ตอนนี้เรามาดูหัวข้อที่น่าสงสัย ซึ่งเป็นคำถามที่มนุษย์หลายคนสงสัยนั่นก็คือคำถามที่ว่า "พระเจ้าสร้างความชั่วใช่ไหม? ลูกไก่พันธุ์เลวต้องมาจากพ่อไก่พันธ์เลว เมื่อมนุษย์เลวนั่นแสดงว่าพระเจ้าเลวด้วยใช่ไหม?"
พระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่ว
เมื่อคนหนึ่งบอกว่า "สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้ชั่ว" เราก็ต้องถามเขาว่า "คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้ชั่ว ใครบอกคุณ ในเมื่อคุณบอกว่าสิ่งนี้ชั่ว นั่นแสดงว่าคุณรู้ว่าสิ่งที่ดีเป็นอย่างไรใช่ไหม?"
ถ้าเราไปถามปลาว่า "มันรู้จักเปียก ไหมว่าเป็นอย่างไร?" ถ้ามันตอบได้มันคงตอบว่า "ไม่รู้เพราะมันเกิดมามันก็อยู่ในน้ำแล้ว" แต่มนุษย์เรารู้จักเปียก เพราะแต่เดิมเราไม่ได้อยู่ในความเปียก แต่เราอยู่ในความแห้ง เมื่อเราเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งขาหักและมีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด เรารู้ว่าเก้าอี้ตัวนี้ "มันไม่ดี มันเสียแล้ว" คุณรู้ได้อย่างไรว่า เก้าอี้ตัวนี้มันไม่ดี มันเสียแล้ว นอกเสียจากคุณรู้ว่าดีหรือไม่เสียมันเป็นอย่างไร? เมื่อเก้าอี้ตัวนี้มันเสีย ก็ไม่ใช่หมายความว่าคนที่สร้างมันไม่ดี แต่คนสร้างมันทำมันอย่างดี แต่ต่อมามันเสียแล้ว มันเคยดีมาก่อนแต่เดี๋ยวนี้มันเสียแล้ว เริ่มต้นมันดี แต่ตอนนี้เสียแล้ว
เช่นเดียวกัน เมื่อคุณบอกว่ามนุษย์ชั่ว ไม่ดี คุณรู้ได้อย่างไรว่า ไม่ดีหรือชั่ว นั่นแสดงว่ามนุษย์นั้นเคยดีมาก่อน แต่ตอนนี้มันชั่วแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ดีทุกประการ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ดีแล้ว แล้วความไม่ดี ความชั่ว และความผิดบาปของมนุษย์เกิดมาจากไหนกันล่ะ?
กฏ 4 กฎ
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงมีกฏเกณฑ์ให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากมนุษย์จะต้องทำตามกฏที่พระเจ้าวางไว้ มันจะแหกกฏไม่ได้และมันไม่มีอิสระในการเลือก
กฏของวัตถ - เมื่อเราโยนวัตถุขึ้นฟ้า กฏของมันก็คือตก และเมื่อมันตก มันก็จะอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ พระเจ้ากำหนดให้ดวงอาทิตย์ขึ้น มันจะเลือกไม่ได้ว่า "ฉันไม่ขึ้น" มันต้องขึ้นและแหกกฏไม่ได้
กฏของพืช - มันจะต้องทำตามกฏเกณฑ์ที่ถูกวางกฏไว้ เช่น ใบของไมยราบเมื่อเราไปแตะมัน มันจะหุบ มันจะเลือกไม่หุบไม่ได้ ดอกของต้นไม้เมื่อถึงเวลาจะบาน มันต้องบาน มันจะเลือกไม่บานไม่ได้เลย
กฏของสัตว์ - มันจะต้องทำตามกฏและสัญชาติญาณที่มันถูกวางไว้เท่านั้น สัญชาติญาณคืออะไร ก็คือ การตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิตทันทีโดยไม่มีปิดบัง เมื่อมีคนหนึ่งยื่นนิ้วมาเพื่อจะจี้คุณที่เอว คุณจะเบี่ยงตัวหลบทันที เมื่อมีคนจะเอาปากกามาวาดหนวดให้คุณ คุณก็จะเอาใบหน้าหนีทันที นี่คือสัญชาติญาณ แต่มนุษย์เรามีลึกกว่าสัตว์เพราะเรามีจิตวิญญาณ(สิ่งนี้ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์อย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราสามารถที่จะยิ้มข้างนอก แต่ภายในใจยังฆ่ากันได้ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์ดูภายนอกอาจจะว่าเป็นคนดี แต่ภายในอาจจะเต็มไปด้วยความชั่วก็ได้) แต่สัตว์มันมีแค่สัญชาติญาณ และมันจะต้องทำตามกฏของสัญชาติญาณที่มันถูกวางไว้ทุกประการเลือกไม่ได้เลย เช่น พระเจ้าทรงวางกฏเกณฑ์ให้แมงมุมต้องทำบ้านด้วยใย มันก็ต้องทำด้วยใยจะแหกกฏไม่ได้เลย เมื่อหมามันโกรธหรือเห็นคนแปลกหน้ามันจะแยกเขี้ยวหรือขู่คำรามทันที เมื่อหมามันเห็นหมาตัวอื่นเข้ามาในถิ่นมัน มันจะมีปฏิกริยาทันที เมื่อหมาตัวผู้เห็นหมาตัวเมีย มันจะวิ่งเข้าไปดมก้นหมาตัวเมียทันที เมื่อหมามันต้องการผสมพันธุ์ มันก็ไม่มีปิดบังและไม่เลือกด้วยว่า ตัวผู้หรือตัวเมียที่มันผสมพันธ์ด้วยนั้นจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้องหรือลูกมัน มันจะทำตามสัญชาติญาณเท่านั้น
กฏของมนุษย์ - จากข้างต้นเราจะเห็นว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น วัตถุ พืชหรือสัตว์มันจะต้องทำตามกฏที่พระเจ้าวางไว้ทุกประการ มันเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องรับผิดชอบ หรือมีคนต้องให้มันรับผิดชอบการกระทำของมัน แต่มนุษย์เราไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้เรามีกฏแต่เราสามารถแหกกฏได้ คุณเคยพูดกับคนอื่นด้วยประโยคต่อไปนี้ไหม? "ทำไมคุณทำอย่างนี้?" "คุณไม่น่าทำอย่างนี้" ประโยคเหล่านี้ที่คุณถามคนอื่นกำลังชี้ให้เห็นว่า คุณกำลังต่อว่าเขาว่า "เขาไม่ทำตามกฏ เขาไม่เล่นตามกฏ เขากำลังแหกกฏ"
มนุษย์เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ภายในจิตใจของเรามีกฏ และเรารู้ว่ากฏนั้นดี แต่เรามีอิสระในการเลือกได้ว่าจะทำตามหรือไม่ทำตามกฏนั้น ถ้าเราทำตามเราจะไม่รู้สึกผิด แต่ถ้าเราไม่ทำตามเราจะรู้สึกผิดทันที และเรายังรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเราด้วย เช่น เมื่อหมาตัวผู้ทำหมาตัวเมียท้อง มันไม่ต้องรับผิดชอบและมันก็ไม่รู้สึกว่ามันต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของมัน และก็ไม่มีใครที่เรียกร้องให้มันรับผิดชอบ แต่ถ้าผู้ชายคนหนึ่งทำผู้หญิงท้อง เขาจะรู้สึกถึงการรับผิดชอบทันที(ถ้าหากเขาไม่รับผิดชอบและบอกว่าไม่รู้สึกผิด แต่เขาก็โกหกตัวเองไม่ได้เพราะลึกๆของเขาจะรู้สึกขัดแย้งหรือรู้สึกผิดอย่างแน่นอน)
จากข้างต้นเราจะเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วและพระองค์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่มนุษย์ต่างหากที่ใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด ความชั่วจึงได้เกิดขึ้นและมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง พระเจ้าสร้างดีทุกประการ แต่เพราะมนุษย์ใช้อิสระในทางที่ผิดความชั่วจึงได้เกิดขึ้น เหมือนกับคุณเป็นเจ้าของโรงงานสร้างเครื่องพิมพ์ดีดที่ดีที่สุดในโลก ต่อมาผมได้ไปซื่อเครื่องพิมพ์ดีดของโรงงานคุณมาเครื่องหนึ่ง แล้วนำมาพิมพ์ ต่อมาพิมพ์ผิด ผมก็ยกเครื่องพิมพ์ดีดไปหาคุณแล้วบอกว่า "คุณต้องรับผิดชอบในคำผิดที่เกิดขึ้นน่ะ เพราะคุณทำไมสร้างเครื่องพิมพ์ดีดที่พิมพ์ผิดได้" คุณลองนั่งคิดดูซิว่า ใครต้องรับผิดชอบกันแน่ คนสร้างหรือคนที่ใช้ คำตอบก็คือคนที่นำไปใช้อย่างแน่นอน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าคนที่นำไปใช้ไม่ได้ควบคุมหรือไม่ระมัดระวังในการพิมพ์ คำผิดจึงเกิดขึ้น คนที่ใช้ต้องรับผิดชอบไม่ใช่ผู้สร้าง
มีคนหนึ่งเดินเข้าไปใช้ส้วมสาธารณะ เมื่อออกมาก็พูดว่า "สกปรกฉิบเป๋ง..คนสร้างมันนี้คงสกปรกน่าดู" พอดีคนคนสร้างได้ยินก็เลยตอบเขาว่า "ผมไม่ได้สกปรก ผมสร้างมันอย่างสะอาด ต่อมาเมื่อมีคนใช้ไม่ยอมรักษาความสะอาด มันจึงสกปรก และเมื่อคุณเข้าไปก็ยิ่งทำให้มันสกปรกมากขึ้น"
รวมกระทู้ของเพื่อนใหม่
อิสระคืออะไร
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ" เขาคิดว่าอิสระคือจะทำ อะไรก็ได้ ไม่มีใครห้าม ไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราคิดว่าอิสระคือทำอะไรก็ได้ นั่นไม่ใช่อิสระ แต่นั่นคือสัตว์เดียรัจฉาน(2 เปโตร 2.12) ถ้าเช่นนั้นอะไรคือความหมายของคำว่าอิสระ? "อิสระ"ก็คือ การกระทำในสิ่งใดก็ได้โดยอยู่ภายใต้ขอบเขตหรือกฏเกณฑ์
ข้างต้นเราได้กล่าวแล้วว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เหมือนกับพระองค์ เหมือนตรงนี้เป็นการเหมือนตรงลักษณะชีวิตภายในมนุษย์ ไม่ใช่ภายนอก เหมือนตรงลักษณะภายในซึ่งเป็นวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย เมื่อเราบอกว่า คนคนนี้คดในข้อ งอในกระดูก ก็ไม่ใช่หมายความว่า ร่างกายเขาคดงออย่างที่เราพูด แต่หมายความว่า เขามีลักษณะ นิสัยภายในเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกัน มนุษย์ก็มีลักษณะภายในที่เหมือนกับพระเจ้า เช่น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทำการดี มนุษย์จึงรู้สึกถึงการอยากทำดี(ถ้าทำไม่ดี เขาจะรู้สึกขัด) พระเจ้าทรงเป็นความยุติธรรม มนุษย์จึงรักและชอบความยุติธรรม พระเจ้าทรงมีความเมตตาสงสาร มนุษย์จึงมีความเมตตาสงสาร พระเจ้ามีความรักที่มีเหตุผล มนุษย์จึงมีความรักที่มีเหตุผล พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของสติปัญญา มนุษย์จึงมีสติปัญญา พระเจ้ามีศักดิ์ศรี มนุษย์จึงมีศักดิ์ศรีด้วย และสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีนั่นก็คือ ความอิสระ
ดังนั้นมนุษย์จึงมีอิสระด้วย แต่ความอิสระของพระองค์นั้น ไม่ใช่หมายความว่าพระองค์จะทำอะไรก็ได้ตามที่พระองค์อยากกระทำ แน่นอนที่พระเจ้าจะทรงทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์ได้เปิดเผยให้แก่มนุษย์อย่างชัดเจนว่า ถึงแม้พระองค์มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดกับพระลักษณะและกฏเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด เช่น พระองค์ทรงกำหนดว่า โกหกคือบาป พระองค์ก็จะไม่โกหก เมื่อพระองค์กำหนดว่าสิ่งนี้มันจะต้องกลม พระองค์จะไม่ทำให้มันเบี้ยวอย่างแน่นอน ถ้าจะพูดให้ลึกอีกสักหน่อยก็จะกล่าวได้ว่า แม้แต่ความอิสระของพระเจ้ายังต้องมีขอบเขตกฏเกณฑ์ พระองค์จะไม่ใช้อิสระของพระองค์ ที่ข้ามหรือล่วงล้ำกฏเกณพ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือความหมายของคำว่า "อิสระ"ที่แท้จริง
เมื่อเราทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ"แล้ว เราก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า มนุษย์เรานั้นเหมือนกับพระเจ้า คือเราทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ ขอบเขต กฏเกณฑ์ของที่ที่เราอยู่ เช่นเราอยู่เมืองไทย เรามีอิสระภายใต้กฏเกณฑ์ของประเทศไทย เรามีอิสระที่จะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับกฏหมาย ถ้าเราคิดว่า อิสระก็คือทำอะไรก็ได้เป็นการเข้าใจผิดมาก เพราะเราไม่สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยได้เลย ความอิสระของเราต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฏหมาย
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ" เขาคิดว่าอิสระคือจะทำ อะไรก็ได้ ไม่มีใครห้าม ไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราคิดว่าอิสระคือทำอะไรก็ได้ นั่นไม่ใช่อิสระ แต่นั่นคือสัตว์เดียรัจฉาน(2 เปโตร 2.12) ถ้าเช่นนั้นอะไรคือความหมายของคำว่าอิสระ? "อิสระ"ก็คือ การกระทำในสิ่งใดก็ได้โดยอยู่ภายใต้ขอบเขตหรือกฏเกณฑ์
ข้างต้นเราได้กล่าวแล้วว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เหมือนกับพระองค์ เหมือนตรงนี้เป็นการเหมือนตรงลักษณะชีวิตภายในมนุษย์ ไม่ใช่ภายนอก เหมือนตรงลักษณะภายในซึ่งเป็นวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย เมื่อเราบอกว่า คนคนนี้คดในข้อ งอในกระดูก ก็ไม่ใช่หมายความว่า ร่างกายเขาคดงออย่างที่เราพูด แต่หมายความว่า เขามีลักษณะ นิสัยภายในเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกัน มนุษย์ก็มีลักษณะภายในที่เหมือนกับพระเจ้า เช่น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทำการดี มนุษย์จึงรู้สึกถึงการอยากทำดี(ถ้าทำไม่ดี เขาจะรู้สึกขัด) พระเจ้าทรงเป็นความยุติธรรม มนุษย์จึงรักและชอบความยุติธรรม พระเจ้าทรงมีความเมตตาสงสาร มนุษย์จึงมีความเมตตาสงสาร พระเจ้ามีความรักที่มีเหตุผล มนุษย์จึงมีความรักที่มีเหตุผล พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของสติปัญญา มนุษย์จึงมีสติปัญญา พระเจ้ามีศักดิ์ศรี มนุษย์จึงมีศักดิ์ศรีด้วย และสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีนั่นก็คือ ความอิสระ
ดังนั้นมนุษย์จึงมีอิสระด้วย แต่ความอิสระของพระองค์นั้น ไม่ใช่หมายความว่าพระองค์จะทำอะไรก็ได้ตามที่พระองค์อยากกระทำ แน่นอนที่พระเจ้าจะทรงทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์ได้เปิดเผยให้แก่มนุษย์อย่างชัดเจนว่า ถึงแม้พระองค์มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดกับพระลักษณะและกฏเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด เช่น พระองค์ทรงกำหนดว่า โกหกคือบาป พระองค์ก็จะไม่โกหก เมื่อพระองค์กำหนดว่าสิ่งนี้มันจะต้องกลม พระองค์จะไม่ทำให้มันเบี้ยวอย่างแน่นอน ถ้าจะพูดให้ลึกอีกสักหน่อยก็จะกล่าวได้ว่า แม้แต่ความอิสระของพระเจ้ายังต้องมีขอบเขตกฏเกณฑ์ พระองค์จะไม่ใช้อิสระของพระองค์ ที่ข้ามหรือล่วงล้ำกฏเกณพ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือความหมายของคำว่า "อิสระ"ที่แท้จริง
เมื่อเราทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ"แล้ว เราก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า มนุษย์เรานั้นเหมือนกับพระเจ้า คือเราทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ ขอบเขต กฏเกณฑ์ของที่ที่เราอยู่ เช่นเราอยู่เมืองไทย เรามีอิสระภายใต้กฏเกณฑ์ของประเทศไทย เรามีอิสระที่จะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับกฏหมาย ถ้าเราคิดว่า อิสระก็คือทำอะไรก็ได้เป็นการเข้าใจผิดมาก เพราะเราไม่สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยได้เลย ความอิสระของเราต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฏหมาย
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
ถ้าตีความแบบตรงไปตรงมานะครับ"พระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่ว"นั้นจะถูกต้องโดยความหมายในบริบทที่หนุนนำจิตใจให้เกิดความคิดดีในบางด้านเท่านั้น
.........แต่ว่า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพและมหิทธานุภาพนั้น ทรงเป็น "พระผู้สร้าง" ของทุกสรรพสิ่ง ทรงสร้างความสว่างและสร้างความมืด สร้างสันติภาพและสร้างวิบัติ(Isaiah 45:5-7,22) แต่ในที่นี้แยกแยะให้ออกนะครับว่า "ความชั่วร้ายอันเป็นวิบัติ(ในสายตามนุษย์)นั้น" กับ "ความบาป(sin)" คนละอย่างกัน เพราะ Sin ถูกนำมาโดยมนุษย์เอง คือ การกระทำผิดของมนุษย์และแพร่ไปยังมนุษย์ทุกคนจากมนุษย์สู่มนุษย์(Rome 5:12)
ในที่นี้,ผมมาเสริมว่า ควรมอง"ชั่วร้าย","บาป" และ "มาร" ออกจากกัน เมื่องั้นอาจทำให้เข้าใจไม่สมบูรณ์ได้
.........แต่ว่า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพและมหิทธานุภาพนั้น ทรงเป็น "พระผู้สร้าง" ของทุกสรรพสิ่ง ทรงสร้างความสว่างและสร้างความมืด สร้างสันติภาพและสร้างวิบัติ(Isaiah 45:5-7,22) แต่ในที่นี้แยกแยะให้ออกนะครับว่า "ความชั่วร้ายอันเป็นวิบัติ(ในสายตามนุษย์)นั้น" กับ "ความบาป(sin)" คนละอย่างกัน เพราะ Sin ถูกนำมาโดยมนุษย์เอง คือ การกระทำผิดของมนุษย์และแพร่ไปยังมนุษย์ทุกคนจากมนุษย์สู่มนุษย์(Rome 5:12)
ในที่นี้,ผมมาเสริมว่า ควรมอง"ชั่วร้าย","บาป" และ "มาร" ออกจากกัน เมื่องั้นอาจทำให้เข้าใจไม่สมบูรณ์ได้
ทางเดียวในการรอดจากการพิพากษาของมนุษย์
ถ้าจะถามว่าอะไรคือบทลงโทษของการพิพากษาความผิดบาปของมนุษย์? คำตอบก็คือนรก ถ้าเราทำผิดกฏหมายในโลกนี้ เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล หลังจากนั้นก็ติดคุก พอครบกำหนดก็พ้นคดีได้ แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างชัดเจนว่า บาปที่มนุษย์ได้ทำนั้นมันมากจนเหลือจะนับได้ และยังมีบาปอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะชดใช้ได้เลย แม้มนุษย์จะลงนรกก็ตามนั่นก็คือ บาปแห่งการทำให้พระสิริของพระเจ้าเสื่อม(โรม 3.23) พระสิริของพระเจ้านั้นมีค่ามาก และเป็นนิจนิรันดร์ เมื่อมนุษย์ใช้อิสระในการเลือกที่มีอยู่ในตัวทำลายจุดนี้ ค่าจ้างหรือผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ "ต้องอยู่ในนรกเป็นนิจนิรันดร์" เหมือนกับถ้าคุณมีลูก และต่อมามีคนมาฆ่าลูกคุณตาย ถ้าศาลพิพากษาให้ติดคุกตลอดชีวิต(ในกรณีเขายอมสารภาพ) คุณคิดว่ามันคุ้มกับการที่คุณต้องสูญเสียลูกไปหรือ? ไม่มีทางเด็ดขาด ลึกๆของคุณคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถึงแม้ไอ้คนที่ฆ่าลูกคุณจะติดคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตของมันให้ตายไปก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่มันได้กระทำเลยอย่างแน่นอนถ้าจะให้มันพ้นจากคดีได้ตามความคิดของคุณก็คือ "เอาลูกฉันมาให้ฉันคืนซิ"
เช่นเดียวกัน บาปที่มนุษย์ได้กระทำต่อพระเจ้านั้นไม่มีทางที่จะชดใช้ได้เลย เขาจะต้องถูกลงโทษให้อยู่ในนรกเป็นนิตย์ นอกเสียจากจะมีผู้หนึ่งที่ไม่เคยทำผิดบาปเลยมามอบพระสิริของพระเจ้าคืนให้กับพระองค์เพื่อเขา แต่จะมีผู้นั้นไหม?
พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้านั้นยุติธรรม บาปจะต้องมีการลงโทษ แต่พระคัมภีร์ก็บอกอีกด้านหนึ่งของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักและไม่ประสงค์ให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดต้องพินาศด้วยความรักพระองค์ไม่อยากลงโทษแต่เพราะเหตุความยุติธรรมพระองค์จึงต้องลงโทษมนุษย์เหมือนกับถ้าคุณเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรมมากวันหนึ่งลูกของคุณไปทำผิดกฏหมายคือฆ่าคนตายในใจของคุณคงไม่อยากลงโทษลูกชายแน่แต่เพราะความยุติธรรมที่คุณมีอยู่ทำให้คุณไม่อยากลงโทษก็ต้องลงโทษลูกของคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าจะทำอย่างไรดี?
พระคัมภีร์ก็ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จึงทรงกำหนดว่า ถ้าหากมนุษย์จะพ้นจากบาปได้ก็มีทางเดียวคือ จะต้องมีผู้มาตายแทน และผู้ที่จะมาตายแทนได้นั้นจะต้องไม่มีบาปหรือไม่ทำบาปเลย เพื่อว่าเขาจะเอาพระสิริของพระเจ้าในตัวของเขามาชดใช้หนี้บาปให้แก่มนุษย์ได้ เมื่อเรารู้เช่นนี้เราอาจจะรีบหาคนที่มาตายแทนเราก็ได้ แต่หาไปหามาก็หาไม่พบ เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ผมอยากตายแทนคุณก็ไม่ได้ หรือคุณอยากตายแทนผมก็ไม่ได้ เพราะเราทั้งสองต่างก็มีบาปและทำบาป เช่นนี้มนุษย์เราจะรอดจากบาปได้อย่างไรกัน?
การพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรมมาก คือติดเงินใช้เงิน ติดทองใช้ทอง มนุษย์ทำบาปด้วยร่างกาย จะพ้นบาปได้ก็ต้องใช้ร่างกายเท่านั้น
พระเจ้าทรงทราบดีว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตายเพื่อรับบาปแทนกันได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนต่างก็มีบาปและทำบาป ดังนั้นด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์พระองค์จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกมารับสภาพเป็นเนื้อหนัง มีร่างกายเพื่อจะใช้ร่างกายนั้นรับโทษบาปแทนมนุษย์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าก็คือ พระเยซูคริสต์
ถ้าจะถามว่าอะไรคือบทลงโทษของการพิพากษาความผิดบาปของมนุษย์? คำตอบก็คือนรก ถ้าเราทำผิดกฏหมายในโลกนี้ เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล หลังจากนั้นก็ติดคุก พอครบกำหนดก็พ้นคดีได้ แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างชัดเจนว่า บาปที่มนุษย์ได้ทำนั้นมันมากจนเหลือจะนับได้ และยังมีบาปอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะชดใช้ได้เลย แม้มนุษย์จะลงนรกก็ตามนั่นก็คือ บาปแห่งการทำให้พระสิริของพระเจ้าเสื่อม(โรม 3.23) พระสิริของพระเจ้านั้นมีค่ามาก และเป็นนิจนิรันดร์ เมื่อมนุษย์ใช้อิสระในการเลือกที่มีอยู่ในตัวทำลายจุดนี้ ค่าจ้างหรือผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ "ต้องอยู่ในนรกเป็นนิจนิรันดร์" เหมือนกับถ้าคุณมีลูก และต่อมามีคนมาฆ่าลูกคุณตาย ถ้าศาลพิพากษาให้ติดคุกตลอดชีวิต(ในกรณีเขายอมสารภาพ) คุณคิดว่ามันคุ้มกับการที่คุณต้องสูญเสียลูกไปหรือ? ไม่มีทางเด็ดขาด ลึกๆของคุณคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถึงแม้ไอ้คนที่ฆ่าลูกคุณจะติดคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตของมันให้ตายไปก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่มันได้กระทำเลยอย่างแน่นอนถ้าจะให้มันพ้นจากคดีได้ตามความคิดของคุณก็คือ "เอาลูกฉันมาให้ฉันคืนซิ"
เช่นเดียวกัน บาปที่มนุษย์ได้กระทำต่อพระเจ้านั้นไม่มีทางที่จะชดใช้ได้เลย เขาจะต้องถูกลงโทษให้อยู่ในนรกเป็นนิตย์ นอกเสียจากจะมีผู้หนึ่งที่ไม่เคยทำผิดบาปเลยมามอบพระสิริของพระเจ้าคืนให้กับพระองค์เพื่อเขา แต่จะมีผู้นั้นไหม?
พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้านั้นยุติธรรม บาปจะต้องมีการลงโทษ แต่พระคัมภีร์ก็บอกอีกด้านหนึ่งของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักและไม่ประสงค์ให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดต้องพินาศด้วยความรักพระองค์ไม่อยากลงโทษแต่เพราะเหตุความยุติธรรมพระองค์จึงต้องลงโทษมนุษย์เหมือนกับถ้าคุณเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรมมากวันหนึ่งลูกของคุณไปทำผิดกฏหมายคือฆ่าคนตายในใจของคุณคงไม่อยากลงโทษลูกชายแน่แต่เพราะความยุติธรรมที่คุณมีอยู่ทำให้คุณไม่อยากลงโทษก็ต้องลงโทษลูกของคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าจะทำอย่างไรดี?
พระคัมภีร์ก็ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จึงทรงกำหนดว่า ถ้าหากมนุษย์จะพ้นจากบาปได้ก็มีทางเดียวคือ จะต้องมีผู้มาตายแทน และผู้ที่จะมาตายแทนได้นั้นจะต้องไม่มีบาปหรือไม่ทำบาปเลย เพื่อว่าเขาจะเอาพระสิริของพระเจ้าในตัวของเขามาชดใช้หนี้บาปให้แก่มนุษย์ได้ เมื่อเรารู้เช่นนี้เราอาจจะรีบหาคนที่มาตายแทนเราก็ได้ แต่หาไปหามาก็หาไม่พบ เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ผมอยากตายแทนคุณก็ไม่ได้ หรือคุณอยากตายแทนผมก็ไม่ได้ เพราะเราทั้งสองต่างก็มีบาปและทำบาป เช่นนี้มนุษย์เราจะรอดจากบาปได้อย่างไรกัน?
การพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรมมาก คือติดเงินใช้เงิน ติดทองใช้ทอง มนุษย์ทำบาปด้วยร่างกาย จะพ้นบาปได้ก็ต้องใช้ร่างกายเท่านั้น
พระเจ้าทรงทราบดีว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตายเพื่อรับบาปแทนกันได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนต่างก็มีบาปและทำบาป ดังนั้นด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์พระองค์จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกมารับสภาพเป็นเนื้อหนัง มีร่างกายเพื่อจะใช้ร่างกายนั้นรับโทษบาปแทนมนุษย์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าก็คือ พระเยซูคริสต์
ความตายคืออะไรและมาจากไหน
ความคิดเกี่ยวกับความตายของคนทั่วไปส่วนมากคิดว่าความตายก็คือการหยุดหายใจ ซึ่งก็ถูกต้อง 100 % แต่สำหรับคริสตชนได้ให้ความหมายของความตายว่า "การแยกออก" หรือ"แยกจาก" พวกเราเชื่อแน่ว่า มนุษย์เรานอกจากจะมีร่างกายแล้ว เรายังมีจิตวิญญาณอีกด้วย ซึ่งจิตวิญญาณนี้เหมือนกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้าน ส่วนร่างกายนั้นเปรียบเสมือนที่พักอาศัย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ตอนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น มนุษย์จะไม่มีวันตายเลย ไม่ว่าฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์แยกออกจากพระเจ้า มนุษย์จึงเริ่มตายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นแม้จะมีอากาศมากมาย แต่ร่างกายของมนุษย์เมื่อมาถึงจุดเสื่อม ก็ไม่สามารถที่จะหายใจเอาอากาศที่อยู่รอบตัวเข้ามาในร่างกายได้ร่างกายก็หยุดเคลื่อนไหว และวิญญาณก็ออกจากร่างของเขา ซึ่งเราเรียกว่าการตายฝ่ายร่างกาย
ร่างกายมนุษย์จะต้องมีอากาศจึงจะเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกันจิตวิญญาณของมนุษย์จะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันจิตวิญญาณจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้ามนุษย์คนใดไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเขาก็จะต้องพบกับความตายฝ่ายวิญญาณซึ่งจะนำเขาไปพบกับสิ่งที่น่ากลัวมาก
เพื่อที่จะเข้าได้ง่าย ผมจะยกภาพภาพหนึ่งให้คุณเห็น ถ้าเราปลูกมะม่วงต้นหนึ่งแน่นอนมันจะต้องมีกิ่งก้านสาขามากมาย และตราบใดที่กิ่งก้านสาขานั้นยังติดอยู่กับลำต้น (ไม่แยกจากต้น)มันก็ไม่มีทางที่จะแห้ง เหี่ยวเฉา เน่าเปื่อยและตายได้เลย (บางคนอาจจะพูดว่า บางต้นกิ่งที่ติดกับต้นอาจจะตายได้อย่าลืมว่าผมกำลังพูดถึงภาพเปรียบเทียบ) แต่ถ้าต่อมามันถูกหักหรือแยกออกจากต้น ไม่นานมันก็ยิ่งมายิ่งแห้ง เหี่ยวเฉาเน่าเปื่อย และก็ตายไปในที่สุด (อิสยาห์ 64:6)
และนี่ก็คือภาพที่ให้เห็นถึง "ความตาย" ในความคิดของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ และมีพระประสงค์ไม่อยากให้มนุษย์แยกจากพระองค์ เพราะพระองค์เปรียบเสมือนกับต้นไม้ใหญ่ ตราบใดมนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระองค์คือเชื่อฟังพระองค์ เขาก็จะไม่มีทางตายเลย
ในอดีตกาลพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา และใส่อิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ซึ่งไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ สัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าไม่ได้ประทานอิสระในการเลือกให้แก่มันเพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตตามชอบใจ แต่ต้องเดินตามวิถีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่มัน (สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนกับมนุษย์มันไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่มีมโนธรรม แต่มนุษย์ถูกสร้างตามพระลักษณะของพระเจ้า เขามีวิญญาณที่มีสภาพเป็นบุคคลมีมโนธรรม)
แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้นถึงแม้พระเจ้าทรงกำหนดวิถีชีวิตให้แก่เขา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้มนุษย์จะต้องเดินในวิถีที่พระองค์ทรงกำหนด แต่พระเจ้าทรงประทานอิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิสระที่จะเลือกได้ว่าจะเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขา หรือจะไม่เดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขาก็ได้ โดยพระองค์จะทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เลือกเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน เขาจะไม่ตาแต่จะเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขามาเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนด (เลือกเดินตามใจชอบของตนเอง) เขาจะต้องตายและตกเป็นทาสของบาป แต่น่าเศร้าที่มนุษย์คู่แรกกลับเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้แก่เขา ดังนั้นตั้งแต่ นั้นมามนุษย์ทุกคนก็ต่างติดเชื้อแห่งความตายนี้ นั่นก็คือการแยกออกจากพระเจ้า การแยกออกจากพระเจ้านี้พระคัมภีร์เรียกว่าความตาย
"เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคนเพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด) (โรม 5:12)
"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ความตายนี้ไม่ใช่การหยุดทุกอย่าง แต่เป็นการรับผลที่เขาได้ทำ เหมือนกับผิดกฎหมายก็ต้องติดคุก) (โรม 6 : 23)
สรุปแล้ว
บาป ก็คือ การใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิด
ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า(เหมือนกิ่งแยกออกจากต้น มันจะเริ่มตายหรืออาจจะพูดได้ว่ามันตายแล้ว)
ความตายเป็นผลมาจากความบาป เหมือนกับติดคุก เป็นผลมาจากผิดกฎหมาย ( ใช้อิสระที่ทำในสิ่งที่กฎหมาย ทั้ง ๆที่ตัวเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำตามกฎหมายหรือไม่ทำ)
และตั้งแต่มนุษย์คู่แรกของโลกเป็นต้นมา มนุษย์ทุกคนต่างก็ทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิด) ทำให้ชีวิตของเขาแยกออกจากพระเจ้าแน่นอน การแยกออกจากพระเจ้าก็เหมือนกิ่งไม้ที่แยกออกจากต้น มนุษย์ทุกคนจึงยิ่งมา ยิ่งเริ่มแห้งเหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และตายในที่สุด)
ความคิดเกี่ยวกับความตายของคนทั่วไปส่วนมากคิดว่าความตายก็คือการหยุดหายใจ ซึ่งก็ถูกต้อง 100 % แต่สำหรับคริสตชนได้ให้ความหมายของความตายว่า "การแยกออก" หรือ"แยกจาก" พวกเราเชื่อแน่ว่า มนุษย์เรานอกจากจะมีร่างกายแล้ว เรายังมีจิตวิญญาณอีกด้วย ซึ่งจิตวิญญาณนี้เหมือนกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้าน ส่วนร่างกายนั้นเปรียบเสมือนที่พักอาศัย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ตอนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้น มนุษย์จะไม่มีวันตายเลย ไม่ว่าฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์แยกออกจากพระเจ้า มนุษย์จึงเริ่มตายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นแม้จะมีอากาศมากมาย แต่ร่างกายของมนุษย์เมื่อมาถึงจุดเสื่อม ก็ไม่สามารถที่จะหายใจเอาอากาศที่อยู่รอบตัวเข้ามาในร่างกายได้ร่างกายก็หยุดเคลื่อนไหว และวิญญาณก็ออกจากร่างของเขา ซึ่งเราเรียกว่าการตายฝ่ายร่างกาย
ร่างกายมนุษย์จะต้องมีอากาศจึงจะเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกันจิตวิญญาณของมนุษย์จะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันจิตวิญญาณจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้ามนุษย์คนใดไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเขาก็จะต้องพบกับความตายฝ่ายวิญญาณซึ่งจะนำเขาไปพบกับสิ่งที่น่ากลัวมาก
เพื่อที่จะเข้าได้ง่าย ผมจะยกภาพภาพหนึ่งให้คุณเห็น ถ้าเราปลูกมะม่วงต้นหนึ่งแน่นอนมันจะต้องมีกิ่งก้านสาขามากมาย และตราบใดที่กิ่งก้านสาขานั้นยังติดอยู่กับลำต้น (ไม่แยกจากต้น)มันก็ไม่มีทางที่จะแห้ง เหี่ยวเฉา เน่าเปื่อยและตายได้เลย (บางคนอาจจะพูดว่า บางต้นกิ่งที่ติดกับต้นอาจจะตายได้อย่าลืมว่าผมกำลังพูดถึงภาพเปรียบเทียบ) แต่ถ้าต่อมามันถูกหักหรือแยกออกจากต้น ไม่นานมันก็ยิ่งมายิ่งแห้ง เหี่ยวเฉาเน่าเปื่อย และก็ตายไปในที่สุด (อิสยาห์ 64:6)
และนี่ก็คือภาพที่ให้เห็นถึง "ความตาย" ในความคิดของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ และมีพระประสงค์ไม่อยากให้มนุษย์แยกจากพระองค์ เพราะพระองค์เปรียบเสมือนกับต้นไม้ใหญ่ ตราบใดมนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระองค์คือเชื่อฟังพระองค์ เขาก็จะไม่มีทางตายเลย
ในอดีตกาลพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา และใส่อิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ซึ่งไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ สัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าไม่ได้ประทานอิสระในการเลือกให้แก่มันเพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตตามชอบใจ แต่ต้องเดินตามวิถีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่มัน (สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนกับมนุษย์มันไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่มีมโนธรรม แต่มนุษย์ถูกสร้างตามพระลักษณะของพระเจ้า เขามีวิญญาณที่มีสภาพเป็นบุคคลมีมโนธรรม)
แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้นถึงแม้พระเจ้าทรงกำหนดวิถีชีวิตให้แก่เขา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้มนุษย์จะต้องเดินในวิถีที่พระองค์ทรงกำหนด แต่พระเจ้าทรงประทานอิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีอิสระที่จะเลือกได้ว่าจะเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขา หรือจะไม่เดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขาก็ได้ โดยพระองค์จะทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เลือกเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เดิน เขาจะไม่ตาแต่จะเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขามาเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนด (เลือกเดินตามใจชอบของตนเอง) เขาจะต้องตายและตกเป็นทาสของบาป แต่น่าเศร้าที่มนุษย์คู่แรกกลับเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้กำหนดให้แก่เขา ดังนั้นตั้งแต่ นั้นมามนุษย์ทุกคนก็ต่างติดเชื้อแห่งความตายนี้ นั่นก็คือการแยกออกจากพระเจ้า การแยกออกจากพระเจ้านี้พระคัมภีร์เรียกว่าความตาย
"เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคนเพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด) (โรม 5:12)
"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ความตายนี้ไม่ใช่การหยุดทุกอย่าง แต่เป็นการรับผลที่เขาได้ทำ เหมือนกับผิดกฎหมายก็ต้องติดคุก) (โรม 6 : 23)
สรุปแล้ว
บาป ก็คือ การใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิด
ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า(เหมือนกิ่งแยกออกจากต้น มันจะเริ่มตายหรืออาจจะพูดได้ว่ามันตายแล้ว)
ความตายเป็นผลมาจากความบาป เหมือนกับติดคุก เป็นผลมาจากผิดกฎหมาย ( ใช้อิสระที่ทำในสิ่งที่กฎหมาย ทั้ง ๆที่ตัวเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำตามกฎหมายหรือไม่ทำ)
และตั้งแต่มนุษย์คู่แรกของโลกเป็นต้นมา มนุษย์ทุกคนต่างก็ทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิด) ทำให้ชีวิตของเขาแยกออกจากพระเจ้าแน่นอน การแยกออกจากพระเจ้าก็เหมือนกิ่งไม้ที่แยกออกจากต้น มนุษย์ทุกคนจึงยิ่งมา ยิ่งเริ่มแห้งเหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และตายในที่สุด)
บทความส่วนใหญ่ที่เอามาลงเป็นบทความที่ใช้สำนวนโปรแตสแตนท์ แต่ผู้โพส ใช้นามแฝงว่า popebenedicxvi
ซึ่งทางคณะผู้ดูแลเห็นว่าไม่สมควร เพราะท่านผู้นำของคริสตศาสนานิกายคาทอลิค และยังมีชีวิตกระทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน จึงขอให้เปลี่ยนชื่อที่ใช้ด้วยครับ
ซึ่งทางคณะผู้ดูแลเห็นว่าไม่สมควร เพราะท่านผู้นำของคริสตศาสนานิกายคาทอลิค และยังมีชีวิตกระทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน จึงขอให้เปลี่ยนชื่อที่ใช้ด้วยครับ
ขอแนะนำว่าเมื่อเรานำบทความจากที่อื่นมาลง ควรให้เครดิตผู้เขียนและอ้างอิงที่มาด้วยครับ
ที่มาคือ
พระเจ้าเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ?
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.christianthai.net/God.htm
ที่มาคือ
พระเจ้าเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ?
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.christianthai.net/God.htm
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
คิดว่าบทความจากเว็บอื่น ไม่จำเป็นต้องนำมาโพสต์นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรโปรเตสแตนต์ บางกลุ่ม นักเทศน์คริสเตียน บางท่าน ค่อนข้างขวานผ่าซาก หัวแคบ คิดว่าแนวทางที่ตัวเองตีความเท่านั้นถูกต้อง ส่วนคริสตจักรอื่นๆ นอกจากคริสตจักรตัวเองแล้วผิด หรือการตีความพระคัมภีร์อื่นๆHoly เขียน: ขอแนะนำว่าเมื่อเรานำบทความจากที่อื่นมาลง ควรให้เครดิตผู้เขียนและอ้างอิงที่มาด้วยครับ
ที่มาคือ
พระเจ้าเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ?
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.christianthai.net/God.htm
ของกลุ่มอื่นๆ หรือนิกายอื่นๆ ผิด ......................มักจะพูดในทำนอกว่า ความรอดต้องผ่านคริสตจักรฉันเท่านั้น
น้องเจี๊ยบขอเสนอว่า พวกบทความข้างนอกจากผู้เขียนที่เราไม่รู้จักดี ควรจะเป็นส่วนของการตอบกระทู้ ที่มีผู้สงสัย และให้ เครดิตว่าเป็นแนวคิดของใคร
ลิงก์เว็บให้จะดีมาก ฮะ
Jeab Agape เขียน:คิดว่าบทความจากเว็บอื่น ไม่จำเป็นต้องนำมาโพสต์นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรโปรเตสแตนต์ บางกลุ่ม นักเทศน์คริสเตียน บางท่าน ค่อนข้างขวานผ่าซาก หัวแคบ คิดว่าแนวทางที่ตัวเองตีความเท่านั้นถูกต้อง ส่วนคริสตจักรอื่นๆ นอกจากคริสตจักรตัวเองแล้วผิด หรือการตีความพระคัมภีร์อื่นๆHoly เขียน: ขอแนะนำว่าเมื่อเรานำบทความจากที่อื่นมาลง ควรให้เครดิตผู้เขียนและอ้างอิงที่มาด้วยครับ
ที่มาคือ
พระเจ้าเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ?
โดย อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
http://www.christianthai.net/God.htm
ของกลุ่มอื่นๆ หรือนิกายอื่นๆ ผิด ......................มักจะพูดในทำนอกว่า ความรอดต้องผ่านคริสตจักรฉันเท่านั้น
น้องเจี๊ยบขอเสนอว่า พวกบทความข้างนอกจากผู้เขียนที่เราไม่รู้จักดี ควรจะเป็นส่วนของการตอบกระทู้ ที่มีผู้สงสัย และให้ เครดิตว่าเป็นแนวคิดของใคร
ลิงก์เว็บให้จะดีมาก ฮะ
หวังว่าเจ้าของกระทู้จะรับฟัง ความเห็นของพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน นะครับ

-
- Arch Guardian
- โพสต์: 297
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ต.ค. 09, 2006 8:19 pm
- ที่อยู่: ดินแดนอันไกลโพ้น
อ่ะนะ.....คุณ Holy ครับ แบบว่าพี่ popebenedicxvi เค้าเป็น คาทอลิก อ่ะครับ ผมแนะนำมาเองครับเห็นว่าคริสมาส เค้าบอกว่าไปอัญสัมชัญ นะครับ (ใครบางคนอาจเคยเจอแล้วด้วยนะครับ แต่ผมเจอใน MSN อ่ะครับ) เออ..จริงวันนั้นลืมถามชื่อพี่อ่ะครับ ไงก็ฝากให้พี่แนะนำตัวในห้องรับแขกด้วยนะครับ (วันที่คุยกันใน MSN น่ะครับ)
แก้ไขล่าสุดโดย Matthew เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:58 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
อยากรู้เจตนาของพี่คนนี้อ่ะครับ น้องแมท