โดย:โปรดปราน ( พีพี )
พระเยซูเจ้านับว่าเป็นบรมครูในการสอน การสอนของพระองค์ที่ได้ผลดีที่สุดคือการเล่าเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องของพระองค์ก็ได้ยกตัวอย่างให้ผู้ฟังเห็นจริงเห็นจังไปด้วย วิธีการของพระองค์ยังคงได้ผลจนทุกวันนี้ จึงเรียกได้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นบิดาแห่งการเล่าเรื่อง จากเรื่องเล่านี้ทำให้ผู้ฟังค้นพบความจริงว่าเขาควรปฏิบัติอย่างไร และการเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ คำอุปมา
จึงขอนำคำอุปมาบุตรน้อยที่หลงหาย ( ลูกล้างผลาญ / ดู ลูกา 15:11-32 )มาเป็นบทเรียนของเรา ภาพลูกล้างผลาญ เราจะเห็นภาพของคนที่ได้หลงหรือแยกทางไปจากพระเจ้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคือคริสตชนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว แต่ยังเลือกที่จะไปตามทางของตนเอง หรือจะหมายถึงคนที่ยังไม่ได้รับความรอดโดยพระเยซูคริสต์

จากคำอุปมาลูกล้างผลาญนี้เราจะเรียนรู้ด้วยกันดังนี้
1.ทำไม เขา(เรา)จึงหลงไป
ในเรื่องนี้ลูกล้างผลาญ เขาได้เลือกที่จะหลงไปจากพระเจ้าด้วยตัวเอง “บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า"คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (ข้อ 12 )อุปมาในพระวรสารลูกาบทที่ 15 นี้ มีของหายอยู่ 3 อย่าง คือ แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรน้อยที่หลงหาย (ลูกล้างผลาญ) แกะกับเหรียญมันไม่ได้เลือกที่จะหลงไป แต่ลูกชายคนนี้ตั้งใจจะจากพ่อไป เพราะเขาได้เข้าไปหาบิดา และขอแบ่งทรัพย์สมบัติในขณะที่เวลาไม่สมควร นั่นเพราะเขาตัดสินใจไปจากพ่อ เขาคิดว่าคงมีหนทางที่ดีกว่า เขาโตแล้วปีกกล้าขาแข็ง ไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว ซึ่งเช่นเดียวกับคริสตชนเป็นจำนวนมาก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็ง ก็จะหนีหรือออกไปจากพระเจ้า คิดว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เขาสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง และที่สุดเขาแยกตัวออกไปไม่ยุ่งกับเพื่อนชาวคริสต์ ไม่ไปวัดหรือโบสถ์ เมื่อพระสงฆ์ ศิษยาภิบาลหรือใครไปเยี่ยมหนุนใจก็ไม่พอใจ มีข้อแก้ตัวมากมาย และบางราย ก็แสดงอาการเกรี้ยวกราด หงุดหงิดต่อคนที่ไปจู้จี้ชวนเขาไปหาพระบิดาเจ้า เพราะพวกเขาตัดสินใจจากพระบิดาไปเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองโตแล้ว ดูแลตัวเองได้
ตามธรรมเนียมของยิวยุคนั้น ลูกๆ สามารถแยกจากพ่อไปได้ เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว การแบ่งสมบัตินั้น ถ้ามีลูกชายแค่ 2 คน 2ใน 3 จะเป็นของลูกชายคนโต 1ใน 3 คนเล็ก (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 21:17) ลูกหัวปีจะได้ 2 เท่า เพราะเขาเป็นต้นกำลังของบิดา แต่ในเรื่องนี้ลูกชายคนเล็ก อ้างสิทธิต่อบิดาว่า “คุณพ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” ความบาปเกิดขึ้นในจิตใจบุตรแล้ว เหมือนกับพวกเราคริสตชน บ่อย ครั้ง ออกคำสั่งกับพระเจ้าว่า “ให้ทำนั่นสิ ทำอย่างโน้นสิ” คนที่ฟุ่มเฟือยจะเห็นว่าทรัพย์สินจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างให้แก่เขา “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย” (ลูกา 12:15)

2.ขาดที่พึ่ง ( ลูกา 15:13-16 )
เมื่อคริสตชนคนหนึ่งหนีไปจากพระเจ้า แล้วจะประสบกับความทุกข์ลำบากนาๆ ประการ โดยเฉพาะด้านจิตใจขาดความมั่นใจ ขาดที่พึ่ง สังเกตในเรื่องนี้ จากหนุ่มเจ้าสำราญ เมื่อเขาได้ทรัพย์สมบัติตามปรารถนาแล้ว เขาก็หอบทรัพย์สินของพ่อแม่ไปเมืองไกล แล้วผลาญทรัพย์ของตนโดยใช้ชีวิตเสเพล เขาทำเพื่อให้ตัวเองพอใจเท่านั้น ไม่ได้เห็นคุณค่าของผู้อื่น ทรัพย์สินที่เขาไม่ได้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ก็จะเผาผลาญอย่างสะดวกสบาย ไม่เคยเห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัตินั้น ซึ่งปัจจุบัน พวกเราเองก็จะพบเห็นภาพนี้บ่อย เช่นกัน คือพ่อแม่หาเงิน ส่วนลูกๆก็ล้างผลาญ น้ำพักน้ำแรงของบุพการี
ฉันรับฟังคำปรารภ หรือความทุกข์ใจของบรรดาพ่อแม่ ที่มีลูกวัยรุ่น วัยวุ่นในทำนองนี้เสมอๆ ฟังจากน้ำเสียงของพ่อแม่เล่า เรื่อง ลูกๆของพวกเขาช่างเป็นบุตรล้างผลาญยุคดิจิตอลแท้ๆ ลูกๆตกเป็นทาสของวัตถุ หรือที่เรียกว่า เป็นเด็กยุคบริโภคนิยม เห็นแก่กินแก่เที่ยว ปล่อยตัวปล่อยใจ ชอบทำเรื่องที่ไม่เป็นแก่นสาร เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นนำเด็กห่างออกจากเส้นทางของพระเป็นเจ้าทุกที พวกเขาใช้เงินเหมือนพิมพ์ธนบัตรได้เอง เป็นเด็กอ่อนไหว ( sensitive ) เกินเหตุ เมื่อถูกตักเตือน ก็รับไม่ได้ โวยวายต่อว่าพ่อแม่ไม่รัก ไม่เข้าใจพวกเขา เป็นต้น ฉันชักห่วงประเทศไทย และสังคมเหลือเกิน เพราะเรามีเด็กประเภทลูกล้างผลาญล้นบ้านเกลื่อนเมือง ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะดูแลประเทศไทยและสังคมกันอย่างไร
กลับมาที่บุตรล้างผลาญคนนี้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเขาอ่อนปวกเปียกไป และพระวรสารบอกว่าพอดีเมื่อเขาสิ้นเนื้อประดาตัว แผ่นดินที่เขาไปอาศัยอยู่ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนัก เขาเริ่มขัดสน ดังนั้นจึงรับจ้างชาวเมืองเลี้ยงหมู ตามธรรมเนียม คนยิวแล้ว ใครต้องไปเลี้ยงหมูนั้นน่าอายมาก หรือแม้แต่ติดต่อกับคนเลี้ยงหมู ขณะนี้ลูกเศรษฐีกลายเป็นยาจก และไม่มีใครเหลียวมอง ฉันคิดถึงภาษิตที่เราเคยพูดเล่นๆว่า “เมื่อหมดเงิน หมู หมาไม่มามอง” คือถึงตอนนี้ไม่มีใคร เคารพนับถือเขาอีกแล้ว คุณค่าของเขาคือเด็กเลี้ยงหมูเท่านั้น