สบายใจได้ครับน้องชาย
พี่เคยเล่าไปแล้วทีนึง ว่าตั้งแต่เกิดมา พี่ร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้า ผู้ทรงรับทนทรมานเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นเองครับ
ถ้าพวกเราร้องไห้ ไม่ว่าจะเพราะเกิดปีติยินดีในจิตใจ หรือเพราะสงสารพระเยซูเจ้า ก็จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณนี้เถิดครับ
แต่พอขอบพระคุณแล้วก็อย่าไปยึดติด การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยในตัวเราไม่ได้อยู่ที่จำนวนน้ำตาว่าเราร้องไห้ออกมากี่หยาดกี่หยดนะครับ
ฉะนั้น น้องอาจไม่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้า ก็ไม่ได้แปลว่าน้องไม่ศรัทธา ในทางตรงกันข้าม น้องอาจเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่าคนที่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้าด้วยซ้ำไปครับ : xemo026 :
ถ้าเช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน หรือคนแบบใดจึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาชอบสะสมรูปพระ มีรูปพระมากมาย มองไปทางไหน ก็มีแต่พระเจ้า แม่พระ นักบุญ บุญราศี แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนคงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเขาก็ไม่ได้มีเงินซื้อรูปพระมาเก็บสะสม ในทางตรงกันข้ามผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจมีแค่กางเขนเก่าๆ 1 รูป สายประคำธรรมด๊าธรรมดาอีกแค่เส้นเดียว
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่เคยได้รับการประจักษ์มาจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยฝันเห็นบุคคลจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีพระพรพิเศษเหนือธรรมชาติที่คนทั่วไปไม่มี ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลย แต่ใช้ชีวิตในแต่ละวันเฉกเช่นคนธรรมดาอย่างศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่านั้น
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาสนใจไปเยี่ยมศาสนสถานต่างๆ มีงานฉลองทางศาสนาที่ไหนก็ไปหมด วัดวาอารามแห่งหนตำบลใด ก็ไปแสวงบุญฝากรอยเท้ามาแล้วทุกที่ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่มีโอกาสไปแสวงบุญที่ไหนเลยแม้สักที่เดียว ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยไปไหนต่อไหนเลย อยู่แต่ที่วัดของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาร้องเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมได้หลายเพลง และแถมยังร้องได้ไพเราะอีกด้วย หรืออาจเล่นดนตรีเพลงวัดได้หลายเพลงอย่างไพเราะและชำนิชำนาญ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเล่นดนตรีก็ไม่เป็นสักชนิด ร้องเพลงก็ไม่ค่อยได้ แถมร้องแล้วเสียงอย่างกับควายออกลูก ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถในทางการดนตรีและบทเพลงเลยก็เป็นได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขามีความรู้ในทางศาสนามากมาย แถมแสดงอรรถให้ลุ่มลึกซาบซึ้ง แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะมีความรู้คำสอนเพียงระดับชาวบ้านเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่ได้รับการศึกษาสูงๆ อธิบายอรรถข้อเชื่ออะไรก็มิใคร่จักเป็น
เพราะอะไร ? ก็เพราะ...
เรื่องรูปพระ ใครก็สะสมได้ คนต่างศาสนาที่ชื่นชมรูปพระและสิ่งคล้ายศีลในฐานะเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง พวกเขาก็สะสมได้
เรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ คนต่างศาสนาหลายคนก็เคยมีประสบการณ์ทำนองอิทธิปาฏิหารย์ ที่พวกเขาก็อาจเอ่ยอ้างได้ว่าเป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติเช่นกัน
เรื่องการท่องเที่ยวแสวงบุญ ใครๆก็ไปได้ คนต่างศาสนาหลายคนก็ไปเยี่ยมชมศาสนสถานในฐานะนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชมอภิเชษฐ์ในงานศิลปะ
เรื่องเพลงและดนตรีศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็มีส่วนร่วมได้ คนต่างศาสนาหลายคนได้ฟังเพลงในพิธีกรรมก็สามารถร้องตามได้ ที่สุดก็อาจร้องได้มากเพลง และอาจร้องได้มากกว่าคริสตชนเองด้วยซ้ำไป นอกจากนี้หลายคนอาจเข้าร่วมคณะขับร้องประสานเสียงในวัด และเกือบทุกคนที่อ่านโน้ตเพลงออกและเล่นดนตรีเป็น ก็สามารถเล่นเพลงในพิธีกรรมได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องความรู้ทางศาสนาและความสามารถในการแสดงอรรถข้อเชื่อได้ลุ่มลึกและซาบซึ้งนั้น หลายคนก็ทำได้ คนต่างศาสนาที่มีสติปัญญาดีก็ทำได้ พวกเขาสามารถเป็นนักเทววิทยาที่ปราดเปรื่องได้ และอาจเป็นได้ดีกว่านักเทววิทยาที่เป็นคริสตชนด้วยซ้ำ
ครับ นั่นสิ แล้วความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
สำหรับพี่แล้ว ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่
"ความนบนอบต่อพระเจ้าในการปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระองค์" ต่างหากเล่าครับ
คนที่มีความศรัทธาแท้และจัดว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ คือคนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติตาม พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำของเรา พระบิดาจะทรงรักเขา และพระบิดาพร้อมกับเราจะมาหาเขา และพำนักอยู่กับเขา" ช่างเป็นบุญเสียนี่กระไรครับที่คนๆหนึ่งจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าสูงสุด พระองค์ประทับอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวและเป็นมิตรกับเขา
หรือเมื่อมีคนบอกพระเยซูเจ้าว่า มารดาและพี่น้องของพระองค์มาหา พระองค์ตรัสตอบว่า "ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามนั้นแหละคือมารดาและพี่น้องของเรา" ช่างเป็นความสุขสุดๆสำหรับคนๆหนึ่งโดยแท้ที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า เพราะเขาได้กลับกลายเป็นพี่น้องกับพระเยซูเจ้า
แม้ในวันพิพากษา เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวต่อพระตุลาการผู้ทรงความยุติธรรม เพราะพระองค์ไม่ใช่พระตุลาการสำหรับเขา แต่พระองค์คือมิตรและพี่น้องของเขาต่างหาก
และคนแบบนี้แหละ(ที่ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า)คือผู้ที่มีความศรัทธาแท้และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ : xemo028 :
ขอยกตัวอย่างเป็นการสาธกให้เห็นภาพเล็กน้อย คำสอนอันเป็นมรดกสำคัญของพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ประการหนึ่ง ก็คือ "ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันอย่างที่เรารักท่าน" การที่เราจะรักคนอื่นได้ เราก็ต้องละ"ตัวกูของกู"ก่อน เพราะถ้าเรายังมี"ตัวกูของกู" เราก็จะเห็นแต่ตัวเอง และมองไม่เห็นเพื่อนพี่น้อง น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนละ"ตัวกูของกู"ไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด แม้แต่ความพยายามที่จะละ"ตัวกูของกู"ก็ไม่มี ยังคงยึดติดอยู่กับตัวเอง มีชีวิตอยู่กับตัวเองและเพื่อตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป
แต่การเป็นคริสตชนนั้น จะละ"ตัวกูของกู"แค่นั้น หาเพียงพอไม่ ทว่าต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตเพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวมึงของมึง"ด้วย นั่นก็หมายความว่า คริสตชนเรานอกเสียจากจะปฏิเสธน้ำใจตนเองแล้ว ยังต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ เพื่อนพี่น้องรอบข้างด้วย น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนก้าวข้ามไปไม่ถึงจุดนี้ ยังมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวกูของกู" เท่านั้น
หลายคนกว่าจะได้รับศีลล้างบาปช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน แต่พอได้รับศีลล้างบาปที่รอมานานแสนนาน ก็กลับไม่ได้ตระหนักถึงความรักที่เราพึงมีต่อพี่น้องรอบข้าง อย่างดีก็แค่ทำดีเฉพาะตัวเองเท่านั้น(ฉันไปวัด รับศีล สวดภาวนา ก็ถือว่า"ตัวฉัน"ทำดีแล้ว ปฎิบัติตามพระบัญญัติแล้ว ไม่สนใจเพื่อนพี่น้องคนอื่นเลย เป็นต้น เช่นนี้จะเหมือนพวกฟาริสีมากๆ สนใจแต่บทบัญญัติ แต่ไม่นำพาต่อเพื่อนพี่น้อง ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงกฎแห่งความรักเอาเสียเลย) ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นคริสตชนไม่ใช่การมีความสุขอยู่กับตนเอง หลายคนได้รับประสบการณ์แห่งความปีติฝ่ายจิต แต่ถ้าเราคงความปีตินี้อยู่กับตัวเอง ก็ไม่เป็นการเพียงพอ เพราะเราเป็นคริสตชน การนิ่งเฉยไม่สนใจใยดีต่อพี่น้องรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ นับว่าไม่ใช่วิสัยของคริสตชนที่ดี คริสตชนที่ดีไม่ควรเป็นคนดูดาย แต่ต้องออกจากตัวเอง แล้วมองไปรอบข้าง สนใจพี่น้องรอบตัว มีความอารีอารอบ การเป็นคริสตชนที่ดีจึงเปรียบได้เหมือนกับการเข้าประตูแคบ ส่วนการดูดาย ไม่สนใจพี่น้องรอบข้างเลย แต่มัวพะวงกับเรื่องบาป กฎเกณฑ์ อย่างที่พวกฟาริสีเป็นนั้น ถือเป็นประตูกว้างที่ดูจะปฏิบัติง่ายกว่า แค่ปฏิบัติตามกฎที่ห้ามนั่นห้ามนี่ หยุมๆหยิมๆ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ขอเน้นว่าสิ่งนั้นไม่เป็นการเพียงพอสำหรับผู้ที่เป็นคริสตชนเลยครับ
ดูตัวอย่างจากเรื่องของลาซารัส ลาซารัสนอนอดอยากอยู่หน้าบ้านเศรษฐี ในขณะที่เศรษฐีอิ่มหนำสำราญอยู่ในบ้านของตน ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้ทำอะไรลาซารัส ไม่ได้ส่งคนไปด่าทอ ทำร้าย เพียงแต่ไม่ได้ใยดีต่อลาซารัส ดูดาย ปล่อยให้เขานอนลำบากยากแค้นอยู่หน้าบ้านนั้นต่อไป แต่สุดท้ายเศรษฐีซึ่งไม่ได้ทำร้ายอะไรลาซารัสเล้ยยยยยยกลับต้องไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในถิ่นเนรเทศ นี่แสดงให้เห็นมาตรฐานของพระเจ้าว่า คริสตชนไม่ควรเป็นคนดูดายต่อคนรอบข้าง แต่ต้องมีความอารีอารอบ สนอกสนใจผู้อื่นรอบข้างเสมอ
หลายคนไปวัด ร่วมมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าเขาไปวัด ร่วมมิสซา และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ แต่ออกมาทำบาป ไม่รักเพื่อนพี่น้อง ดูดายเพื่อนพี่น้อง ไม่สนอกสนใจ อยู่แต่กับตัวเองและคนที่ตัวเองพอใจจะอยู่ด้วย(เช่น แฟน กิ๊ก ฯลฯ)เท่านั้น เขาก็ไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
จากพระวาจาที่สั่งสอนว่า"ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันดังที่เรารักท่าน" คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ก็จะฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าประการนี้ เขาจะสละน้ำใจตนเองและมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้เพื่อนพี่น้องรอบข้าง ไม่ดูดาย ไม่อยู่แต่เพียงกับตนเอง และคนที่ตนเองพอใจจะอยู่ด้วยเท่านั้น แต่จะมีความสนอกสนใจ อารีอารอบ ต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้างเสมอ ไม่ว่าเพื่อนพี่น้องจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือนั้นออกมาหรือไม่ก็ตามครับ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวของ"การฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้า"เท่านั้นนะครับ นอกจากพระวาจาที่สอนให้"รักกันและกัน"ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงก็จะปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนประการอื่นๆทุกประการที่พระเจ้าทรงสั่งสอนด้วยเช่นกันครับ
ฉะนั้น พี่ขอสรุปว่า ถ้าน้องจะไม่เคยร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้าเลย น้องก็อย่าได้ไม่สบายใจไปครับ อย่าไปเข้าใจว่าตัวน้องไม่มีความศรัทธา เกณฑ์การวัดความศรัทธาไม่ได้อยู่ที่น้ำตาที่หลั่งออกมา แต่อยู่ที่ว่าน้องได้ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าหรือไม่ต่างหากครับ ถ้าน้องฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง น้องจะก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุดครับ
ดังนั้น ให้พวกเราเริ่มต้นฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าแต่บัดนี้เลย ดีไหมครับ
