โดย โปรดปราน ( พีพี )
“ดูเถิด ...ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดีและน่าชื่นชมมากสักเท่าใด” (สดุดี ๑๓๓.๑ ) และ พระเยซูเจ้าตรัสว่า“บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาว่าบุตร” ( มัทธิว ๕.๙ )

ดิฉันเกิดในครอบครัวที่นับถือพุทธ เราอยู่ร่วมกับชุมชนอิสลาม รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดซึ่งมีทั้งเด็กพุทธ และมุสลิมเรียนหนังสือร่วมกัน เราไม่เคยทะเลาะกันเพราะความเชื่อหรือหลักของศาสนา ชาวพุทธสามารถไปร่วมกินดื่มบ้านเพื่อนมุสลิมได้เสมอ แต่ชาวมุสลิมรับประทานอาหารบ้านคนพุทธไม่ได้เพราะว่าเรากินหมู ตอนนั้น ดิฉันคิดว่าในโลกนี้มีแค่ พุทธ กับอิสลาม ดีใจที่เกิดในครอบครัวชาวพุทธ จึงไม่ต้องถือศีลอด ไม่มีข้อห้ามเรื่องอาหาร และข้อปฏิบัติอีกมากมาย
หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย ดิฉันได้รับเชื่อเป็นคริสต์ โดยไม่ได้เลือกนิกาย หรือคณะเอง เชื่อว่าพระเจ้าทรงวางดิฉันให้อยู่ในกรอบของนิกายโปรเตสแตนต์ คณะ เพรสไบทีเรียน แล้วมารับทราบภายหลังว่า คริสต์ ถูกแยก ออกเป็น ๓ นิกายใหญ่ๆ และมีกลุ่มอิสระอีกมากมาย นิกายของคริสต์ มี คาทอลิก ออร์เทอดอกซ์ และ โปรเตสแตนต์ แล้วทั้งสามนิกาย ไม่กินเส้นกันอีก บ่อยครั้ง คริสตชน ต่างนิกายทะเลาะวิวาทกันอย่างเปิดเผย จนเป็นที่ติฉินนินทาแก่ศาสนิกชนอื่นๆ ส่วนพวกที่ไม่ทะเลาะกัน ก็ ขุ่นเคือง หมางเมินกัน ไม่ยอมวิสาสะกัน ทั้งนี้เพราะ ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าความเชื่อ ความศรัทธาของตนเองเท่านั้นถูกต้อง ส่วน อีกสองนิกายนั้นความเชื่อผิดและคงจะไม่ได้รับความรอด ทั้งๆที่ ทั้งสามนิกาย ก็เชื่อจุดหลักเกี่ยวกับพระเจ้า คือเรื่อง “พระตรีเอกภาพ”

ทำให้ย้อนคิดว่า ตอนที่ดิฉันนับถือพุทธ อยู่ท่ามกลางชุมชนอิสลาม เราไม่เคยทะเลาะกัน แล้วยังไปมาหาสู่ เอื้อเฟื้อต่อกันเสมอ แต่ทำไมเมื่อเป็นคริสต์ จึงมีความบาดหมาง ระหว่างนิกาย หรือคณะ แล้วที่ว่าคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรักและให้อภัยนั้น จริงหรือ เมื่อกลับไปหาพระเจ้า ดิฉันจะตอบคำถามพระองค์อย่างไร ถ้าพระบิดาตรัสถามว่า “ทำไมคริสตชนทุกๆนิกายเป็นพี่-น้องกันจึงไม่คืนดีกัน ตอนมีชีวิตในโลกนี้ แล้วสิ่งที่ที่พวกเจ้าพล่ามสอนกันน่ะ ได้นำไปใช้ในชีวิตกันบ้างไหม ....ที่พวกเจ้ารับคำบัญชาของเราประกาศสั่งสอน ข่าวดี เรื่องความรักที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่พวกเจ้าให้รอด ข่าวดีนี้เป็นข่าวแห่งการคืนดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า โดยให้พระเยซูคริสต์ เป็นคนกลาง และเป็นข่าวแห่งการคืนดีของมนุษย์เองด้วย...พวกเจ้าทำการแพร่ธรรมนำคนมากลับใจใหม่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า แต่พวกเจ้าเองเป็นคนหน้าซื่อใจคดไหม หน้าไหว้หลังหลอกไหม ฯลฯ” คำถามลักษณะนี้ติดค้างอยู่ในจิตใจ ของดิฉันเสมอ

เบื้องหลัง การพัฒนาของเอกสัมพันธ์
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 คริสตจักรของโปรเตสแตนต์ผ่านพ้นยุคที่ดุดัน ไม่ยอมรอมชอมกับใคร จากท่าทีของคณะต่างๆที่ยึดมั่นว่าตัวเองเท่านั้นเป็นฝ่ายถูก และปิดกั้นอยู่เฉพาะกลุ่มของตัวเอง จึงมีการรวมตัวของคริสตชนต่างคณะเป็นขบวนการเพื่อเอกภาพ ( Ecumenical Movement ) และมีศูนย์กลางระดับนานาชาติชื่อว่า “เวิร์ด เคาน์ซิล ออฟเชิร์ช ( World Council of Churches ) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1948 สำนักงานใหญ่อยู่ที่เจนีวา มีสมาชิกโปรเตสแตนต์ คณะต่างๆ และนิกายออร์ทอดอกซ์ตะวันออก ในขบวนการเพื่อเอกภาพ เป็นที่ประทับใจเพราะเป็นอุดมคติของหนุ่มสาวทุกคณะนิกายที่รักเอกภาพ จึงมาที่ศูนย์รวม “เทเซ่” (Taize) ซึ่งเป็นชื่อชุมชน/อารามในฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้งเป็นผู้รับใช้พระเจ้าของโปรเตสแตนต์ อาราม เทเซ่ ดึงดูดคริสตชนมาร่วมกันภาวนาเพื่อเอกภาพ หรือความเป็นหนึ่งเดียวในพระกายของพระเยซูคริสต์ กิจกรรม หรือพิธีกรรมที่จัดไม่เน้น นิกายหรือคณะของนิกาย
คำนิยามของ Ecumenism มาจากภาษากรีก OIKOUMENE_-- oikos + mene ( household + manage ) โลกทั้งใบคือบ้านของพระเจ้า มาดูด้านพระคัมภีร์ ในหนังสือ ยอห์น ๑๗.๒๑ “เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เหมือนพระเยซูคริสต์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คำอธิษฐานนี้ ทำให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเชื่อฟังของพระคริสต์ พระบิดา ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบุตร เหมือนที่อัครทูตเปาโลได้อธิษฐานระหว่างท่านเองกับคริสตจักร (พระศาสนจักร) คือ มีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน” ( ฟป.๒.๒ ) ในเมื่อคริสตชนมีหลากกลุ่มคณะหรือนิกาย ด้าน ศาสนศาสตร์ (theology )ก็ยังมุ่งปกป้องความเชื่อ แต่ต้องปรับความสมดุลระหว่างนิกายหรือคณะ ดังนั้น ก่อนจะพูดว่าใครผิดใครถูกขอให้เรามาดูหลักข้อเชื่อที่เรายึดมั่นร่วมกันดังนี้
๑ เชื่อในเรื่องพระตรีเอกภาพ(คาทอลิก) หรือพระตรีเอกานุภาพ (โปรเตสแตนต์) คือ
-พระบิดา คือ พระผู้สร้าง -พระบุตร คือ พระผู้ไถ่-พระจิต(คาทอลิก)หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โปรเตสแตนต์) คือ ผู้สถิตและช่วยมนุษย์
๒ เชื่อในสากลคริสตจักร( พระศาสนจักร)บริสุทธิ์ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นประมุข และเชื่อในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน( คริสตชน )
๓ เชื่อว่ามีวันพิพากษา มนุษย์ทุกคนทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้วต้องกลับมารับการพิพากษาพร้อมกัน
๔ เชื่อว่ามีสวรรค์นิรันดร
๕ ยอมรับหลักข้อเชื่อสากลร่วมกัน ๓ บท คือ หลักข้อเชื่อของอัครสาวก (Apostles’ Creed )
หลักข้อเชื่อไนเซีย ( Nicene Creed ) และหลักข้อเชื่ออะทาเนเซียน (Athanasian Creed )
นอกจากนี้ก็ยอมรับหลักข้อเชื่อสากลร่วมกัน ๓ บท คือ หลักข้อเชื่อของอัครสาวก
(Apostles’Creed ) หลักข้อเชื่อไนเซีย ( Nicene Creed ) และหลักข้อเชื่ออะทาเนเซียน
(Athanasian Creed )