ง