
ซึ่งผมได้เจอในหัวข้อ ถอดรหัสไบเบิ.ลุ้นระทึก http://webboard.mthai.com/5/2006-08-10/258038.html
ซึ่งผมก็บอกไม่ถุกอ่านๆเอากานเอง และไม่ได้มีเจตนาต่อต้านหรืออะไรทั้งสิ้น แต่พอดีไปเจอมาเลยอยากทราบข้อเท็จจริงเพื่อๆพี่น้องในบอร์ดนี้พอทราบ ผมเองก็ยังคลางแคลงใจอยู่ไม่น้อย
ความคิดเห็นที่ 74
ก่อนจะเป็นรหัสไบเบิล
ขออธิบายสรุปย่อๆ เสียก่อนนะครับว่า สิ่งที่ นายไมเคิล ดรอสนิน ผู้เขียน "The Bible Code" (ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็น Torah Code ก็มี) อ้างก็คือ เขาสามารถค้นพบ "คำ" หรือ "วลี" ที่ซ่อนตัวอยู่ในไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู (ที่เรียกว่า the Book of Genesis) ได้ คำหรือวลีเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงและทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
วิธีการค้นหาคำของนายดรอสนิน กล่าวโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ ใส่ข้อความที่มีอยู่ในไบเบิลดังกล่าว เข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ ให้สามารถจัดเรียงคำให้เป็นแถวในแบบเดียวกับที่เราเห็นกันใน "ปริศนาอักษรไขว้" นั่นเอง และเมื่อต้องการอ่านคำใด ก็ให้โปรแกรมคัดเลือกอ่านตัวอักษรที่ "ห่างเท่าๆ กัน" ในแนวต่างๆ (แนวนอน, แนวตั้ง และแนวทแยง) ซึ่งก็สามารถอ่านได้ทั้งแบบไปข้างหน้าและย้อนกลับหลังอีกด้วย
ประเด็นสำคัญก็คือ นายดรอสนินอ้างว่า ด้วยวิธีการดังกล่าว เขาสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นกรณี 9-11, ฮิตเลอร์, ดาวหางชนดาวพฤหัสบดี, สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เขาอ้างว่า เขาพบข้อความเกี่ยวกับการลอบสังหาร นายยิตซ์ฮัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง และยังได้พยายามแจ้งเตือนนายกฯ ราบิน อีกต่างหาก
ฟังดูมหัศจรรย์พันลึกนะครับ คราวนี้มาดูหลักฐานที่จะมาหักล้างกัน และเป็นหลักฐานที่จะชี้ชัดว่าทำไมเรื่องของ "The Bible Code" จึงไม่มีคุณค่าควรแก่การเชื่อถือใดๆ
ปัญหาเรื่องตัวอักษรภาษาฮีบรู
ผู้เชี่ยวชาญภาษาฮีบรูหลายท่าน ระบุตรงกันว่า ปัญหาแรกสุดของ The Bible Code อยู่ที่ความน่าเชื่อถือของภาษาฮีบรูที่ใช้ เนื่องจากภาษาดังกล่าวมีความยืดหยุ่นสูง (พูดง่ายๆ คือ "ดิ้นได้" มากนั่นเอง)
ลองดูตัวอย่างรูปสุเหร่ายิวของแร็บไบอะบูลาเฟีย ในเมืองไทเบอริแอส [รูป abulafia_spell] จะเห็นว่า มีการเขียนชื่อของท่าน "อะบูลาเฟีย" แตกต่างกันถึง 4 แบบ [รูป abulafia_1]... ซึ่งก็ถูกต้องทั้ง 4 แบบ !
======================
แต่ที่พิลึกไปกว่านั้นก็คือ ตัวสะกดที่นำมาใช้ในงานของทีม ดร.อีไลยาฮู ริปส์ (ที่นายดรอสนินอ้างว่าเชื่อถือได้ และใช้วิธีการของกลุ่มดังกล่าวในการ "ถอดรหัสไบเบิล" ของเขา) กลับไม่ใช่ทั้ง 4 แบบ แต่กลับเป็นแบบที่ 5 ไปเสียอีก [รูป abulafia_2]
กลเม็ดลูกเล่นแบบนี้เองที่อาจจะมีส่วนในการช่วยให้คำใน The Bible Code ดูลงตัว และศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงพ้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น
ความน่าเชื่อถือของวิธีการที่ใช้
วิธีการที่นายดรอสนินใช้ในการถอดรหัสไบเบิลนั้น อ้างอิงจากผลงานที่ทีมนักวิจัย ซึ่งประกอบด้วย โดรอน วิตซ์ทัม, อีไลยาฮู ริปส์ และโยแอฟ โรเซนเบิร์ก ซึ่งจะขอเรียกเพื่ออ้างอิงต่อไปในที่นี้ว่า เป็นงานของ WRR (ตามอักษรย่อนามสกุลของทั้งสามคน) ผลงานดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Statistical Science (vol. 9, pp. 429-438) ปี 1994 ผลงานดังกล่าวใช้ชื่อเรื่องว่า Equidistant Letter Sequences in the Book of Genesis
ตัววารสารดังกล่าวเองถือได้ว่า เป็นวารสารที่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้ในแวดวงวิทยาศาสตร์สถิติ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่ว่างานทุกชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวจะ "ถูกต้อง" เสมอไปแต่อย่างใด และอันที่จริงแล้ว ผลงานของ WRR ดังกล่าวค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อยทีเดียว (ดังจะได้เห็นต่อไป)
ที่กล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่า ในปี 1998 ก็มีผลงานชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Chance ของสมาคมสถิติอเมริกัน (ชื่อเรื่องคือ The Torah Codes: Puzzle and Solution) โดยหัวหน้าทีมนักวิจัยเจ้าของผลงานก็คือ เบรดัน แมกเคย์ ศาสตราจารย์ด้าน Computer Science แห่ง Australian National University ประเทศออสเตรเลีย งานชิ้นดังกล่าว เสนอหลักฐานทางสถิติซึ่งมีจุดที่น่าสนใจก็คือ ทีมดังกล่าวพิสูจน์ว่าวิธีการที่ทีม WRR ใช้นั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือทางสถิติแต่อย่างใด แม้แต่เมื่อเปลี่ยนจากไบเบิลมาเป็นหนังสือ "สงครามและสันติภาพ" ของ ตอลสตอย (ในฉบับภาษาฮีบรู) ก็ยังได้ผลในลักษณะที่คล้ายกันอยู่นั่นเอง... หากเลือกค่าบางอย่างในกระบวนการถอดรหัสดังกล่าวให้เหมาะสม
แต่ข้อสรุปอีกอันหนึ่งของทีมดังกล่าว กลับยิ่งน่าตกใจมากขึ้นไปอีก ก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากงานของ WRR ในปี 1994 (ที่นำมาสู่หนังสือ The Bible Code ในที่สุด) มีลักษณะของการแต่งข้อมูล และน่าจะเกิดจากความจงใจของผู้ทำการทดลอง ไม่ได้เกิดมาจากความน่าจะเป็นทางสถิติ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของไบเบิลแต่อย่างใด ที่ผมบอกว่าน่าตกใจเพราะในทางวิทยาศาสตร์แล้ว การจงใจสร้างหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือผลการทดลองถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ยอมความกันไม่ได้นะครับ เรียกว่า ใครเผลอไปทำเข้าแล้วถูกจับได้นี่ จะถึงกับหมดอนาคตกันเลยทีเดียว
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ออกมาคัดง้างกับงานของ WRR ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Statistical Science (ใช่แล้วครับ วารสารเดียวกันกับที่ตีพิมพ์งานของ WRR นั่นแหละครับ) ฉบับเดือนพฤศจิกายน 1999 (ชื่อเรื่องก็คือ Solving the Bible Code Puzzles) ผลงานชิ้นนี้เป็นฝีมือของทีมที่มี ศาสตราจารย์กิล คาไล แห่ง The Hebrew University ประเทศอิสราเอล เป็นหัวหน้า ซึ่งก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายกันกับงานของกลุ่มของศาสตราจารย์แมกเคย์ ในปี 1998 ว่า งานของ WRR นั้น เป็นเพียงผลที่เกิดจากการเลือก และการเก็บค่าบางอย่างในการทดลอง "อย่างจงใจให้มันเป็นเช่นนั้น"
ใน Statistical Science ฉบับเดือนพฤษภาคม 1999 ดังกล่าว ยังได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการอธิบายเหตุผลว่า การตีพิมพ์งานของ WRR ในปี 1994 นั้น ไม่ได้เป็นการจงใจพิสูจน์ "ความเชื่อถือได้" ของงานดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะไม่มีกรรมการผู้กลั่นกรองบทความ (หรือ reviewer) ของวารสารท่านใดเลยที่คล้อยตามข้อความในบทความดังกล่าว ตรงกันข้าม ต่างรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุได้ชัดเจนก็ตาม (ในเวลาอันจำกัดตอนนั้น) กรรมการส่วนใหญ่คาดว่า มีบางส่วนในกระบวนการทดลองที่ไม่ถูกต้อง)
แม้กระนั้น ทางบรรณาธิการก็ยังตัดสินใจตีพิมพ์งานดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อเป็นการเสนอ "ปริศนาที่ท้าทาย (challenging puzzle)" ต่อผู้อ่าน มากกว่าจะเป็นการรับประกันความถูกต้องของชิ้นงาน
เป็นยังไงบ้างครับ ... เริ่มได้กลิ่นทะ***ๆ ของ The Bible Code มากขึ้นหรือยังครับ
หากหลักฐานเพียงเท่านี้ ยังไม่พอที่จะทำให้คุณเชื่อว่า The Bible Code เป็นเรื่องหลอกลวงเชื่อถือไม่ได้ ก็ลองเข้าไปดูที่ http://math.caltech.edu/code/petition.htm1 อันเป็นเว็บเพจ ที่เหล่านักคณิตศาสตร์ทั่วโลกมากกว่าครึ่งร้อย เข้ามาร่วมกันลงชื่อ (และที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ เพื่อพร้อมใจประกาศว่า The Bible Code เป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้
ข้อสรุปส่วนหนึ่งในเว็บเพจดังกล่าว ที่ควรจะได้นำมากล่าวถึงไว้ในที่นี้ ก็คือ "...การทดลองดังกล่าวมีปัญหาสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ และการตีความข้อสรุป ..." และ
"...ข้ออ้างทั้งมวลเกี่ยวกับความน่าจะเป็นอันน่าอัศจรรย์ สำหรับการเกิดคำต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่จริง เนื่องจากการคำนวณของพวกเขาขัดแย้งกับกฎมาตรฐานทางด้านความน่าจะเป็นและสถิติ"
ความขัดแย้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ความไม่น่าเชื่อถือของรหัสไบเบิลที่ได้ ยังแสดงออกอีกแบบหนึ่งในรูปของ "รหัสลบ" (Negative Code) อีกด้วย
"รหัสลบ" ที่ว่า ก็คือรหัสที่มีข้อความเป็นลบ มีนัยยะเป็นลบ หรือ ลบหลู่ต่อพระเจ้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ควรจะปรากฏมีอยู่ในไบเบิล ... หากว่าพระเจ้าเป็นผู้ใส่รหัสเหล่านั้นไว้ในไบเบิลจริง ตัวอย่างข้อความที่พบแล้ว เช่น (ขออนุญาตไม่แปลครับ)
There is no God (พบทั้งหมด 5 แห่ง)
Jehovah is a liar (พบทั้งหมด 8 แห่ง)
There is no Jehova (พบทั้งหมดหลายสิบแห่ง)
Jehovah is dead (พบทั้งหมดมากกว่าร้อยแห่ง)
ที่ยกมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างนะครับ อันที่จริงมีผู้พบมากกว่านี้อีกมากครับ นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อความที่ขัดแย้งกันเอง ปรากฏอยู่ตลอดไบเบิลทั้งเล่ม เช่น มีทั้งข้อความ There is a God และ There is no God เป็นต้น นอกจากคำว่า God แล้วก็ยังมีคำอื่นๆ อีกที่ปรากฏในลักษณะเดียวกันอีก ไม่ว่าจะเป็น Heaven, Spirit, soul ฯลฯ เป็นต้น
ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ต่อความเชื่อทางศาสนา แต่เรากำลังวิเคราะห์ว่า เหตุใด The Bible Code จึงเป็นเรื่องหลอกลวงที่เชื่อไม่ได้
คำท้าทายและข้อพิสูจน์
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็ยังอาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเชื่อฝ่ายใดดี ก็เลยจะขอยกตัวอย่างชนิด "หนามยอกเอาหนามบ่ง" มาให้เห็นกันดีกว่านะครับ
นายดรอสนิน ผู้เขียนเรื่อง The Bible Code เคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวนิตยสาร Newsweek (June 9, 1997) ไว้ว่า "หากผู้ที่วิจารณ์งานของผม สามารถหาพบข้อความ เกี่ยวกับการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ซ่อนอยู่ในหนังสือ โมบี้ ดิกค์ ผมก็จะเชื่อเขา"
แน่นอนครับ เล่นท้าทายกันแบบนี้ ก็ต้องมีคนคิดลองดีกันบ้างล่ะครับ แล้วในที่สุด นายดรอสนินแกก็เจอดีเข้าจนได้ครับ เพราะ ศ. แมกเคย์ (เจ้าเก่า) แกรับคำท้า แล้วลองไปค้นหารหัสลับในหนังสือโมบี้ ดิกค์ ผลที่ได้น่ะหรือครับ นายดรอสนินคงแทบอาเจียนเป็นเลือดถ้ารู้เข้า เพราะ ศ. แมกเคย์ ท่านไม่ได้เจอกรณีการลอบสังหารแค่เพียงหนึ่งเท่านั้น แต่พบทั้งหมดถึง 9 กรณีด้วยกัน !
ใน 9 กรณีดังกล่าว รวมเอาการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย ในวันที่ 31 ตุลาคม 1884 [รูป gandhi] การลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์น ในวันที่ 14 เมษายน 1865 [รูป lincoln1] และการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ในปี 1963 [kennedy1, kennedy2, kennedy3] เข้าไว้ด้วย
แต่ที่เด็ดขาดที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า หนึ่งในกรณีลอบสังหารที่พบก็คือ กรณีการลอบสังหารนายกรัฐมนตรียิตซ์ฮัก ราบิน ของอิสราเอล ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1995 [รูป rabin] ซึ่งเป็นกรณีที่นายดรอสนินยกมาหากินตลอดเวลานั่นเอง
อย่างนี้สำนวนภาษากำลังภายในจีน เขาเรียกกันว่าเป็นการ "ยืมดาบสนองคืนผู้ใช้" โดยแท้นะครับ
แต่ยังครับ ยังไม่หมดเท่านั้น... นอกจากจะพบว่าโมบี้ ดิกค์ ทำนายการลอบสังหารผู้นำไว้ถึง 9 กรณีแล้ว ศ.แมกเคย์ ยังพบการทำนายกรณีของ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (ซึ่งรวมทั้ง กรณีวินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์) ในนั้นอีกด้วย [รูป osama]
ยังมีอีกครับ กรณีของเจ้าหญิงไดอาน่า ก็อยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย [รูป diana]
และที่ผมเห็นว่าเป็นที่สุดของที่สุดก็ได้แก่ การที่ ศ.แมกเคย์ แกพบว่ามีการทำนายเรื่องลอบสังหารตัวนายดรอสนินเองอีกด้วย (ฮา) [รูป drosnin1]
ก่อนจบขอแถมอีกสักหน่อย สำหรับหนังสือของนายดรอสนินก็แล้วกันนะครับ ดร.เดฟ โธมัส ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และเป็นบรรณาธิการที่ปรึกษาของนิตยสาร Skeptical Inquirer ได้ลองใช้วิธีการของนายดรอสนินเอง ถอดรหัสตัวอย่างหนังสือ The Bible Code II ที่ไปดาวน์โหลดมาจาก Amazon.com (เดาว่าแกคงเสียดายเงิน คิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะซื้อมังครับ - ฮา) ที่มีข้อความรวม 1,617 คำ หรือ 6,966 ตัวอักษรเท่านั้น
ปรากฏว่า ข้อความสุดอะเมซิ่งที่ ดร.โธมัส พบก็คือ [รูป drosnin2b]
"The Bible Code is a silly, dumb, fake, false, evil, nasty, dismal fraud and snake-oil hoax"
ขอความสุข สวัสดีจงมีแด่บรรดา "เหยื่อ" ที่ถูกอำทั้งมวลครับ ว่าแต่... วันนี้ คุณเลิกเชื่อใครง่ายๆ หรือยังครับ ?
======================
สำหรับท่านที่สนใจจะอ่านผลงานตีพิมพ์ทั้ง 3 เรื่องที่อ้างถึงในบทความ สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ URL ดังนี้ งานของ WRR และ งานของทีม ศ.แมกเคย์ : http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/torah.htm1 งานของทีม ศ. คาไล: http://cs.anu.edu.au/~bdm/dilugim/StatSci/
โดย : อย่าไปเชื่อม้านนน โหนต่องแต่ง วันที่ :2006-08-11 14:39:04 IP :203.152.33.xx