ผมว่ากรณีนี้น่าจะแบ่งได้ 2 ประเด็น
1.การเสวนากับคนต่างศาสนา
2.ความใจร้อน
ขอแบ่งปันในขั้นต้น ดังนี้
1.
การเสวนากับคนต่างศาสนา จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ถ้าเราเจอคนที่หัวอ่อน มีความประนีประนอม อารีอารอบ ละมุนละม่อม ก็คุยกันง่าย คุยอะไรเขาก็รับฟัง เขาคุยเรื่องศาสนาของเขามา เราก็รับฟัง แต่ถ้าเราเจอคนที่มีความมั่นใจในศาสนาของตนมากๆ เราคุยกับเขา เขาอาจไม่รับฟัง บางครั้งถ้าเราเงียบ(เพื่อเลี่ยงปัญหาความกระทบกระทั่ง) เขาก็อาจมาสะกิดเปิดประเด็นชวนทุ่มเถียง ผมว่าเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์นะ จากประสบการณ์ของผมที่เคยทำนะ ก็รับฟัง เออออห่อหมกไปตามๆเขา (แต่ไม่ใช่โอนอ่อนผ่อนตามนะครับ) เช่น สมมติเราคุยกับชาวพุทธที่หัวรุนแรง เขาอาจเปิดประเด็นว่า เขาไม่เชื่อเรื่องการไถ่บาป เป็นไปได้อย่างไรที่คนๆหนึ่งจะมาตายไถ่บาปของคนทั้งโลก ถ้าเราไปเถียงกับเขา แบบว่า ไม่นะ เธอไม่เข้าใจ ที่เธอเข้าใจนั้นผิด ก็นับว่าเข้าทางมารที่ยุแหย่ให้เราทะเลาะกัน ถ้าเป็นผม ผมจะบอกว่า อืม เข้าใจคุณ แล้วก็ถามเขากลับในทำนองชวนให้เขาคิดตาม และให้เขาเห็นว่าเรามีความเข้าใจในหลักปรัชญาของศาสนาเขา ให้เขาเห็นว่า เราเข้าใจเขาที่มองประเด็นปรัชญาของศาสนาเรา(จากตัวอย่างคือ"เรื่องการไถ่บาป")จากจุดยืนและมุมมองของศาสนาเขา ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เชื่อ เพราะศาสนาพุทธเชื่อว่า กรรมของใครก็ของคนนั้น จะมาไถ่ล้างแทนกันไม่ได้ อะไรทำนองนี้น่ะ แน่นอน ท่าทีแบบนี้ไม่ใช่ท่าทีที่ว่าเราไปเชื่อตามเขา เราก็ยังเชื่อของเราในเรื่องการไถ่บาป แต่เราไม่แสดงออกไง ไม่แสดงออกมาให้เกิดความขัดแย้ง แต่ว่าเราแสดงให้เขาเห็นว่าเราเข้าใจเขา เข้าใจเขาว่าทำไมเขาถึงได้คิดอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น เข้าใจการมองปัญหา เข้าใจมุมมองของเขา เข้าใจว่าทำไมเขาคิดเช่นนั้น ถ้ามีช่องทาง เราก็ค่อยแจงประเด็น แนวคิดของเราว่าเราเชื่ออย่างไร ทำไมเราเชื่อเช่นนั้น แต่ถ้าไม่มีช่องทาง ไม่พูดก็อาจจะเป็นการดีกว่า เพราะจะได้ไม่เปิดช่องให้เกิดการทะเลาะกันขึ้น จริงๆการเสวนาแบบนี้ ต้องการ"ความมีใจเป็นกลาง" "ความเปิดกว้างที่จะรับฟังคนอื่น" ยิ่งประเด็นเชิงปรัชญาที่พิสูจน์กันแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้จะๆแจ้งๆ ยิ่งเถียงกัน ทะเลาะกันก็ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันจบ ฉะนั้นกับคนที่เสวนาได้ราบรื่น ก็เสวนา เพื่อความเข้าใจอันดี และกับคนที่เสวนาได้รุ่งริ่ง ก็สงวนท่าทีไว้ เห็นจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันน่ะครับ อนึ่ง จากประสบการณ์ของผม พี่น้องต่างศาสนาหลายคนจะอึ้ง ตะลึงตึงตึง ที่เรามีความรู้ในหลักธรรมคำสอนของศาสนาเขา และหลายครั้งก็ถามด้วยว่า รู้ได้ไง ผมก็ตอบไปว่า อ้าว ก็เรียนรู้สิ ในยุคนี้เราไม่ได้แยกกันอยู่ แต่เราอยู่รวมกัน เราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เขาก็จะประทับใจ บางครั้งถ้าเขามีท่าทีอะไรที่ไม่เหมาะสมในระหว่างเสวนา ถ้าเรามีความรู้จริง เราอาจงัดเอาหลักธรรมในนิกายหรือศาสนาของเขามาเตือน ซึ่งอาจให้ผลดีกว่า เพราะเป็นคำสอนของศาสนาเขาเอง แต่ส่วนใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ ผมได้รับความประทับใจจากการเสวนาที่เรามีพื้นฐานความเข้าใจนิกายและศาสนาของเขามากครับ และที่สุดของที่สุดในประเด็นนี้ ผมใคร่ขอเสนอให้นำเสนอ"ความรัก" แม้ว่าท่าทีของฝ่ายตรงข้ามจะรุนแรงเพียงใด บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ให้คนรักกันและกัน ให้คนรักใคร่กลมเกลียว เราอาจหยิบประเด็นความรักนี้มาเป็นประเด็นนำ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เราก็ยังดำรงอยู่ในความรัก บางครั้งสถานการณ์อาจดูย่ำแย่ ดูเหมือนเมฆหมอกแห่งการทะเลาะเบาะแว้งจะก่อตัวขึ้น ก็ให้เรานำความรักมาเป็นตัวนำ เป็นต้นว่า สมมติว่าการเสวนาดูเหมือนจะล่ม แต่เราก็อาจเสนอว่า นี่เธอ เราจะมานั่งทะเลาะกันทำไม แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อเรื่องการไถ่บาป แต่ฉันเชื่อ ก็ไม่ได้ทำให้เราเลิกเป็นเพื่อนกันนี่ ฉันก็ยังรักเธอ ช่วยเหลือเธอ บริการเธอ รับใช้เธอ ที่ผ่านๆมาเธอก็ประจักษ์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ให้เรามารักกันและกันดีกว่านะ สมมติว่าเหตุการณ์ราบรื่น และดำเนินไปสักระยะหลายเดือน การกระทำแห่งความรักที่เรามีอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้เพื่อนเริ่มเปิดใจ เขาอาจเริ่มถามว่าทำไมเราถึงได้รักเขาได้อย่างสม่ำเสมอเพียงนี้ เขาโกรธเราก็ไม่โกรธตอบ เขาเย็นเฉยแต่เราก็ยังร้อนรนอยู่ เราก็อาจตอบไปสั้นๆ นี่คือคำสอนของพระเยซูเจ้า พระผู้ไถ่ของเรา นี่ไง พระเจ้าทรงได้รับเกียรติแล้ว ฉะนั้น ในการเสวนากับพี่น้องต่างนิกายหรือต่างศาสนา ในหลายครั้ง เราก็อย่าเอาคำพูดเป็นตัวนำ แต่ให้เอาการกระทำขึ้นนำ การกระทำแห่งความรักอันเป็นกฎทองสำคัญของศาสนาเรา แล้วการเสวนาจะเป็นผล และเกิดผลร้อยเท่าทวีคูณครับ
ข้อคิด
(1) เราควรที่จะเรียนรู้พระธรรมคำสอนของศาสนาของเราได้ดีที่สุดเท่าที่โอกาสอำนวย เช่น อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนในศาสนาอย่างไม่หยุดหย่อน เข้าชั้นเรียนคำสอนอย่างต่อเนื่อง สนทนาธรรมกับผู้รู้ ฯลฯ ในพระวรสารนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้ากล่าวถึงพระจิตเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำให้เราระลึกถึงคำสอนขององค์พระเยซูเจ้าได้ นี่เป็นบทบาทหนึ่งของพระจิตเจ้า ผมมองว่าหนังสือศรัทธาที่พิมพ์ออกมาจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงนัก ชั้นเรียนคำสอนที่หน่วยงานต่างๆจัดให้มีขึ้น ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆ เป็นโอกาสอันงามที่พระเจ้าประทานให้พวกเรา และผ่านทางกิจการดีเหล่านั้นแหละ ที่พระจิตเจ้าจะทรงทำให้เราระลึกถึง"คำสอนของพระเยซูเจ้าได้" เช่นนี้ เราก็จะมีความรู้ในการไปเสวนากับพี่น้องนิกายอื่นและศาสนาอื่น
(2) เราควรเรียนรู้พระธรรมคำสอนของนิกายอื่น ศาสนาอื่นให้ดีด้วย เพื่อการเสวนาจะได้เป็นไปด้วยความราบรื่น เราจะรู้เขารู้เรา เราจะรู้ว่าอะไรควรพูด หรืออะไรไม่ควรพูด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ (ทั้งนี้เพื่อรักษาน้ำใจอันดีของเพื่อนพี่น้องอื่น รักษาความปรองดอง สมานฉันท์ระหว่างพี่น้อง แม้จะนับถือคนละนิกาย คนละศาสนาก็ตาม) นอกจากนี้แล้ว การเรียนรู้พระธรรมคำสอนของนิกายอื่น ศาสนาอื่น ยังช่วยให้เรามีความเข้าอกเข้าใจแนวคิด หลักการ ปรัชญาของนิกายและศาสนาอื่นที่พี่น้องของเรานับถืออีกด้วย การเสวนาจะเป็นไปด้วยความราบรื่น และยังความประทับใจให้เกิดแก่พี่น้องนิกายอื่น ศาสนาอื่น ที่เราสนใจใฝ่รู้ หรือรู้แล้วซึ่งพระธรรมคำสอนของนิกายเขา ศาสนาเขา
(3) การเสวนา ต้องการ"ความมีใจที่เปิดกว้าง" พร้อมรับฟังคนอื่น แต่ถ้าคู่สนทนาหรือสมาชิกในกลุ่มสนทนาไม่อยู่พื้นฐานนี้แล้ว ก็ถือว่าให้สงวนการเสวนานั้นไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย อันจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งอันไม่พึงประสงค์สืบต่อไปครับ
(4) ในฐานะคริสตชน ให้เรายึดกฎแห่งความรักเป็นตัวนำ ใจมนุษย์นั้นถูกสร้างมาเพื่อรักและถูกรัก (น่าเสียดายที่มนุษย์จำนวนมากในทุกวันนี้หลงลืม หรือไม่รู้ในธรรมชาติตรงนี้ด้วยซ้ำไป) ถ้าเราให้ความรักขึ้นนำ ทุกอย่างจะง่าย ใจหินก็จะกลับมาเป็นใจเนื้อ ความกระด้างจะโดนไฟแห่งความรักหลอมละลายกลายเป็นความอ่อนโยนไม่ช้าก็เร็ว แต่เราก็ต้องมีความอดทนเพียงพอ เพราะบางคนใจแคบ กระด้าง เสียเหลือเกินครับ
2.
ความใจร้อน จากประสบการณ์ที่ผมเจอมา คนยุคนี้ใจร้อนกันมาก ทำอะไรก็ฉุนเฉียว หุนหันพลันแล่น เอาแต่ใจตัวเอง แม้แต่ในหมู่คริสตชนเอง ก็มีคนที่เป็นเช่นนี้อยู่ไม่น้อย วิธีการแก้ตามทัศนะของผมก็คือ สิ่งที่เราคาทอลิกเรียกกันว่า
"การปฏิเสธน้ำใจตนเอง" การทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่เอา หิวก็ไม่กิน อยากนอนก็ไม่นอน ทรมานตัวเองจนเกิดผลร้าย ล้มหมอนนอนเสื่อไป แต่หมายถึงว่าทำอะไรก็ไม่เอาน้ำใจของตนเองเป็นใหญ่ ทำอะไรก็ให้คิดถึงหัวอกคนอื่น ไม่ใช่คิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้เรามองคนอื่นและคำนึงถึงคนอื่นก่อนเสมอ พยายามเข้าใจเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่เข้าใจเขาอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น ควรมีท่าทีแห่งการเสวนา ไม่ใช่เอะอะก็โกรธ ฉุนเฉียว ชวนทะเลาะ ฯลฯ การทำได้เช่นนี้ก็น่าจะทำให้เราใจเย็นลงได้นะครับ จริงๆก็นับว่าเป็นความโชคดีและถือว่ามีบุญที่เราได้มานับถือศาสนาคริสต์ เพราะเป็นศาสนาที่สอนในเรื่องนี้ ที่เด่นชัดก็คือในเรื่องของความรัก แต่ทว่าน่าเสียดายที่หลายคน นับถือศาสนานี้ แต่ยังยึดติดกับสิ่งบางแง่บางมุมในศาสนาเท่านั้น เช่น มาเป็นคริสตชนแล้ว แต่ยังมัวแต่นั่งนับและสะสมรูปพระราวกับเป็นพระเครื่อง นั่งตาลอยคอยชื่นชมอัศจรรย์เหนือธรรมชาติทั้งหลายเหมือนกับพวกชอบรอเลขเด็ด ชื่นชมกับสิ่งที่ตระการตาในศิลปะที่แสนงดงามของวัดและความอลังการงานสร้างของดนตรีศักดิ์สิทธิ์เหมือนพวกนักท่องเที่ยวที่มาชมวัด เห็นว่าสวยแล้วก็จากไป หรือไม่ก็เหมือนนักฟังดนตรีที่มาฟังคอนเสิร์ตแล้วก็กลับบ้านไป สิ่งที่ว่ามาข้างตนมิใช่ไม่ดี แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นนั่งยึดอยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น โดยไม่สนใจต่อการศึกษาพระธรรมคำสอนหรือนำพระธรรมคำสอนจากภาคทฤษฎีมาลงสู่ภาคปฏิบัติที่แท้เลย การแพร่ธรรมที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้เห็นจริง ถ้าเราคริสตชนทุกคนพร้อมใจกันปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า เราจะเห็นการกลับใจกันมากกว่านี้อีกมากนัก อย่างไรก็ตาม ดังได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าเป็นบุญของพวกเราที่ได้มาเป็นคริสตชน เพราะการมาเป็นคริสตชนนี้ เราก็ทราบแนวทางแห่งความรักแล้ว เราก็ย่อมรู้แล้วว่าแนวทางแห่งสันติเป็นอย่างไร และควรปฏิบัติเช่นไร การปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูที่ให้เรารักกันและกันนี้ ถ้าเราทำได้จริง เราก็จะเอาชนะความใจร้อนไปได้ แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า"ปราศจากเราแล้ว ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย" ฉะนั้น ความรักจะบังเกิดผลจริงในตัวเรา เราก็ต้องอธิษฐานภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าให้ประทานคุณธรรมความรักนี้มาให้แก่เราด้วย ให้พระจิตเจ้าทรงทำงานในใจเรา ไม่เช่นนั้นลำพังตัวเราเองก็ทำอะไรไม่ได้เลยครับ
ข้อคิด
(1) แม้สิ่งภายนอก เช่น รูปพระ อัศจรรย์ วัด และดนตรีศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้เราเริ่มสนใจในพระศาสนา แต่ชีวิตฝ่ายจิตของเราไม่ควรหยุดยั้งอยู่แค่นั้น จะปล่อยให้หยุดอยู่แค่นั้นไม่ได้เป็นอันขาด ทว่าต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เป็นต้นในเรื่องคุณธรรมเหนือธรรมชาติทั้งสาม ได้แก่ ความเชื่อ ความวางใจ และความรัก และนักบุญเปาโลได้กล่าวไว้ชัดว่า "ความรักสำคัญที่สุด"
(2) ลำพังเราเองทำอะไรไม่ได้ การจะมีคุณธรรมความรัก นอกจากเราจะต้องร่วมมือกับพระเจ้าในการพัฒนาคุณภาพชีวิตจิตของตนเองแล้ว เราก็ยังต้องสวดขอพระเจ้าประทานคุณธรรมความรักมาให้เราด้วย ให้พระองค์ทรงช่วยเรา ให้เรารักคนอื่น ใจเย็น มีความอารีอารอบ คิดถึงคนอื่นเสมอ ฯลฯ เพราะเมื่อเรามีคุณธรรมความรัก ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะใจเย็น มองปัญหาก็มองอย่างรอบด้าน เข้าใจคนอื่นอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เขาเป็น
ขอแบ่งปันเท่านี้ก่อนครับ
