โปรดปราน ( พีพี )
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวัน “ผู้สูงอายุ” 25ปีผ่านไป สภาพครอบครัวไทยก็เปลี่ยนไป ปีนี้ ( พ.ศ.2550 ) มีคนแก่ถูกทอดทิ้ง หรือคนแก่กำพร้า ประมาณ เกือบ ห้าแสนคน มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และไม่แน่ใจว่าภาครัฐหรือเอกชน จะแก้ปัญหากันอย่างไร สำหรับคริสตชนฉันอยากนำมุมมองหนึ่งให้เป็นข้อคิด ถึงความสำคัญของผู้อาวุโส ...ความชรา หรือ อาวุโส ไม่ใช่สิ่งที่ควรรังเกียจ เพราะ ใครที่อยู่ได้จนกระทั่งได้ชื่อว่าผู้อาวุโสนี้ควรจะภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ท่านได้ต่อสู้ชีวิต เมื่ออยู่ถึง 60 ปีย่างเข้าวัยผู้สูงอายุ ถือว่ากำไร การดำรงชีวิตจนถึงจุดนี้ เพราะได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ที่ทิ้งไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง

ฉันขอนำเรื่องนักบุญทิโมธี ในพระคัมภีร์มาทำความเข้าใจกัน เพราะจะทำให้ตัวผู้อาวุโสและอนุชนคนหนุ่มสาวเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านทิโมธีมี ยาย มี มารดา และ อัครทูตเปาโล อยู่เบื้องหลัง ในการเจริญเติบโตฝ่ายร่างกาย และฝ่ายวิญญาณจิต จนนำเขาถึงความรอด เช่นเดียวกันที่พวก เด็กๆ เยาวชนคนหนุ่มสาวได้เติบโตมีความเชื่อ ได้รับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะพวกผู้อาวุโสทั้งหลายที่มีส่วนในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ซึ่งอยากจะ แบ่งปัน 2 ประเด็นดังนี้
1.ผู้อาวุโสคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเด็ก
“ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็น ความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย” ( 2 ทิโมธี 1.5 )
จดหมายของอัครทูตเปาโลถึงทิโมธีฉบับนี้ ท่านเขียนตอนที่ท่านติดคุกที่โรม ราว ค.ศ. 66-67 ท่านเขียนเพื่อแนะนำในการทำพันธกิจของทิโมธี ในเมืองเอเฟซัส ซึ่งนับว่าเป็นจดหมายส่วนตัวที่เปาโลต้องการสอนแนะนำและหนุนใจทิโมธีในการทำงาน เป็นการตักเตือนในการต่อสู้ต่อความยากลำบากด้วยอาศัยความเชื่อเป็นพื้นฐาน ฝ่ายทิโมธีเองมีความสัมพันธ์กับท่านเปาโลคือเป็นลูกชายในความเชื่อ เช่น 2ทิโมธี บทที่ 1 ข้อ 5 เปาโลได้อ้างถึงความเชื่อของทิโมธี ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตที่อยู่ที่เมืองลิสตรา (กิจการ16:1) และทิโมธีอยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อดี ซึ่งเขามียายคือ โลอิส และยูนีสผู้เป็นมารดา เป็นหลักของครอบครัว
คุณยายโลอิส เป็นสตรียิวที่ถวายตัว และมีความเชื่อพระเยซูเจ้าที่เข้มแข็ง แล้วนางได้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้แก่ลูกสาว (มารดาของทิโมธี) ซึ่งจากคำสอนของยาย ก็ตกทอดไปยังลูกสาว และต่อไปยังหลานทิโมธี (รุ่นที่ 3) ฉันมั่นใจว่าทั้งยาย และมารดาสอนให้ทิโมธีเดินในทางของพระเจ้าอย่างในสุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไปและเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น”
ชีวิตของเด็กชายทิโมธี จึงไม่พรากจากทางของพระเจ้า หลังจากนั้นเขาได้กลับใจใหม่ยอมรับพระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อโตขึ้นเขากลายเป็นผู้ร่วมงานรับใช้พระเจ้าที่เปาโลรักและไว้วางใจมาก สิ่งที่สำคัญที่อัครทูตเปาโลย้ำเตือนแก่ทิโมธีคือให้ยึดมั่นอยู่กับความจริงของพระเจ้า ซึ่งไม่มีข้อสงสัยเพราะสิ่งเหล่านั้นเขาได้เรียนมาตั้งแต่วัยทารกมาแล้วจากยาย และมารดา นี่คือความจริงที่พ่อแม่หรือผู้อาวุโสคริสตชน ผู้ซึ่งได้มีประสบการณ์กับพระเจ้าแล้ว ได้สอนลูกหลานให้รู้จักหลักคำสอนตั้งแต่วัยเยาว์ เพราะวัยที่เรียนรู้ง่ายที่สุดคือวัยเด็ก ช่างน่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คริสตชนจำนวนมากไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้กลับปล่อยปละละเลยจนยากที่จะนำบุตรหลานกลับมาหาพระบิดาเจ้า จนกลายเป็นปัญหาของลูกหลานชาวคริสต์ไม่ได้ศรัทธาต่อพระเยซูเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดเลย หรือไม่ก็ไปรับนับถือผสมผสานกับความเชื่ออื่นๆที่ไม่มีความรอด หรือลูกหลานบางคนกลับไปรับเอาพระองค์อื่นผู้ไม่เที่ยงแท้แทนพระเจ้าและเป็นผู้นำในการลบหลู่พระเยซูเจ้าเป็นต้น อันที่จริงเรื่องสืบสานความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเป็นหน้าที่ของ พ่อ แม่ และผู้อาวุโสของครอบครัว เราคงจำเรื่องโมเสสท่านได้รับคำสั่งจากพระเจ้าขณะที่กำลังนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์แดนทาสพระเจ้าทรงกำชับโมเสสให้ย้ำสอนคนอิสราเอลว่า
“จงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้ามีบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และพวกท่าน
จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น” (ฉธบ. 6:6-7)
ดังนั้นจะเห็นว่าผู้อาวุโส ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พระเจ้าทรงมอบหมายให้ท่านสอนพระวจนะพระเจ้าแก่บุตรหลาน คุณสมบัติที่เหมาะสมคือท่านเองต้องมีพระวาจาอยู่ในจิตใจแล้ว ชีวิตของท่านจึงจะมีอิทธิพลเหนือลูกหลานไม่ว่าด้านความเชื่อหรือความประพฤติ
ความเชื่อที่ทิโมธีได้เรียนรู้มาตั้งแต่วัยเด็กนั้น จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเขาได้รับสิ่งที่ถูกต้อง จากยาย และมารดา ซึ่งโดยความเชื่อนี้ อัครทูตเปาโล รับประกันว่าเขาได้รับความรอด เพราะเขาได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด
ฉันมีเพื่อสนิทอยู่คนหนึ่ง ขณะนี้รับใช้พระเจ้าเป็นศิษยาภิบาล ฉันได้ฟังคำพยานว่า เธอได้ตอบรับกระแสเรียกถวายตัวรับใช้พระเจ้าเพราะการอธิษฐานภาวนาของยาย ตั้งแต่เธอจำความได้ ยายได้พาเธอไปโบสถ์ ยายสอนเธอให้อธิษฐานภาวนา และท่องพระคัมภีร์ เมื่อเธอจบชั้นมัธยมปลาย เธอได้ถวายตัวทั้งหมดแก่พระเจ้า วันนั้นเป็นวันที่ยายมีความชื่นชมยินดี เพราะยายบอกว่าท่านได้อธิษฐานมอบเธอให้พระเจ้าตั้งแต่เด็กๆ เพื่อให้เธอได้ทำพระราชกิจของพระเจ้าและอย่าให้หลานของท่านออกไปจากทางของพระเจ้า

ดังนั้นพวกเราลูกหลานหรือเด็กๆ ที่มีครอบครัวเป็นผู้ติดตามพระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องขอบคุณบิดา มารดา (ปู่ย่า ตายาย) ซึ่งมีส่วนในชีวิตของเรา พวกท่านได้สอนเราให้รู้จักพระเจ้า ท่านได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างในความเชื่อ ความรักต่อพระเจ้า อิทธิพลของท่านที่ได้รับจากพระเจ้า จึงทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักพระเจ้า เราจึงไม่หลงไปจากทางของพระเจ้า