กระทู้ข้อสงสัยครับ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 16, 2007 4:23 pm

ภาวนาเซนาเคิลคือ......
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ส.ค. 17, 2007 7:56 am

holy holy holy เขียน: ภาวนาเซนาเคิลคือ......
Cenacle แปลตรงตัวคือ ห้องชั้นบน

หมายถึงห้องชั้นบน ซึ่งแม่พระและเหล่าสาวกร่วมกันภาวนา
รับเสด็จพระจิตเจ้าในรูปลิ้นไฟ  (ตามกิจการบทที่2)

การภาวนาเซนาเกิล

เป็นรูปการภาวนากลุ่มแบบหนึ่ง ที่อาศัย  สาส์นการประจักษ์ของแม่พระ
โดย ขอพระจิตเจ้าทรงนำครับ ::017::
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

ศุกร์ ส.ค. 17, 2007 9:16 am

ขอบคุณครับ
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 9:47 pm

เมื่อบาปครบจำนวนที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ พระองค์ก็จะไม่ให้อภัยคนบาปอีกต่อไป
  "อย่าบังอาจทดสอบพระเป็นเจ้าของท่าน" - Matt., 4:7
   โดย นักบุญอัลฟอนซัสเดอลิกกอรี่ (1696-1787) พระสังฆราชและนักปราชญ์พระศาสนจักร http://www.geocities.com/prakobkit/new6/02sin.html
  จริงไหมครับ (ไม่จริงใช่ไหม)

1.. นักบุญเบซิล นักบุญเจอร์โรม นักบุญยอห์นคริสซอสโทม นักบุญออกัสติน และปิตาจารย์อื่นๆ สอนว่าตามพระวาจาในพระคัมภีร์ "พระเป็นเจ้าได้จัดระเบียบทุกสิ่ง โดยวัดตวง กำหนดจำนวน และ ชั่งน้ำหนัก" - Wis. 11:21 พระองค์ได้ทรงกำหนดสำหรับแต่ละคนว่าเขาจะมีชีวิตกี่วัน และจะมีสุขภาพในระดับไหนและพรสวรรค์มากน้อยแค่ไหน แล้วพระองค์ก็กำหนดจำนวนบาปที่พระองค์จะให้อภัย และเมื่อครบจำนวนนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ให้อภัยอีกต่อไป

2. "พระเป็นเจ้าได้ส่งข้าพเจ้ามาบำบัดรักษาดวงใจที่เป็นทุกข์ถึงบาป" - Isa. 61:1 พระเจ้าพร้อมเสมอที่จะบำบัดรักษาคนที่ปรารถนากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี แต่ไม่อาจสงสารคนบาปที่มีใจแข็งกระด้าง พระเจ้าให้อภัยบาป แต่พระองค์ไม่อาจให้อภัยคนที่ตั้งใจทำเคืองพระทัยพระองค์ เราไม่สามารถค้นหาเหตุผลทำไมพระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปบางคน 100 ข้อ และปลิดชีวิตและส่งบางคนไปลงนรกเมื่อเขาทำเพียง 3 หรือ 4 ข้อ พระเจ้าได้ตรัสผ่านประกาศกเอโมสว่า "เพราะดามัสกัสได้ประกอบอาชญากรรม 3 และ 4 ครั้ง เราจะไม่ให้เขาทั้งหลายกลับใจ" - 1:3

3. "จงมีความกลัวเมื่อคิดถึงจำนวนบาปที่ได้รับอภัยแล้ว และอย่าทำบาปเพิ่มอีก" - Eccl. 5:5 โอ้ คนบาป จงอย่าพูดว่า "เนื่องจากพระเป็นเจ้าได้ให้อภัยฉันบาปอื่นๆ พระองค์ก็คงจะให้อภัยบาปข้อนี้ที่ฉันทำ" อย่ากล่าวเช่นนี้เป็นอันขาด เพราะถ้าท่านเพิ่มบาปที่ได้รับอภัยแล้ว ด้วยเหตุนี้ บาปก็จะรวมกันครบจำนวนที่ได้กำหนดไว้ แล้วท่านจะถูกทอดทิ้ง พระคัมภีร์ได้เผยความจริงอย่างชัดเจนว่า "พระเป็นเจ้าทรงเฝ้ารอด้วยความอดทนยิ่งนัก และเมื่อวันพิพากษามาถึง พระองค์จะทรงลงโทษบาปอย่างสาสม" - II. Mac. 6:14

4. ตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระคัมภีร์ ณ ที่หนึ่ง พระเจ้าได้ตรัสถึงชาวฮิบบรูว่า "พวกเขาได้ทดสอบเราบัดนี้ 10 ครั้งแล้ว . . . เขาทั้งหลายจะไม่ได้แลเห็นแผ่นดิน" - Num. 14:22, 23 อีกที่หนึ่ง พระองค์ทรงตรัสว่าพระองค์ได้ยับยั้งการล้างแค้นของพระองค์ต่อชาวอะมอร์ไรท์ เพราะบาปของเขาทั้งหลายยังไม่ครบจำนวนที่ได้กำหนดไว้ "เนื่องจากความชั่วร้ายของชาวอะมอร์ไรท์ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว" - Gen. 15:16 ตัวอย่างอีกอันหนึ่งก็คือเรื่องโซล หลังจากที่เขาไม่ได้นบนอบพระเจ้าเป็นครั้งที่ 2 พระองค์ได้ทอดทิ้งเขา เขาได้ขอร้องซามูเอลช่วยอ้อนวอนพระเจ้าแทนเขา "ข้าพเจ้าวิงวอนท่านโปรดกรุณาแบกบาปของข้าพเจ้า และกลับพร้อมข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเป็นเจ้า" - I Kings 15:25 แต่ เมื่อซามูเอลได้ทราบว่าพระเจ้าได้ทอดทิ้งโซล ซามูเอลได้ตอบว่า "ข้าพเจ้าจะไม่กลับพร้อมท่าน เพราะท่านไม่ยอมรับพระวาจาของพระเป็นเจ้า พระองค์จึงไม่ยอมรับท่าน" etc. - 5:26 โซล ท่านได้ทอดทิ้งพระเจ้า และพระองค์ก็ได้ทอดทิ้งท่าน

มีอีกตัวอย่างหนึ่งเรื่องเจ้าเมืองบัลธาซาร์ ผู้ได้ทุราจารภาชนะพระวิหาร พระองค์ได้เห็นลายมือเขียนบนกำแพง Mane, Thecel, Phares ดาเนียลได้มาตีความหมายของคำเหล่านี้ และทูลว่า "ในตราชั่งพระองค์ถูกวัดตวง และพบว่าพระองค์มีข้อบกพร่องมากมาย" - Dan. 5:27 โดยคำอธิบายนี้ เขาได้ให้ความเข้าใจแก่เจ้าเมืองว่า บาปของพระองค์ในตราชั่งแห่งพระยุติธรรรมของพระเป็นเจ้าหนักมาก ตราชั่งข้างหนึ่งได้หย่อนลงมา "ในคืนนั้นเอง พระเจ้าบัลธาซาร์ พระราชาแห่งเมืองแชลดีนได้ถูกลอบปลงพระชนม์" - Dan 5:30

5. ถ้าพระเจ้าลงโทษคนบาปในขณะที่เขาสบประมาทพระองค์ เราจะไม่เห็นพระองค์ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ เพราะพระองค์ไม่ทรงลงโทษความผิดของเขาอย่างสดๆร้อนๆ และเพราะโดยพระเมตตา พระองค์ทรงยับยั้งการเคืองพระทัยของพระองค์และเฝ้ารอให้เขากลับใจ เขาก็ได้ใจยิ่งทำเคืองพระทัยพระองค์ต่อไป "เนื่องจากพระเป็นเจ้ามิได้ตัดสินลงโทษความชั่วอย่างรวดเร็ว ลูกหลานของมนุษย์ทำชั่วโดยไม่มีความกลัว" - Eccles. 8:11 แต่ ท่านจำต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า แม้ว่าพระเจ้าทรงมีความอดทนอย่างไม่มีขอบเขต พระองค์จะไม่รอหรืออดทนต่อบาปของเราตลอดไป

6.6. ด้วยเหตุนี้ ตามคำสั่งสอนของนักบุญคริสซอสโทม พระเจ้าทรงน่ากลัว เมื่อพระองค์มีความอดทนต่อคนบาป มากกว่า เมื่อพระองค์ทรงลงโทษคนบาปอย่างทันควัน และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะนักบุญเกรกกอรี่พูดว่า คนที่พระเจ้าได้แสดงพระเมตตามากที่สุด จะถูกลงโทษหนักที่สุดถ้าเขาไม่หยุดทำเคืองพระทัยพระองค์ ท่านพูดเพิ่มเติมว่า บ่อยๆพระเจ้าลงโทษคนบาปชนิดนั้นให้ตายอย่าง ปัจจุบันทันด่วน และไม่อนุญาตให้เขามีเวลาสำหรับเป็นทุกข์ถึงบาป และยิ่งพระเจ้าทรงประทานความสว่างแก่คนบาปมากเพียงใด ความมืดสนิทและความแข็งกระด้างในความบาปก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเพียงนั้น "เพราะ ถ้าพวกเขาไม่รู้จักหนทางแห่งพระยุติธรรม จะดีกว่า หลังจากพวกเขาได้รู้หนทางนั้น แล้วและกลับไปทำบาปต่อ" - II Pet. 2:21

7. โอ้ คนบาป จงนอบน้อมฟังคำตักเตือนของพระเจ้า "ลูกรัก เจ้าได้ทำบาปใช่ไหม? จงอย่าทำบาปอีกต่อไป แต่จงสวดวิงวอนขอให้บาปที่เจ้าเคยทำได้รับการอภัย" - Eccl. 21:1 ลูกๆ อย่าทำบาปเพิ่มเติม แต่จงเอาใจใส่เพียรภาวนาอ้อนวอนพระเจ้าโปรดทรงอภัยบาปของเจ้าในอดีต มิฉะนั้น ถ้าเจ้าทำบาปหนักอีกเพียงข้อเดียว ประตูแห่งพระเมตตาของพระเจ้าจะปิดตายสำหรับเจ้า และวิญญาณของเจ้าจะสูญเสียไปตลอดกาล

8. โอ้ คนบาป ช่างโง่จริงๆ ถ้าท่านซื้อบ้าน ท่านก็จะจ้างคนคอยเฝ้าดูแลไม่ให้ทรัพย์สินของท่านสูญหายไป ถ้าท่านทานยา ท่านก็จะวางใจว่าท่านจะหายเจ็บป่วย ถ้าท่านข้ามแม่น้ำลำธาร ท่านก็จะระมัดระวังไม่ให้ตกลงไปในน้ำ แต่สำหรับความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วยาม การล้างแค้นสมใจปรารถนา การหาความสุขทางเนื้อหนัง ซึ่งเกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยวเดียวแล้วก็อันตรธานหายไป

ท่านยอมเสี่ยงความรอดของท่านชั่วนิรันดร โดยพูดว่า ฉันจะไปแก้บาปหลังจากฉันทำบาปแล้ว ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านจะไปแก้บาปเมื่อไร? ท่านตอบว่า พรุ่งนี้ แต่ใครสัญญาว่าท่านจะมีวันพรุ่งนี้ ใครให้ความมั่นใจแก่ท่านว่าท่านจะมีเวลาสำหรับแก้บาป และพระเจ้าจะไม่ปลิดชีวิตของท่านเหมือนดั่งที่พระองค์ได้ทรงทำกับหลายๆคนมาแล้วในขณะทำบาป นักบุญออกัสตินพูดเป็นภาษาลาตินว่า "Diem tenes qui horam non tenes" ท่านไม่อาจแน่ใจว่าท่านจะมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า และท่านบอกว่า ฉันจะไปแก้บาปพรุ่งนี้ จงตั้งใจฟังคำของนักบุญเกรกกอรี่ "พระองค์ ผู้ได้สัญญาให้อภัยคนบาป ไม่ได้สัญญาวันพรุ่งนี้สำหรับคนบาป" - Hom. 12 in Evan

9. เพื่อความสุขเพียงชั่วครู่เดียว ท่านจะยอมเสี่ยง เข้าของเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง อิสระภาพ และชีวิตของท่านหรือ? แน่นอน ท่านคงไม่ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร สำหรับความสุขชั่วครู่เดียวบนความหายนะตลอดกาล ท่านยอมสูญเสียวิญญาณ เมืองสวรรค์ และพระเจ้าของท่านชั่วนิรันดร? บอกข้าพเจ้าหน่อยสิว่า ท่านเชื่อไหมว่า มีสวรรค์ นรก และชีวิตนิรันดร? นี่เป็นข้อความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิก ท่านเชื่อไหมว่า ถ้าท่านตายในบาป ท่านจะเสียชีวิตนิรันดร? โอ้ ความไม่คิดอะไรให้ดีก่อนทำ ความโง่เขลาเบาปัญญา ท่านเต็มใจลงโทษตัวเองไปสู่การทรมานชั่วนิรันดร โดยหวังว่าในภายหลังท่านสามารถเปลี่ยนคำตัดสินลงโทษจากหน้ามือเป็นหลังมือ

นักบุญออกัสตินพูดภาษาลาตินอีกว่า "Nemo sub spe salutis vult aegrotare" ไม่มีใครโง่พอที่จะดื่มยาพิษโดยหวังว่าจะมีหมอวิเศษมาช่วยเยียวยารักษาอาการปางตายของเขาได้ โอ้ ความโง่เขลาเบาปัญญา ตามคำขู่จากเบื้องบน ทุกวัน คนบาปหลายๆคนถูกปิศาจจับโยนลงนรก "เจ้าได้วางใจในความผิดของเจ้า ความชั่วร้ายจะรุมกันทับถมเจ้า และเจ้าจะไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย" - Isa. 47:10, 11
แก้ไขล่าสุดโดย holy holy holy เมื่อ ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 9:52 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
~*Little`Child*~
~@
โพสต์: 202
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 11:52 pm

เสาร์ ส.ค. 25, 2007 12:32 pm

holy holy holy เขียน: 1.. นักบุญเบซิล นักบุญเจอร์โรม นักบุญยอห์นคริสซอสโทม นักบุญออกัสติน และปิตาจารย์อื่นๆ สอนว่าตามพระวาจาในพระคัมภีร์ "พระเป็นเจ้าได้จัดระเบียบทุกสิ่ง โดยวัดตวง กำหนดจำนวน และ ชั่งน้ำหนัก" - Wis. 11:21 พระองค์ได้ทรงกำหนดสำหรับแต่ละคนว่าเขาจะมีชีวิตกี่วัน และจะมีสุขภาพในระดับไหนและพรสวรรค์มากน้อยแค่ไหน แล้วพระองค์ก็กำหนดจำนวนบาปที่พระองค์จะให้อภัย และเมื่อครบจำนวนนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ให้อภัยอีกต่อไป
พระองค์ได้ทรงกำหนดสำหรับแต่ละคนว่าเขาจะมีชีวิตกี่วัน
--- ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดอายุของมนุษย์คนไว้อยู่แล้ว
จะมีสุขภาพในระดับไหนและพรสวรรค์มากน้อยแค่ไหน
--- เป็นพระพรที่มนุษย์คนนั้นๆได้รับจากพระเจ้า
พระองค์ได้ทรงกำหนดทุกอย่างของชีวิตมนุษย์แต่ละคนไว้แล้ว แม้กระทั่งแต่ละวันนั้นเส้นผมมนุษย์คนนั้นๆจะหลุดกี่เส้น...
ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้แล้วเช่นกัน และพระองค์ก็จะกำหนดให้มนุษย์คนนั้นๆได้ทำบาปเท่าไหร่ อย่างไร
และจะได้รับการอภัยจากพระเมตตาของพระองค์

แล้วพระองค์ก็กำหนดจำนวนบาปที่พระองค์จะให้อภัย และเมื่อครบจำนวนนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ให้อภัยอีกต่อไป 
--- คงจะกล่าวถึงวันพิพากษา...เมื่อถึงวันนั้น พระองค์จะไม่ให้อภัยบาปต่อไป แต่จะเป็นการพิพากษาที่ยุติธรรมเที่ยงตรง ตามการกระทำของมนุษย์แต่ละคน ไม่มีการให้อภัยแล้ว มีแต่ความยุติธรรมของการตัดสินที่จะพิจารณาอย่างเหมาะสม พระองค์จะมาแยกแพะออกจากแกะด้วยพระองค์เอง

รอจนกว่าวันนั้นจะมาถึงแล้วกันนะคะ วันที่จะได้สบพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
บาปทุกอย่างของการกระทำเราจะปรากฏ ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์และตัวของเราเอง
สวรรค์นิรัดร์ หรือ นรกนิรัดร์... อ้อนวอนพระเมตตาของพระองค์เถิด...
อย่าให้ความบาปมาครอบงำจิตวิญญาณที่เราต้องกลับไปหาพระผู้สร้างเลย...
เพียงอย่าทำตามความประสงค์ของตน แต่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
พระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้า จะชำระล้างเราจากบาปที่ซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์...
วิงวอนขอพระเมตตาของพระองค์เทอญ   


ขอพระเจ้าสถิตย์กับท่านทุกคน
God blessed you 
::014::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ส.ค. 25, 2007 12:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

เสาร์ ส.ค. 25, 2007 2:05 pm

อื้มม... :undecided:

เราอาจจะรู้จักพระเจ้าแห่งความรักที่สุดจะหยั่งถึง  : xemo017 :
แต่ก็อย่าลืมว่าพระองค์ก็ทรงเที่ยงธรรมอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน : emo027 :

พระเจ้ารักเรา และอภัยให้เราทุกครั้งที่เราสำนึกผิด
แต่...เราจะมีเวลาถึงเวลาที่เราจะสำนึกผิดรึเปล่า
เราอาจจะตายระหว่างที่เรายังไม่ได้สำนึกผิดก็ได้ : emo031 :

เพราะฉะนั้น...
อย่าไว้วางใจในความผิดของตัวเอง และคิดว่าไม่เป็นไรหรอก
อย่าไว้วางใจในความผิดของตัวเอง เพราะเราอาจจะตายก่อนที่จะสำนึกผิด
อย่าไว้วางใจในความผิดของตัวเอง เพราะระหว่างที่พระเจ้ากำลังเคืองพระทัย พระอาจจะยกเราไปเมื่อไหร่ก็ได้... เราไม่มีทางรู้ : xemo023 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ ส.ค. 25, 2007 4:17 pm

Zaliaus เขียน:
ใครเคยดูการ์ตูน "แม่มดน้อยจอมแก่น"บ้าง  ที่มีคนแก่ๆมาระบำ คิตะๆ และก็มีเด็กผู้ชายเป็น "ท่านผู้กล้า" อ่ะ ชอบๆ

ปล.เคยได้ยินเรื่องผงเงินผงทองมั้ยครับ อันนี้อธิบายยังไงครับ
ถ้าหมายถึงคนที่อ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากสวรรค์เวลามีใครได้พระพร อันนี้เคยได้ยิน แต่ไม่เชื่อตามนั้นครับ

คริสตศาสนาโดยเฉพาะคาทอลิคสอนว่า พระหรรษทานเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ทุกคน เพียงแต่แตกต่างกัน และอาจมากน้อยต่างกัน เพราะฉะนั้น ไม่มีใครในโลกที่ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า เพราะมิฉะนั้นเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย

1คร 7:7
พระเจ้าประทานพระพรพิเศษให้แต่ละคน คนหนึ่งได้รับพระพรนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับพระพรนั้น


เราคงจำอุปมาเรื่องเงินตะลันด์ ที่พระเจ้าแจกให้นั้นแจกทุกคนแต่บางคนอื่จได้มากได้น้อยตามความสามารถของเขา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้ ดังนั้น ไม่มีการข่มกันว่าฉันได้พระพรมากกว่าคนอื่น ตรงข้ามคนที่ได้พระพรต้องตระหนักเสมอว่าเราทุกคนได้รับพระพรมาเพื่อเสริมสร้างกัน ไม่ได้มาอวดเบ่ง

รม 12:3-13  ความถ่อมตนและความรัก
เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่าพระเจ้าประทานความเชื่อ ให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน  เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด  แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน  ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน  ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี  จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน  อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา  จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี




อันนี้ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่จะว่าคริสตจักรอื่น แต่อยากจะบอกว่า จุดอ่อนของคริสตจักรที่ไม่เอานักบุญ คือ ขาดพระคัมภีร์ที่มีชีวิตและตัวอย่างของประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนแปลงพัฒนา กล่าวคือ ในพระศาสนจักรคาทอลิคมีเรื่องของบรรดานักบุญ ทำให้เรามีคำพยานจำนวนมากจากผู้ที่เรามั่นใจว่ามาจากพระเจ้า ในการประกอบความเข้าใจเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่ได้ลงลึกไว้ เช่นเรื่องพระพรการเห็นนิมิตหรืออะไรต่างๆ คาทอลิคมีนักบุญที่เพ่งญาณหลายท่าน และได้เคยสอนเราไว้ว่า นิมิตนั้นสามารถเห็นต่างกันได้ และไม่ใช่ทุกคนจะเห็นทั้งหมด และไม่ใช่ว่าจะเห็นอย่างถูกต้อง

บางครั้งนิมัตถูกปรับตามประสบการณ์ของผู้รับนิมมิตเพื่อเขาจะเข้าใจได้ บางกรณี อยู่ด้วยกัน3คน รับนิมิตเรื่องเดียวกัน แต่มีคนหนึ่งรับนิมิตได้ไม่ครบเท่าคนอื่น ขาดรายละเอียดบางอย่าง หรือบางกรณีเวลาจิตตก จิตขุ่นมัว ขาดความรัก ก็ไม่อาจรับอะไรที่พระเจ้าส่งมาได้ครบครัน ฯลฯ ดังนั้นกรณีที่ผมเคยได้ยินว่ามีบางคริสตจักรอ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากฟ้า มีแค่บางคนได้รับ แปลว่าได้พระพร ใครไม่มีผงลอยลงมาหาแปลว่าไม่มีพระพร ผมวิเคราะห์ได้ว่า อาจจะเป็นไปได้หลายทางคือ 1.ไม่จริงเขาคิดไปเอง 2.เขาเห็นพระพรแค่บางอย่างแต่ไม่เห็นทุกอย่าง เขาเลยเห็นว่ามีลงมาหาบางคนแล้วสรุปไปเองว่าของคนที่ไม่เห็นแปลว่าไม่มี 3.เป็นอคติส่วนตัวประกอบทำให้เขาไม่เห็นของบางคน 4.มารหลอก 5.หลอกตัวเอง

แต่ที่แน่ๆ ไม่มีกรณีว่ามีคนที่ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าอะไรสักอย่างแน่นนอน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

เสาร์ ส.ค. 25, 2007 4:47 pm

Holy เขียน:
Zaliaus เขียน:
ใครเคยดูการ์ตูน "แม่มดน้อยจอมแก่น"บ้าง  ที่มีคนแก่ๆมาระบำ คิตะๆ และก็มีเด็กผู้ชายเป็น "ท่านผู้กล้า" อ่ะ ชอบๆ

ปล.เคยได้ยินเรื่องผงเงินผงทองมั้ยครับ อันนี้อธิบายยังไงครับ
ถ้าหมายถึงคนที่อ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากสวรรค์เวลามีใครได้พระพร อันนี้เคยได้ยิน แต่ไม่เชื่อตามนั้นครับ

คริสตศาสนาโดยเฉพาะคาทอลิคสอนว่า พระหรรษทานเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ทุกคน เพียงแต่แตกต่างกัน และอาจมากน้อยต่างกัน เพราะฉะนั้น ไม่มีใครในโลกที่ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า เพราะมิฉะนั้นเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย

1คร 7:7
พระเจ้าประทานพระพรพิเศษให้แต่ละคน คนหนึ่งได้รับพระพรนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับพระพรนั้น


เราคงจำอุปมาเรื่องเงินตะลันด์ ที่พระเจ้าแจกให้นั้นแจกทุกคนแต่บางคนอื่จได้มากได้น้อยตามความสามารถของเขา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้ ดังนั้น ไม่มีการข่มกันว่าฉันได้พระพรมากกว่าคนอื่น ตรงข้ามคนที่ได้พระพรต้องตระหนักเสมอว่าเราทุกคนได้รับพระพรมาเพื่อเสริมสร้างกัน ไม่ได้มาอวดเบ่ง

รม 12:3-13  ความถ่อมตนและความรัก
เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่าพระเจ้าประทานความเชื่อ ให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน  เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด  แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน  ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน   ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี  จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน  อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา  จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี




อันนี้ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่จะว่าคริสตจักรอื่น แต่อยากจะบอกว่า จุดอ่อนของคริสตจักรที่ไม่เอานักบุญ คือ ขาดพระคัมภีร์ที่มีชีวิตและตัวอย่างของประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนแปลงพัฒนา กล่าวคือ ในพระศาสนจักรคาทอลิคมีเรื่องของบรรดานักบุญ ทำให้เรามีคำพยานจำนวนมากจากผู้ที่เรามั่นใจว่ามาจากพระเจ้า ในการประกอบความเข้าใจเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่ได้ลงลึกไว้ เช่นเรื่องพระพรการเห็นนิมิตหรืออะไรต่างๆ คาทอลิคมีนักบุญที่เพ่งญาณหลายท่าน และได้เคยสอนเราไว้ว่า นิมิตนั้นสามารถเห็นต่างกันได้ และไม่ใช่ทุกคนจะเห็นทั้งหมด และไม่ใช่ว่าจะเห็นอย่างถูกต้อง

บางครั้งนิมัตถูกปรับตามประสบการณ์ของผู้รับนิมมิตเพื่อเขาจะเข้าใจได้ บางกรณี อยู่ด้วยกัน3คน รับนิมิตเรื่องเดียวกัน แต่มีคนหนึ่งรับนิมิตได้ไม่ครบเท่าคนอื่น ขาดรายละเอียดบางอย่าง หรือบางกรณีเวลาจิตตก จิตขุ่นมัว ขาดความรัก ก็ไม่อาจรับอะไรที่พระเจ้าส่งมาได้ครบครัน ฯลฯ ดังนั้นกรณีที่ผมเคยได้ยินว่ามีบางคริสตจักรอ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากฟ้า มีแค่บางคนได้รับ แปลว่าได้พระพร ใครไม่มีผงลอยลงมาหาแปลว่าไม่มีพระพร ผมวิเคราะห์ได้ว่า อาจจะเป็นไปได้หลายทางคือ 1.ไม่จริงเขาคิดไปเอง 2.เขาเห็นพระพรแค่บางอย่างแต่ไม่เห็นทุกอย่าง เขาเลยเห็นว่ามีลงมาหาบางคนแล้วสรุปไปเองว่าของคนที่ไม่เห็นแปลว่าไม่มี 3.เป็นอคติส่วนตัวประกอบทำให้เขาไม่เห็นของบางคน 4.มารหลอก 5.หลอกตัวเอง

แต่ที่แน่ๆ ไม่มีกรณีว่ามีคนที่ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าอะไรสักอย่างแน่นนอน
ขอบคุณครับ  แต่ที่ผมหมายถึง น่าจะไม่ใช่แบบนี้ครับ
คือมีอยู่คราวหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมกับแม่ไปร่วมงานฟื้นฟู(คาทอลิกเค้าเรียกอะไรหรือ) ที่จัดโดยอาจารย์ท่านหนึ่งจากประเทศเกาหลี(เกาหลีอีกแล้ว) ท่านอ้างความมีของประทาน(คาทอลิกเรียกว่าอะไรหรือ) ท่านเทศน์ประมาณว่าพระเจ้ามีจริงนะ มีอำนาจมากด้วย ฯลฯ (ประมาณนี้แหละครับ เพราะในงานนั้นมีคนที่ยังไม่เชื่อเยอะมากๆ) แล้วก็อธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ดังๆ (แนวเกาหลี) ปรากฏว่ามันจะเกิดผงทองๆ เหมือนฝุ่นแป้ง ขึ้นตามตัวของคนในงานอ่ะครับ แต่บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนก็ไม่มี (ผมคนนึง) มีน้องคนนึงเค้ายังไม่เชื่อ ท้าว่าถ้าพระเจ้ามีจริงก็ทำอะไรให้ดูสักอย่างสิ ปรากฏว่าที่ตัวน้องเขามีผงทองขึ้นมากเยอะมากๆ เราเลยงงไปตามๆกัน.......อธิบายไม่ค่อยจะถูกนะครับ คำบางคำก็อาจไม่รื่นหู ขอโทษทีครับ  อย่างนี้เค้าเรียกหมายสำคัญหรือเปล่าครับ และทำไมอาจารย์คนนี้ถึงขอหมายสำคัญได้ครับ....
ปล.เหตุการณ์นี้ไม่ได้มาจากซานตานใช่ไหมครับ น่าหวั่นมากๆ   
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 2:36 am

Zaliaus เขียน:
Holy เขียน:
Zaliaus เขียน:
ใครเคยดูการ์ตูน "แม่มดน้อยจอมแก่น"บ้าง  ที่มีคนแก่ๆมาระบำ คิตะๆ และก็มีเด็กผู้ชายเป็น "ท่านผู้กล้า" อ่ะ ชอบๆ

ปล.เคยได้ยินเรื่องผงเงินผงทองมั้ยครับ อันนี้อธิบายยังไงครับ
ถ้าหมายถึงคนที่อ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากสวรรค์เวลามีใครได้พระพร อันนี้เคยได้ยิน แต่ไม่เชื่อตามนั้นครับ

คริสตศาสนาโดยเฉพาะคาทอลิคสอนว่า พระหรรษทานเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ทุกคน เพียงแต่แตกต่างกัน และอาจมากน้อยต่างกัน เพราะฉะนั้น ไม่มีใครในโลกที่ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า เพราะมิฉะนั้นเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย

1คร 7:7
พระเจ้าประทานพระพรพิเศษให้แต่ละคน คนหนึ่งได้รับพระพรนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับพระพรนั้น


เราคงจำอุปมาเรื่องเงินตะลันด์ ที่พระเจ้าแจกให้นั้นแจกทุกคนแต่บางคนอื่จได้มากได้น้อยตามความสามารถของเขา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ให้ ดังนั้น ไม่มีการข่มกันว่าฉันได้พระพรมากกว่าคนอื่น ตรงข้ามคนที่ได้พระพรต้องตระหนักเสมอว่าเราทุกคนได้รับพระพรมาเพื่อเสริมสร้างกัน ไม่ได้มาอวดเบ่ง

รม 12:3-13  ความถ่อมตนและความรัก
เดชะพระหรรษทานที่ข้าพเจ้าได้รับ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านแต่ละคนว่า อย่าคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่าพระเจ้าประทานความเชื่อ ให้แต่ละบุคคลมากน้อยต่างกัน  เพราะร่างกายของเรามีองค์ประกอบหลายส่วน และส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีหน้าที่เดียวกันฉันใด  แม้เราจะมีจำนวนมาก เราก็รวมเป็นร่างกายเดียวในพระคริสตเจ้าฉันนั้น โดยแต่ละคนต่างเป็นส่วนร่างกายของกันและกัน เรามีพระพรพิเศษแตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระองค์ประทานให้ ผู้ได้รับพระพรที่จะประกาศพระวาจา ก็จงใช้พระพรนั้นมากน้อยตามส่วนความเชื่อของตน  ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะรับใช้ ก็จงรับใช้ ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะสอน ก็จงสอน   ผู้ที่ได้รับพระพรที่จะตักเตือน ก็จงตักเตือน ผู้ที่บริจาค ก็จงบริจาคด้วยความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจ ผู้ที่เป็นผู้นำ ก็จงทำหน้าที่ผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตากรุณา ก็จงแสดงความเมตตากรุณาด้วยใจยินดี  จงรักด้วยใจจริง จงหลีกหนีความชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน  อย่าเฉื่อยชา จงมีจิตใจกระตือรือร้นในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา  จงเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพี่น้องคริสตชนในยามขัดสน จงต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี




อันนี้ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่จะว่าคริสตจักรอื่น แต่อยากจะบอกว่า จุดอ่อนของคริสตจักรที่ไม่เอานักบุญ คือ ขาดพระคัมภีร์ที่มีชีวิตและตัวอย่างของประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนแปลงพัฒนา กล่าวคือ ในพระศาสนจักรคาทอลิคมีเรื่องของบรรดานักบุญ ทำให้เรามีคำพยานจำนวนมากจากผู้ที่เรามั่นใจว่ามาจากพระเจ้า ในการประกอบความเข้าใจเรื่องที่พระคัมภีร์ไม่ได้ลงลึกไว้ เช่นเรื่องพระพรการเห็นนิมิตหรืออะไรต่างๆ คาทอลิคมีนักบุญที่เพ่งญาณหลายท่าน และได้เคยสอนเราไว้ว่า นิมิตนั้นสามารถเห็นต่างกันได้ และไม่ใช่ทุกคนจะเห็นทั้งหมด และไม่ใช่ว่าจะเห็นอย่างถูกต้อง

บางครั้งนิมัตถูกปรับตามประสบการณ์ของผู้รับนิมมิตเพื่อเขาจะเข้าใจได้ บางกรณี อยู่ด้วยกัน3คน รับนิมิตเรื่องเดียวกัน แต่มีคนหนึ่งรับนิมิตได้ไม่ครบเท่าคนอื่น ขาดรายละเอียดบางอย่าง หรือบางกรณีเวลาจิตตก จิตขุ่นมัว ขาดความรัก ก็ไม่อาจรับอะไรที่พระเจ้าส่งมาได้ครบครัน ฯลฯ ดังนั้นกรณีที่ผมเคยได้ยินว่ามีบางคริสตจักรอ้างว่าเห็นผงเงินผงทองลอยลงมาจากฟ้า มีแค่บางคนได้รับ แปลว่าได้พระพร ใครไม่มีผงลอยลงมาหาแปลว่าไม่มีพระพร ผมวิเคราะห์ได้ว่า อาจจะเป็นไปได้หลายทางคือ 1.ไม่จริงเขาคิดไปเอง 2.เขาเห็นพระพรแค่บางอย่างแต่ไม่เห็นทุกอย่าง เขาเลยเห็นว่ามีลงมาหาบางคนแล้วสรุปไปเองว่าของคนที่ไม่เห็นแปลว่าไม่มี 3.เป็นอคติส่วนตัวประกอบทำให้เขาไม่เห็นของบางคน 4.มารหลอก 5.หลอกตัวเอง

แต่ที่แน่ๆ ไม่มีกรณีว่ามีคนที่ไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้าอะไรสักอย่างแน่นนอน
ขอบคุณครับ  แต่ที่ผมหมายถึง น่าจะไม่ใช่แบบนี้ครับ
คือมีอยู่คราวหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมกับแม่ไปร่วมงานฟื้นฟู(คาทอลิกเค้าเรียกอะไรหรือ) ที่จัดโดยอาจารย์ท่านหนึ่งจากประเทศเกาหลี(เกาหลีอีกแล้ว) ท่านอ้างความมีของประทาน(คาทอลิกเรียกว่าอะไรหรือ) ท่านเทศน์ประมาณว่าพระเจ้ามีจริงนะ มีอำนาจมากด้วย ฯลฯ (ประมาณนี้แหละครับ เพราะในงานนั้นมีคนที่ยังไม่เชื่อเยอะมากๆ) แล้วก็อธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ดังๆ (แนวเกาหลี) ปรากฏว่ามันจะเกิดผงทองๆ เหมือนฝุ่นแป้ง ขึ้นตามตัวของคนในงานอ่ะครับ แต่บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนก็ไม่มี (ผมคนนึง) มีน้องคนนึงเค้ายังไม่เชื่อ ท้าว่าถ้าพระเจ้ามีจริงก็ทำอะไรให้ดูสักอย่างสิ ปรากฏว่าที่ตัวน้องเขามีผงทองขึ้นมากเยอะมากๆ เราเลยงงไปตามๆกัน.......อธิบายไม่ค่อยจะถูกนะครับ คำบางคำก็อาจไม่รื่นหู ขอโทษทีครับ  อย่างนี้เค้าเรียกหมายสำคัญหรือเปล่าครับ และทำไมอาจารย์คนนี้ถึงขอหมายสำคัญได้ครับ....
ปล.เหตุการณ์นี้ไม่ได้มาจากซานตานใช่ไหมครับ น่าหวั่นมากๆ   
อาจจะอันเดียวกันแหละครับเพราะผมไม่ได้ประสบเอง แต่เขาเล่ามา

ตัดสินไม่ได้หรอกครับว่ามาจากใคร การพิสูจน์ของประทานพระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้ดูหมายสำคัญด้วยตาแบบนั้นอยู่แล้วนะครับ ของประทานทุกอย่างต้องเสริมสร้างครับ

การเสริมสร้างมี2อย่าง 1เสริมสร้างตนเอง 2เสริมสร้างผู้อื่นหรือคริสตจักร

การเสริมสร้างตนเอง คือการเติบโตครับ เติบโตในพระจิตเจ้า ตายจากบาป ปรับปรุงตัว เปลี่ยนแปลงตัวเอง ละทิ้งความบาป ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ แต่อาจค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ถือว่าเติบโตฝ่ายจิตจริง ช่วยยืนยันได้ว่าสิ่งนั้นมาจากพระ

การเสริมสร้างผุ้อื่นหรือพระศาสนจักร คือการเกิดผลครับ การเติบโตน่ะนะครับ โตแล้วไม่เกิดผลก็ไร้ประโยชน์ครับ ศาสนาคริสต์เราไม่ใช่ศาสนาช่วยตัวเอง แต่เป็นศาสนาช่วยคนอื่น ดังนั้นถ้าใครศักดิ์สิทธิ์ม้ากมาก แต่ไม่ช่วยใครเลย ไม่เสริมสร้างเลย เอาตัวรอดคนเดียว ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีครับ ต้นไม้งาม ถ้าไม่เกิดผลก็โดนตัดอยู่ดี พระคัมภีร์เน้นว่า พิสูจน์ประกาศกเทียมจากผลของเขา ผลที่ว่าไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นคุณภาพ คือต้องเป็นผลที่ดีด้วย ไม่ใช่มีเยอะแต่เป็นผลที่ไม่ดีซะมาก คือเป็นองุ่นหวานที่งอกจากต้นองุ่นที่ดี เพราะพงหนามให้ผลองุ่นไม่ได้ ดังนั้นถ้าคนๆนั้นมีของประทานแล้ว แต่หมกไว้เฉยๆไม่เอาไปเสริมสร้างพระศาสนจักรหรือผู้อื่น พระพรก็หมันอยู่ดี คือคนได้ตะลันด์มากแต่ดันฝังดิน ค่าเท่ากับไร้ค่าครับ

ดังนั้นเราไม่พิสูจน์กันด้วยผงทอง แต่เราพิสูจน์กันด้วย2อย่างนี้ ถ้าคนนั้นมีผงทองแล้ว
1 ชีวิตเขาเปลี่ยนไปทางพระมีสันติสุขเจริญฝ่ายจิต และ
2 เสริมสร้างพระศาสนจักรช่วยเหลือผู้อื่นทั้งด้วยการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่คำภาวนา (ลองอ่านสารแม่พระนะครับ แม่พระเคยตรัสว่าพระบิดาพอพระทัยที่สุดเวลาเราขอให้คนอื่นไม่ใช่ขอให้ตัวเอง)


ก็แปลว่าได้รับพระพรจริงครับ เพราะสิ่งดีทั้งหมดมาจากพระ แต่ถ้าใครไม่สำแดงอะไรเลย เหมือนเดิม หรือยิ่งแย่ บางคนจองหอง อยากใหญ่ คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ก็จบข่าวครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 2:39 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 2:42 am

พระคัมภีร์สอนเราว่าใครมีของประทานหรือมีอะไรไม่ให้ด่วนตัดสินนะครับ แต่ให้ใช้เวลาครับ

1คร 4:1
คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแลธรรมล้ำลึกของพระเจ้า  คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการก็คือ ต้องเป็นผู้ที่วางใจได้  ส่วนข้าพเจ้าการที่ท่านหรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้านั้น เป็นเรื่องไม่สำคัญ แม้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ตัดสินตนเอง  จริงอยู่ มโนธรรมไม่ได้ตำหนิอะไรข้าพเจ้าเลย แต่นี่ไม่หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ตัดสินข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จงอย่าตัดสินเรื่องใด ๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดแจ่มแจ้ง และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ เมื่อนั้น ทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร

ดังนั้นผมเชื่อว่าใครมีของประทานต้องใช้เวลาพิสูจน์ครับ คงไม่ง่ายและเร็วเหมือนแม่ชีทศพรดูชาติก่อนของคนอื่นขนาดนั้นครับ
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

จันทร์ ส.ค. 27, 2007 10:48 am

ขอบคุณครับ  แต่ที่ผมหมายถึง น่าจะไม่ใช่แบบนี้ครับ
คือมีอยู่คราวหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมกับแม่ไปร่วมงานฟื้นฟู(คาทอลิกเค้าเรียกอะไรหรือ) ที่จัดโดยอาจารย์ท่านหนึ่งจากประเทศเกาหลี(เกาหลีอีกแล้ว) ท่านอ้างความมีของประทาน(คาทอลิกเรียกว่าอะไรหรือ) ท่านเทศน์ประมาณว่าพระเจ้ามีจริงนะ มีอำนาจมากด้วย ฯลฯ (ประมาณนี้แหละครับ เพราะในงานนั้นมีคนที่ยังไม่เชื่อเยอะมากๆ) แล้วก็อธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ ดังๆ (แนวเกาหลี) ปรากฏว่ามันจะเกิดผงทองๆ เหมือนฝุ่นแป้ง ขึ้นตามตัวของคนในงานอ่ะครับ แต่บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนก็ไม่มี (ผมคนนึง) มีน้องคนนึงเค้ายังไม่เชื่อ ท้าว่าถ้าพระเจ้ามีจริงก็ทำอะไรให้ดูสักอย่างสิ ปรากฏว่าที่ตัวน้องเขามีผงทองขึ้นมากเยอะมากๆ เราเลยงงไปตามๆกัน.......อธิบายไม่ค่อยจะถูกนะครับ คำบางคำก็อาจไม่รื่นหู ขอโทษทีครับ  อย่างนี้เค้าเรียกหมายสำคัญหรือเปล่าครับ และทำไมอาจารย์คนนี้ถึงขอหมายสำคัญได้ครับ....
ปล.เหตุการณ์นี้ไม่ได้มาจากซานตานใช่ไหมครับ น่าหวั่นมากๆ   
เคยมีอาจารย์ที่เกาหลีเล่าให้ฟังเรื่องข่าวคราวอันโด่งดังในเกาหลีเกี่ยวกับมหัศจรรย์ไล่ผีดังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งนัยว่าไล่ผีรักษาโรคก่อน ชาวบ้านชาวเมืองก็แห่กันไปหาแก วิธีการของแกคือให้มารวมๆกัน แกก็เดินไปในฝูงคนที่มารักษาแล้วชี้บอกรายหัวเลยว่า เธอมีผีกี่ตัว เจ้าผีมีกี่ตัว แล้วเอามือจับปื๊ดๆๆๆ ผีออก ปรากฎว่าสืบไปสืบมาพี่แกเล่นเอาไฟฟ้าอ่อนๆช๊อต ทำให้เหมือนมีอิทธิฤทธิ์อธิษฐานไล่ผีได้

อีกอันหนึ่งอันนี้ประสบการณ์ตรง โบสถ์เก่าของผมเขามีไปอธิษฐานใต้ต้นไม้แห่งความรัก ต้นไม้แห่งชีวิต ฯลฯ (เอาน่า เขาเรียกของเขาอย่างนั้น) ที่เกาหลี ทีนี้เขาบอกว่ามันมีคนเห็นทูตสวรรค์บนต้นไม้ แถมยังมีคนถ่ายรูปไว้ได้อีกด้วย ก็พิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกกันไป (ดูๆก็คล้ายๆกับภาพอัศจรรย์จตุคามที่หนังสือพิมพ์บ้านเราชอบเอามาลง) เอาละสิครับ หลังจากนั้นมาหลายๆคนเวลาไปที่นั่นก็เฝ้ามองหากันแต่ทูตสวรรค์ ไอ้ไปอธิษฐานสำนึกบาปรับพรอะไรก็ทำกันไปนั่นแหละครับ แต่หลายๆคนก็พ่วงการเห็นทูตวรรค์กันเป็นของแถม ใครได้เห็นก็เป็นทีชื่นชมว่าความเชื่อดี ใครไม่ได้เห็นบางคนก็น้อยอกน้อยใจนิดหน่อยว่ายังใสไม่กิ๊กเลยอดเห็น ย้ำว่าบางคนนะครับไม่ได้รวมทั้งหมด

ทีนี้เขาก็มีการรักษาโรคด้วย ทุกคนก็จะไปรวมๆกันในห้องใหญ่คนมากน้อยแล้วแต่ มีกลองใบใหญ่ให้จังหวะ มีคนที่เขาบอกว่าเป็นแม่ยายพระผู้มาโปรดซึ่งถือว่าเป็นแนวหน้าในโลกฝ่ายวิญญาณคล้ายๆกับที่คาทอลิกเรามองแม่พระ ทีนี้พอป้าแกมาก็มีการนำอธิษฐานร้องเพลง แล้วก็เริ่มตีกลองตุ้มๆๆๆให้จังหวะไปเรื่อยๆ ชาวประชาก็จะเริ่มใช้มือตีๆในส่วนที่คิดว่าต้องการรักษา ป้าแกก็จะเดินโบกวิญญาณร้ายไปตามทางเดินที่เว้นไว้ หากแกเห็นว่ารายไหนอาการหนักคือผีเยอะ ต้องให้ถึงมือแกเอง แกก็จะลงไปตีช่วย ทีนี้เขาไม่ได้บอกว่าตีเบาๆ แบบศรัทธามากก็ตีให้แรง ใครตีเบาๆมีสตาฟมาตีให้เลย ซึ่งจุกอ่วมอรทัยยิ่งกว่า เสร็จพิธี มาดูตรงทีตีๆ มันก็เป็นจ้ำๆ เลยได้รับคำอธิบายว่านั่นคือผีร้ายออกจากตัวไปแล้ว มีคนซึ่งนั่งอยู่แถวหลังผมบอกด้วยนะ เห็นกลุ่มควันดำมืดหลุดไปจากตัวผม ชะอุ๋ย สปุกกี๊ดีจังเลย เอาเถอะ แต่ ณ เวลานั้นผมก็เชื่อนะ ว่าผีร้ายมันออก เลยเป็นจ้ำๆแบบนั้น พอออกมาจากศูนย์อธิฐาน กลับมาสู่โลกปกติ ไอ้เกาหลีที่มันไม่ได้เชื่อในลัทธินี้ ก็มาเห็นรอยผีออกของผมเขา ผมก็เล่าให้ฟังเป็นตุเป็นตะ มันก็บอกว่าบ้า แล้วก็ ตีเปี๊ยะเข้าที่แขนผม ได้ผลครับ ผีออกเป็นจ้ำเหมือนกัน

เอาละครับฟังกันขำๆ เรื่องพระพร เรื่องเห็นอัศจรรย์ ผมว่ามันต้องใช้เวลนานๆอย่างที่คนอื่นๆว่ากันนะแหละครับ ไม่เห็นเหรอ ขนาดสมัยพระเยซูเอง พระองค์สำแดงอัศจรรย์ตั้งมากมาย แต่คนที่เชื่อพระองค์ในเวลาน้นมีกี่คน ทั้งๆที่อัศจรรย์ทิ่มตาจะบอดกันอยู่แล้ว

ความรักของพระผมว่าสุดยอดอัศจรรย์ที่เราได้รับกันอยู่ทุกวันแล้วครับ ส่วนของประทานอื่นๆอย่าไปขวนขวายหาจนลืมความรักของพระองค์เลยครับ
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

จันทร์ ส.ค. 27, 2007 8:38 pm

ในbible บอกว่าพออาดัมกับอาวามีลูกลูกก็ฆ่ากันแล้วพี่ชายก็โดนพระเจ้าสาป แล้วพี่ชายคนนั้นมีภรรยาได้ไงเพราะในโลกมีแค่ 3 คนเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ส.ค. 27, 2007 9:49 pm

holy holy holy เขียน: ในbible บอกว่าพออาดัมกับอาวามีลูกลูกก็ฆ่ากันแล้วพี่ชายก็โดนพระเจ้าสาป แล้วพี่ชายคนนั้นมีภรรยาได้ไงเพราะในโลกมีแค่ 3 คนเอง
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกนะครับว่า อดัมเอวา มีลูกแค่3คน :rolleyes:

แค่กล่าวถึง บุตรชายหัวปี3คน ::020::
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ส.ค. 27, 2007 10:22 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Dis volentibus

จันทร์ ส.ค. 27, 2007 10:10 pm

holy holy holy เขียน: ในbible บอกว่าพออาดัมกับอาวามีลูกลูกก็ฆ่ากันแล้วพี่ชายก็โดนพระเจ้าสาป แล้วพี่ชายคนนั้นมีภรรยาได้ไงเพราะในโลกมีแค่ 3 คนเอง
น่านงายยยยยยยยยยยย
คำถามเดี่ยวกับที่ข้าพเจ้าเคยถามคุณพ่อผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์องค์หนึ่ง
เเล้วเลยโดนพ่อสอนคำสอนไปอีกครึ่งชั่วโมง 555

จริงๆเเล้ว พ่อบอกว่า จริงๆเเล้ว พระคัมภีร์บทนี้ ไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์ นำมายึดถือทุกตัวอักษรไม่ได้
เเต่พระคัมภีร์ต้องการจะบอกอย่างอื่นกับเรามากกว่า เช่น บอกว่า

"เนื่องจากพี่ชายกระทำความชั่ว  : emo107 :
ไม่ว่าพี่ชายจะหนีหัวซุกหัวซุนไปไหน
ก็ไม่สามารถหลบพ้นสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าได้"


ก็เหมือน เวลาเราทำชั่ว ก็อย่าคิดว่าจะหลบหนีความผิดจากพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทรงทราบทุกอย่าง

พ่อให้ข้อสังเกตว่า ตอนที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น มนุษย์ได้ทำเกษตรกรรมกันเเล้ว
(ประมาณว่า ได้พัฒนามาเป็นระยะหนึ่งเเล้ว) ดังนั้น สองพี่น้องในเรื่อง ไม่น่าจะใช่ลูก2คนเเรกของอดัมเเละเอวา
เเต่หมายความว่า ลูกหลานของอดัมเเละเอวามากกว่า (อันนี้เกี่ยวกับการใช้ภาษาฮิบรูในไบเบิลด้วยค่ะ)

เหมือนกับเรื่องพระเจ้าสร้างโลกภายใน7วัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าสร้างโลกภายใน7วัน
(เหมือนกับที่เราเข้าใจ)
เเต่เป็นการเปรียบเปรยของผู้เขียน ว่าอะไรมาก่อนอะไรหลัง พ่อบอกว่าใจความสำคัญจริงๆอยู่ที่ว่า

พระเจ้า เป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง สัตว์ เเละสร้างมนุษย์ ต่ะหาก

ถ้าเรายึดกับตัวเลข เเต่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พระคัมภีร์ต้องการจะบอกเราจริงๆ ก็จะขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ เเล้วก็ งง
ดังนั้นยําตามคำสอนของคุณพ่อนะคะ

พระคัมภีร์ ไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์ เเต่เป็นหนังสือที่สอนศาสนาเเละศีลธรรม ดังนั้นเมื่ออ่านพระคัมภีร์ตอนใดก็ตาม โปรดคิดอยู่เสมอ ว่าจริงๆเเล้ว พระคัมภีร์ตอนนั้นต้องการสอนอะไรเรา


Dominus vobiscum ค่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ จันทร์ ส.ค. 27, 2007 10:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

จันทร์ ส.ค. 27, 2007 10:54 pm

ข้อ 14 บอกว่า "ดูเถิด วันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ออกจากที่ดิน พ้นจากพระพักตร์พระองค์ไป ข้าพระองค์จะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลกใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย"

ปฐมกาล บทที่ 4 ข้อ 14 บอกว่า "ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย" นั่นหมายถึงอะไร มีอะไรอีกที่ถ้าคาอินออกไปจากเผ่าของเขา ออกไปจากที่ทำกินของเขา เขาก็จะเจอคนอีกมากมาย ที่จะฆ่าเขา โลกนี้ไม่มีเพีบงแค่อาเบลน้องชายแน่นอน

พระเจ้าบอกอีกว่า "พระเจ้าตรัสแก่คาอินว่า "ไม่ได้ผู้ใดฆ่าคาอินจะมีโทษเจ็ดเท่า" แล้วพระเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอินเพื่อว่าเมื่อใครพบจะได้ไม่ฆ่า" ปฐมกาลบทที่ 4 ข้อ 15 แล้วเครื่องหมายอะไรที่คนเห็นแล้วไม่ฆ่า แสดงว่าคนพวกนั้นต้องรู้จักพระเจ้า แล้วทำไมถึงต้องฆ่าคาอิน คาอินมีความผิดอะไรใครพบเห็นแล้วต้องฆ่า

"คาอินออกไปพ้นพระพักตร์พระเจ้าไปอยู่เมืองโนด(แปลว่าพเนจร)ทิศตะวันออกของเอเดน" ปฐมกาล บที่ 4 ข้อ 16 บอกว่าไปอีกเมืองหนึ่ง แสดงว่า นอกจาก คาอินกับอาเบลแล้วยังมีเมืองอีก แสดงว่าต้องมีประชากรเยอะแน่ พระคัมภีร์บอกอีกในข้อ 17 ว่า แล้วไปแต่งงานสาวเมืองนั้นแล้วตั้งเมืองขึ้นมาชื่อว่าเมืองเอโนคตามเอโนคตามชื่อบุตรของตน

ที่จริงแล้วอาดับและเอวาไม่ใช่แค่ให้กำเนิดคาอินกับอาเบล แต่อาดัมกับเอวาให้กำหนิดมนุษย์ก่อนหน้านั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี จนมนุษย์เหล่านั้นให้กำเนิดลูกหลานมากมายแล้ว

ดูจากในปฐมกาลบทที่ 15 จะเห็นว่ามนุษย์หนึ่งคน อายุยาวแค่ไหนในสมัยนั้นอายุคนหนึ่งเกือบพันปีทีเดียว ถ้าพระเจ้าให้เป็นยังไงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เอาความคิดสมัยใหม่มาหักพระคัมภีร์อยู่แล้วโดยเฉพาะโมเสสเขียน

(1) ต่อไปนี้เป็นหนังสือลำดับพงศ์พันธุ์ของอาดัมเมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์นั้นพระองค์ทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า
(2) พระองค์ทรงสร้างเป็นชายและหญิงแล้วทรงอำนวยพระพรแก่เขาและทรงเรียกว่ามนุษย์ในวันที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้น
(3) เมื่ออาดัมอยู่มาได้ร้อยสามสิบปีจึงมีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขาชื่อเสท
(4) ตั้งแต่อาดัมมีบุตรคือเสทแล้วก็มีอายุอีกแปดร้อยปีมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน
(5) รวมอายุของอาดัมได้เก้าร้อยสามสิบปีจึงสิ้นชีวิต (ปฐม 15 : 1-5)
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ จันทร์ ส.ค. 27, 2007 11:00 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

อังคาร ส.ค. 28, 2007 6:46 pm

ขอบคุณครับ
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

อังคาร ต.ค. 02, 2007 8:07 pm

วันทามารีอาเริ่มสวดในค.ศ.ไหนครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พุธ ต.ค. 03, 2007 4:02 pm

holy holy holy เขียน: วันทามารีอาเริ่มสวดในค.ศ.ไหนครับ
ปี คศ. 1214 ครับ

http://mariarosa.org/kularptip12.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พุธ ต.ค. 03, 2007 5:31 pm

เห็นกลุ่มพระศาสนจักรตะวันออก Canonizeว่าปอนซิอัส ปิลาตเป็นนับุญ

แล้วทางพระศาสนจักรคาทอลิกอะครับ

แล้วใครมีประวัตินักบุญโทมัส มอร์ บ้าง (ฝากคำถามเลย ไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่)
holy holy holy
โพสต์: 548
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm

เสาร์ ต.ค. 06, 2007 12:48 pm

ขอบคุณครับ
Gray Cat Mobster เขียน: เห็นกลุ่มพระศาสนจักรตะวันออก Canonizeว่าปอนซิอัส ปิลาตเป็นนับุญ

แล้วทางพระศาสนจักรคาทอลิกอะครับ

แล้วใครมีประวัตินักบุญโทมัส มอร์ บ้าง (ฝากคำถามเลย ไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่)
ไม่รู้ครับ ความรู้น้อย  : xemo023 : : xemo023 : : xemo023 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

เสาร์ ต.ค. 06, 2007 5:21 pm

Gray Cat Mobster เขียน: เห็นกลุ่มพระศาสนจักรตะวันออก Canonizeว่าปอนซิอัส ปิลาตเป็นนับุญ

แล้วทางพระศาสนจักรคาทอลิกอะครับ

แล้วใครมีประวัตินักบุญโทมัส มอร์ บ้าง (ฝากคำถามเลย ไม่อยากตั้งกระทู้ใหม่)
ขอตอบเท่าทีรู้นะครับ

นักบุญโทมัส มอร์ นักปราชญ์ และมรณสักขี

เป็นนักปราชญ์และนักเขียนชาวอังกฤษ ทำงานให้ให้ราชสำนัก ในช่วงปลายศวรรษที่15
และเป็นนักบุญร่วมสมัยกับนักบุญ ยอห์นฟิชเชอร์ และนักบุญโทมัส แบคเก็ท (ซึ่งเป็นข้าราชสำนัก และได้เป็นมรณสักขีเช่นเดียวกัน)
ท่านนัีกบุญมีงานเขียนอยู่หลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญ เช่น Utopia และ A Man for All Seasons

ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่8 พระองค์ทรงสถาปนา นิกายAgligan (The Church of England)
และทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพาลทุกคน เปลี่ยนจากคาทอลิกมาเป็นแองกลิกัน ซึ่งท่านนักบุญไม่ยอม
และได้พูดว่า "ข้าพเจ้าตายในฐานะของข้ารับใช้ที่ดีของกษัตริย์ แต่ทว่าเป็นข้าของพระเจ้าก่อน"
( I die the king's good servant but God's first)

และด้วยความเด็ดขาดของพระองค์ จึงรับสั่งประหารข้าในพระองค์ทุกคนที่เป็นคาทอลิก
(รวมถึงนักบุญยอห์นฟิชเชอร์ และนักบุญโทมัส แบคเก็ท)

งานเขียนของท่านนักบุญ เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก
และงานเขียนเรื่องUtopia ก็ได้นำมาใช้ในการอ้างอิงหลายเรื่องเชิงปรัชญา
และยังถูกนักปรัชญาในสมัยนี้อ้างถึงดินแดนของพระศรีอาริย์ และดินแดนแอตแลนติสอีกด้วย...

ปล. อาจจะไม่ละเอียด หรือผิดพลาดก็ขออภัยด้วย : xemo017 :
ตอบกลับโพส