ค้นหาความหมายในเรื่องปรัมปรา

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 5:46 am

โมเสสในคัมภีร์ไบเบิ้ลคือใครกันแน่


....สำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้นับถือศาสนา คริสต์ อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อ โมเสส แต่ถ้าบอกว่า เป็นคน ๆ เดี่ยวกับ ตัวละครในเรือง The Prince of Egypt หลายคนคงร้องอ๋อ กับความที่ท่านสามารถ แหวกทะเลแดง ให้ชาว ฮีบรูหนีพ้นการไล่ล่าของกองทัพอียิปต์ จากหนังเรื่องนี้ได้ เหตุการณ์น่าอัศจรรย์ใจเหล่านี้อาจอุบัติขึ้นตามธรรมชาติ แต่ชาวฮีบรูมักตีความให้สัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า เสมอ โมเสสจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติของชนอิสราเอล เพราะได้รับเทวโองการให้เป็นผู้นำประชากรของ พระองค์นับล้านชีวิต (เพศชาย 6 แสนคน) อพยพออกจาก อียิปต์ (EXODUS) หลังจากตั้งรกรากอยู่กินมานานถึง 430 ปี เพื่อไป สร้างบ้านเมืองของตนเองในดินแดนแห่งพันธสัญญา (The Promised Land) หรือคานาอัน ที่ปัจจุบันคือ ประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์ และ เลบานอน ผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้ลูกหลานของพระองค์โดยเฉพาะ นั้นคือภารกินอันใหญ่หลวง เพราะเป็นการเดินทางจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไท จากความตายสู่ความมีชีวิตของชาวฮีบรู ซึ่ง ต่อไปจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนแปลกถิ่นหรือคานาอันนั่นเอง

รูปภาพ

.....พระคัมภีร์เล่าเรื่องของโมเสสยาวเหยียดจุใจในพระธรรม 4 เล่ม ตั้งแต่แรกเกิดในครอบครัวยิวผู้ยากไร้แห่งนครโกเชน จะกระทั่งสิ้นลมหายใจสุดท้ายเมื่ออายุ 120 ปี ศพฝั่งอยู่ที่ยอดเขาพิสกาห์ในเทือกเขาเนโบตรงข้ามกับนครเจริโค ซึ่งทุกวันนี้ยัง ค้นหาศพของท่านไม่พบ เขาได้รับการยกย่องให้เป็น มหาประกาศ (Prophet ผู้ประกาศ สาสน์ของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต) ดังปรากฎในเฉลยพระธรรมบัญญัติ 35 : 10 ว่า "ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอล เสมอโมเสส ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรู้จักหน้าต่อหน้า "

.....แต่นับเป็นเรื่องชวนฉงนอย่างยิ่งครับ.....ในขณะที่ปัจจุบันกลุ่มนักโบราณคดีที่สนใจขุดค้าเรื่องราวตามพระคัมภีร์โดยเฉพาะ (Biblical Archaeologist ) ต่างยอมรับกันแล้วว่า ไบเบิลเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ชั้นดี เพราะพบหลักฐานเก่าแก่มากมาย ตางตามนั้น อีกทั้งเรื่องของโมเสสมีรายละเอียดครบถ้วนทุกแง่มุม ยกเว้นเพียงห้วงเวลาเอ็กโซดัส หรือการเอ่ยถึงพระนามฟาโรห์ ทว่า หลักฐานทางฝ่ายอียิปต์กลับไม่เคยเอ่ยชื่อโมเสสเลย แม้จะเชื่อว่า เขาถูกเลี้ยงดูประดุจเจ้าชายไอยคุปต์ก็ตาม จนดูเสมือน หนึ่งว่าเขาไม่น่าจะมีตัวตนจริง ๆ กระมัง

.....โมเสสเป็นใครกันแน่ หรือชาวอียิปต์เรียกเขาด้วยชื่ออื่น เฉกเช่นกรีกเรียกปฐมฟาโรห์นาร์เมอร์ว่า มีนืส เรียกฟาโรห์คูฟู ผู้ สร้างมหาปีระมิดว่า คีออปส์ หรือเรียกฟาโรห์เมนคาเร ผู้สร้างปีระมิดองค์ที่ ว่า ไมซีรีนุส ซึ่งเสียงเพี้ยนไปจากเดิมมาก จนไม่บอก จะเดาไม่ถูกเด็ดขาด แรกเริ่มเดินที ชาวไอยคุปต์เรียกคนชาติอื่นผู้ไม่มีอาณาจักรเป็นของตนเองต้องมาพึ่งใบบุญอียิปต์ รวมถึง ทาสและเฉลยศึกที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองว่า อะปิรู (APIRU) คำคำนี้บางแห่งคัดลอกผิดเป็น HAPIRU หรือ HABIRU จนในที่ สุดเพี้ยนมาเป็นคำว่า ฮีบรู (HEBREW) ซึ่งต่างกับคำว่ายิว (JEW) มาจาก YEHUDI ภาษาฮีบรูแท้ ๆ หมายถึงคนของตระกูล จูดาห์ (โรมัน เรียก จูเดีย สถานที่ตั้งกรุงเยรูซาเล็ม) ชื่อบุตรชาย 1 ใน 12 คนของยาโคบ(อิสราเอล) ที่กลายเป็นอีกอาณาจักรแยก ออกจากอิสราเอลเมื่อกษัตริย์โซโลมอนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เรื่องของชนชาวฮีบรูมีปรากฎหลักฐานทางฝ่ายอียิปต์เพียงแห่งเดียว ที่เดียวและบรรทัดเดียวในบทโศลกบนแผ่นศิลาจารึกชื่อ ISRAEL STELA (ขุดพบปี 1895 ที่เมืองลักซอร์) ของฟาโรห์ เมเรนปทาห์ (ปี 1224 - 1214 ก่อนคริสตศักราช) ว่า ISRAEL IS LAID WASTE, HIS SEED IS NOT ซึ่งไม่สามารถสื่อ ถึงอะไรได้ นอกจากชาวอิสราเอลเคยอาศัยอยู่ในอียิปต์จริง ส่วนพระคัมภีร์เล่าว่าชาวฮีบรู เดิมเร่ร่อนอยู่ในปาเลสไตน์ แล้วอพยพ หนีความแห้งแล้วอดอยากไปตั้งรกรากใหม่ทางดินดอนสามเหลียมปากแม่น้ำไนล์ฟากตะวันออกชื่อว่าแผ่นดินโกเชน เมื่ออยู่ติดต่อ กันนานหลายชั่วอายุคนก็ออกลูกแตกหลานเต็มบ้านล้นเมื่อง จนฟาโรห์เกรงจะเป็นภัยต่อความมั่นคง หากไม่สามารถจำกัดจำนวน อย่างใกล้ชิด ชาวฮีบรูจึงถูกลดสถานะลงเป็นทาสเรียกว่า อะบิรู ทำหน้าที่ผลิดก้อนอิฐผสมฟางแห้ง แต่จำนวนทาสหาได้ลดน้อยลง ไม่ ฟาโรห์จึงมีราชองการให้กำจัดทารกฮิบรูเพศชายที่เกิดใหม่ทุกคนด้วยการโยนลงแม่น้ำไนล์เป็นอาหารของจระเข้และ ฮิปโปโปเตมัส มหาประกาศเกิดในช่วงนี้เองตรงกับปี 1527 ก่อน ค.ศ. แม่ของเขาแอบฟูมฟักจนอายุ 3 เดือนก็จำใจต้องเอา ทารกน้อยใส่ตระกร้าลอยน้ำไปตายเอาดาบหน้า ความที่เป็นเด็กบุญญาธิการสูง ธิดาฟาโรห์จึงเป็นผู้พบตระกร้าและนำเด็กไปเลี้ยง ดูในวังตั้งชื่อให้ว่า โมเสส พระคัมภีร์ระบุว่าเป็นภาษาฮีบรูหมายถึง "ฉุดขึ้นมา " เพราะพระนางฉุดเขาขึ้นจากตระกร้าในน้ำ...แต่ เป็นได้หรือที่เจ้าหญิงไอยคุปต์ตั้งชื่อบุตรบุญธรรมของตนด้วยภาษาฮีบรูจากคำว่า MOSHE (MSHA แปลว่า "ฉุด" และ MOSHUI แปลว่า "ผู้ถูกฉุดขึ้นมา") ดังนั้นโมเสสน่าจะเป็นภาษาอิยิปต์มากกว่า โดย MOSE หมายถึง "ลูกชาย" ตรงกับภาษากรีกว่า Mosis เหมือนกับชื่อฟาโรห์ Thutmose แปลว่า โอรสแห่งเทพเจ้าธอธ์ นั่นเอง...

รูปภาพ

.....เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุห้วงเวลาเอ็กโซดัสเอาไว้ นักไบเบิ้ลวิทยาต้องค้นหาหลักฐานกันเอง แต่ไหนแต่ไรมาสันนิษฐาน ว่าเกิดขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสต์กาลตรงรัชสมัยจอมฟาโรห์รามิเซสที่ 2 (ปี 1290-1224 ก่อน ค.ศ.) แม้แต่หนังเรื่อง บัญญัติ 10 ประการที่มีการค้นคว้าข้อมูลอย่างดีเยี่ยมก็ยังเชื่อเช่นนั้น เพราะหลักฐานต่าง ๆ เริ่มปรากฎเมื่อนักวิชาการหนุ่มชาว ฝรั่งเศสชื่อ ฌัง ฟรังซัว ฌองโปลียอง อ่านอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิกออกในปี 1822 และพบพระนามฟาโรห์รามิเซสจารึกอยู่ทั่วไป หมด ทรงสร้างเมืองและมหาวิหารใหญ่โตมโหฬารมากมายหลายแห่งรวมทั้งราชธานีใหม่ชื่อ ไพ รามิเซ (Pi-Ramesse แปลว่า ทรัพย์สินขององค์รามิเซส) นักโบราณคดียุคนั้นตื่นตะลึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์มาก จึงยกย่องให้เป็นมหาราช ต่อมาเมื่อเห็น ข้อความในพระคัมภีร์ว่าฟาโรห์ทรงใช้ทาสชาวฮีบรู สร้างนครไพธอม (PITHOM) และรามเซส (RAAMESE) ก็เลยเหมาว่าคือ ฟาโรห์รามิเซส จนกระทั่ง ดอกเตอร์มันเฟรด เบียแท็ก แห่งมหาวิทยาลัยเวียนนา ผู้มีประสพการ์ณด้านอียิปต์ศาสตร์นานมากกว่า 30 ปีได้ขุดเจอซากนครไพราแมสเซที่เมืองเทล เอลดาบา ห่างจากกรุงไคโรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 100 กม.เขาพบหลัก ฐานว่าเป็นนครเดียวกับอวารีส ราชธานีเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งฟาโรห์เป็นไท้ต่าวดาวท้าวต่างแดนชาวฮิกซอส (HYKSOS ภาษากรีก แปลว่าเจ้าชายทะเลทราย) ชนเผ่านักรบเร่ร่อนจากซีเรียตอนใต้ซึ่งเคยปกครองไอยคุปต์ตอนเหนืออยู่นาน 155 ปีนับจากปี 1730 ก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา ราชธานีแห่งนี้มีมาก่อนฟาโรห์รามิเซสร่วม ๆ 500 ปี พระองค์เป็นเพียงผู้บูรณะใหม่อีกครั้งหนึ่ง...เอ็กโซดัสจึงมีความเป็นไปได้ที่เกิดก่อนยุครามิเซส เมื่อบวกกับหลักฐานในพระคัมภีร์ ระบุว่าชาวฮีบรูอพยพออกจากอียิปต์เป็นเวลา 480 ปีก่อนกษัตริย์โซโลมอน ทรงสร้างมหาวิหารแห่งแรกที่กรุงเยรูซาแลม ในปี 967 ก่อน ค.ศ. (967 + 480) หรือรัชสมัยของฟาโรห์ดูดิโมส (DUDIMOSE) แห่งราชวงศ์ที่ 13 และหากโมเสสเกิดปี 1527 ก่อน ค.ศ. จริงจะมีอายุ 80 ปี สอดคล้องกับวัยที่ระบุในพระคัมภีร์พอดี ....เหตุผลสนับสนุนอีกข้อหนึ่งคือ ชาวฮีบรูเริ่มอพยพหนี้ภัย แล้งจากปาเลสไตน์สู่แผ่นดินโกเชนของอียิปต์ในรัชสมัยฟาโรห์เซนโวสเร็ตที่ 3 ซึ่งปกครองอียิปต์ระหว่างปี 1878 - 1843 ก่อน ค.ศ. และอยู่ฝังรกรานนานถึง 430 ปี ก่อนจะอพยพตามโมเสสสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา นั่นก็คือช่วงแห่งเอ็กโซดัสอยู่ระหว่าง ปี 1448 - 1413 ก่อน ค.ศ. อีกนั้นแหละ

.....ข้อมูลใหม่ข้างต้น นักไบเบิลวิทยาพยายามหาหลักฐานสนับสนุนว่าเอ็กโซดัสเกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์กาล ก็เพื่อโยงปรากฎการ์ณมหัศจรรย์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็น การแหวกทะเลแดง หรือ ภัยพิบัติ 10 ประการที่โมเสส แสดงอิทธิฤทธิ์ บีบ ฟาโรห์ให้ยอมปล่อยทาสฮีบรูเป็นอิสระ ล้วนเป็นสิ่งอุบัติขึ้นตามธรรมชาติทั้งสิ้น โดยเป็นผลมาจากภูเขาไฟ เทรา ระเบิดครั้งใหญ่ในช่วงนั้น ภูเขาไฟเทราตั้งอยู่ทางซีกตะวันออก ของทะเลเมดิเตอเรเนียน ห่างจากชายฝั่งอียิปต์ 800 กม. ทัขนาดใหญ่กว่าภูเขาไฟกรากะตั้วในหมู่เกาะชวา 6 เท่า เพียงแค่การกะตั้วระเบิด เมื่อปี 1886 เถ้าถ่านก็คลุ้งกระจายลงเรือเดิน สมุทรที่อยู่ไกลถึง 3,000 กม. ส่วนเสียงระเบิดดังสนั่นหวันไหวได้ยินไปถึงทวีปออสเตรเลียตอนเหนือที่อยู่ห่าง 4,800 กม. ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองนางาซากิของญี่ปุ่นมีอำนาจทำลายล้างสูงเพียง 20 กิโลตัน แต่แรงระเบิดของภู เขาเทรา มีอานุภาพร้ายแรงขนาด 6 ล้านกิโลตัน มากกว่ากันเท่าไหรก็คำนวณดูเองนะครับ ..แล้วยังงี้จะไม่ให้ส่งผลกระทบถูก อียิปต์ได้ยังไหว !

.....ทุกวันนี้ ใครคือ โมเสส ยังคงเป็นปริศนาดำมืดที่นักไบเบิ้ลวิทยาคิดไม่ออก ขบไม่แตก เพราะขาดหลักฐานสนับสนุนจากแหล่ง อื่นว่า เขาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ มีตัวตนจริง สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่สันนิษฐานไปตามข้อมูลใหม่ที่ได้เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปไม่ตรงกันเสียเป็นส่วนมาก เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาคนสำคัญของโลก ชี้ว่า โมเสสคือผู้อยู่เบื้องหลัง ฟาโรห์อัคเคนาเตน ในการปฏิวัติศาสนาอียิปต์จากการเคารพเทพเจ้าหลายองค์ลงเหลือสุริยเทพอาเตน เพียงองค์เดียว คล้ายกับบัญญัติข้อแรกของชาวฮีบรู "จงอย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา" ฟรอยด์วิเคราะห์ว่า ADONAI ซึ่งชาว ฮีบรูใช้เรียกขานพระเจ้าของตนนั้น เมื่อเขียนเป็นภาษาอียิปต์จะตรงกับคำว่า อาเตนนั่นเอง อีกครึ้งศตวรรษต่อมา นักประวัติศาสตร์ ขาวอียิปต์ชื่อ อาเหม็ด ออสมาน นายคนนี้ไม่อ้อมค้อมแบบฟรอยด์ดอกครับ เขาฟันธงไปเลยว่าโมเสส กับ ฟาโรห์อัคเคนาเตนคือคนคนเดียวกัน พร้อมทั้งเหตุผลสนับสนุนมากมาย แต่นักไบเบิ้ลวิทยากลับเชื่อหลักฐานในรัชสมัยฟาโรห์ อเมนโฮเท็ปที่ 3 ว่า พระองค์ทรงมีรัชทายาท 2 พระองค์ อัคเคนาเตนคือโอรสแท้ดังปรากฏบนเหยือกสุราประจำพระองค์ จารึกไว้ ว่า "โอรสองค์จริงแห่งฟาโรห์" และได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา ส่วนอีกองค์หนึ่งคือเจ้าชายหนุ่มโมซิส (คนละองค์กับฟาโรห์พระนามนี้) เรื่องราวของเขาหายขาดตอนไปก่อนอัคเคนาเตนขึ้นเป็นฟาโรห์ไม่นาน ทิ้งสุสานที่สร้างเตรียมไว้ในบริเวญหุบผากษัตริย์ให้ร้าว ว่างเปล่าปราศจากมัมมี่ของพระองค์ ถ้าหากเจ้าชายองค์นี้เลิกนับถือเทพเจ้าอียิปต์และตัดชื่อ THUT (เทพเจ้าธอธ์) ออก เขาก็ จะชื่อโมซิสหรือ โมเสส...

.....การค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับมหาประกาศผู้นี้จึงไม่ต่างกับหนังชุดทางโทรทัศน์ซึ่งตอนใหม่มักจะสนุกกว่าตื่นเต้นกว่าตอนทีผ่าน ๆ มาเสมอ ยิ่งขุดค้นก็ยิ่งเจอหลักฐานเพิ่มขึ้นตลอดเวลา....สักวันหนึ่งข้างหน้าปริศนาที่ว่า ใครคือโมเสสคงได้คำตอบที่ชัดเจนกว่า นี้อย่างแน่นอนครับ.....................

แหล่งที่มา:ต่วยตูน พิเศษ
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 5:57 am

      ===>ปริศนาเรืออาร์คของโนอาห์ <===

--------------------------------------------------------------------------------

    ข้อความข้างต้นมาจากพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ ก่อนที่น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นตำนานที่รู้จักกันดีกับเรื่องของโนอาห์ และ เรืออาร์ค แน่ล่ะครับ เรื่องน้ำท่วมโลกนี้ มีจริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหลักฐานทางธรณีวิทยานั้น ระบุไว้ชัดเจนมากๆ ถึงกระนั้นเราก็แน่ใจไม่ได้หรอกว่า น้ำท่วมโลกนั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ หรือการดลบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้ากันแน่ จะอย่างไหนก็ช่าง ถ้าเคยน้ำท่วมโลกมาแล้วจริงๆ เรือของโนอาห์ก็น่าจะมีอยู่จริงเหมือนกันสิน่า ... นักคิดหลายคนเคยคิดกันอย่างนั้น และนั่นก็เป็นต้นตอของการค้นหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของชาวคริสต์ วัตถุสำคัญชิ้นมหึมาที่หลายคนคาดกันว่า มันต้องซุกซ่อนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลกนี้อย่างแน่นอน ...

    ในปี ค.ศ. 2959 นักบินที่ทำหน้าที่ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศของ NATO ได้บังเอิญไปพบสิ่งประหลาดบริเวณที่สูงขึ้นมาจากตีนเขา ของเทือกเขา Ararar ราวๆ 15 ไมล์ ร้อยเอก Ilhan Durupinar แห่งกองทัพอากาศตุรกีรู้สึกพิศวงกับสิ่งประหลาดที่ค้นพบนั้น เขาจึงศึกษามันด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า stereoscopic และพบว่า สิ่งประหลาดดังกล่าว มีรูปทรงคล้ายกับเรือลำหนึ่ง เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบอีกทีโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ Dr. Arthur Brandenberger โดย
ท่านด็อกเตอร์ยืนยันว่า ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นของจริง และไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของแสงเงาแต่ประการใด ดูเหมือนว่าวัตถุที่รูปทรงคล้ายเรือลำนั้น จะเป็นอะไรที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของเทือกเขามาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่า ... เรือลำเบ้อเริ่มลำนั้น ขึ้นไปทำธุระอะไรบนเทือกเขาสูงชันและหนาวเหน็บของตุรกีกันเล่าครับ ? จากสถานที่ที่พบ สิ่ง-
เดียวที่จะเชื่อมโยงปริศนาชิ้นดังกล่าว และเป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนพอจะหวนระลึกถึงได้นั้นก็คือ เรืออาร์คของโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

    การค้นพบของนักบินชาวตุรกีผู้นั้น หาได้เป็นการค้นพบเรือปริศนาจากยุคสมัยแห่ง Genesis ตามพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกไม่ เอกสารและบันทึกตั้งแต่สมัยโบราณหลายชิ้น ได้กล่าวอ้างถึงการพบเห็นเรือ(ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรือ)อาร์คอยู่หลายต่อหลายครั้ง Epiphanius บิชอปแห่งซาลามิส ได้ทรงบันทึกส่วนพระองค์เป็นข้อสังเกตเอาไว้ว่า เรืออาร์ค น่าจะยังคงอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า "mountains of the Gordians," แต่บรรดานักท่องเที่ยวที่ไปที่นั่น ก็ไม่ได้เห็นอะไรที่สื่อไปถึงโนอาห์เลยแม้แต่น้อยนอกจากดินที่แห้งผาก นักท่องเที่ยวในสมัยศตวรรษที่ 12 Benjamin of Tudela กล่าวว่า Omar Ben al-Khatab เป็นผู้ทรงสั่งเคลื่อนย้ายวัตถุดังกล่าว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงจะสร้างมัสยิด

    จากหลักฐานและบันทึกที่ได้พบดังกล่าว นำมาซึ่งข้อโต้เถียงมากมาย เกี่ยวกับเรืออาร์คของโนอาห์ลำนี้ ว่ามันควรจะตั้งอยู่ในสถานที่ใดกันแน่ ก็เพราะว่าส่วนนึงในไบเบิลระบุว่า เรืออาร์คของโนอาห์อยู่ในเทือกเขา Ararat นี่เองแหละ นักศาสนวิทยาและนักโบราณคดีในสมัยก่อน จึงเล็งความสนใจไปที่ตัวภูเขา Ararat เอง ซึ่งสมัยนั้นไม่มีหรอกครับชื่อภูเขานี้ เพราะฉะนั้นต่อให้พลิกแผ่นดินหา เหมือนคิงอาร์เธอร์ตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี ทำไมน่ะหรือครับ ? ก็เพราะว่า สมัยก่อนภูเขาดังกล่าวไม่ได้ชื่อนี้น่ะสิ ชื่อของมันที่เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณก็คือ Amenia แถมข้อความในไบเบิลยังระบุเอาไว้แบบคลุมเคลือ จนแทบจะตีความไปได้ว่า เรืออาร์ค อาจจะจอดนิ่งอยู่บริเวณไหนเทือกเขาใดก็ได้ในแถบนั้น สำหรับในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของโนอาห์กับเรืออาร์ค ระบุเอาไว้ว่า เรือของโนอาห์จอดอยู่บนยอดเขาที่ชื่อ Judi

    บุคคลปัจจุบัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนปีนขึ้นไปพบเรืออาร์คอย่างเป็นทางการ มีชื่อว่า James Bryce แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด Bryce ใช้กิจกรรมยามว่างทำโดยการปีนภูเขา Ararat เล่นในปี 1876 ที่ใกล้ๆกับบริเวณยอดเขา เข้าได้พบแท่งอะไรบางอย่างยาว 4 ฟุตโผล่ขึ้นมาจากน้ำแข็ง และอย่างไม่มีเหตุผลกลใดมาดลใจ ตัวเขาเองคิดว่า เจ้าสิ่งที่โผล่ขึ้นมานั้น น่าจะเป็นเรืออาร์คในตำนานอย่างแน่นอน ถัดมาในปี 1892 John Joseph Nouri นักสำรวจอีกผู้หนึ่งประกาศต่อสาธารณชนว่า เขาก็เคยพบเรืออาร์คลำดังกล่าวเช่นเดียวกัน หลังจากสำรวจและเข้าไปดูบางส่วนของลำเรือ เขาพบว่า ลำเรือมีความยาว 300 ศอกดังที่บันทึกไว้ในไบเบิลทุกประการ

รูปภาพ
ภาพถ่ายจากเหนือชั้นบรรยากาศ ของเทือกเขา Ararat

    ก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 จะมาถึง มีนักสำรวจและทีมนักโบราณคดีมากมาย ได้ปีนภูเขาดังกล่าว เพื่อขึ้นไปดูสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นเรืออาร์คให้เห็นกับตา มีหลายทีมที่ได้สำรวจวัตถุดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่แล้ว ... เรื่องน่าเศร้าที่เกิดกับวงการโบราณคดี ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับวัตถุทรงค่าชิ้นนี้เป็นครั้งแรกก็เกิดขึ้น ใช่แล้วครับ เหตุผลทางด้านการเมือง และก็
สงคราม ทำให้ทางรัฐบาลสั่งยุติการสำรวจบริเวณเทือกเขา Ararat และก็อนุญาตเฉพาะทีมสำรวจบางทีมที่รัฐบาลเห็นว่าไว้ใจได้ เข้าไปด้อมๆมองๆได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของทางทหารตลอดเวลา

    ในปี 1984 Ron Wyatt ได้ชักชวน Jim Irwin และเพื่อนร่วมทีมอีกหลายคน กลับไปยังไซต์ขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งเคยเลิกราการขุดไปเมื่อปี 1959 ที่ผ่านมา การขุดค้นและสำรวจในครั้งนั้น มีการประกาศผลออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1960 หรือหนึ่งปีถัดมาว่า พบเรื่องราวคืบหน้า เกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเรืออาร์คของโนอาห์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล Wyatt ใช้เวลาหลายครั้งในการเทียวสำรวจไซต์ขุดเจาะดังกล่าว และได้พบหลักฐานบางชิ้นที่น่าสนใจคือ แผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีรูและรอยตัดถึง 11 ชิ้น แต่ละชิ้นหนักตั้งแต่ 4-10 ตัน หินเหล่านี้ทำหน้าที่ผูกติดเป็นสมอเรือ เพื่อยึดเรืออาร์ค (ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนนะครับ) เอาไว้ โดยอาศัยเชือกและรูหรือรอยตัดดังกล่าว ก็มีไว้เพื่อให้เชือกลอดผ่านนั่นเอง หินเหล่านั้นอยู่ห่างจากบริเวณลำเรือราวๆ 10 ไมล์ ในตอนที่ค้นพบนั้น Wyatt เชื่อว่า โนอาห์คงเป็นคนตัดมันออกเมื่อเขาค้นพบว่า เข้าใกล้จะมองเห็นแผ่นดินที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมแล้ว

    David Fasold หนึ่งในนักสำรวจที่ไปกับ Wyatt ได้อาศัยวิทยาการสมัยใหม่สำรวจเรืออาร์คอย่างยากลำบาก ด้วยเหตุที่เกือบทั้งหมดของมันจมไปกับน้ำแข็งแล้ว สิ่งที่ทำได้ จึงมีเพียงแต่ใช้เรดาร์มาสำรวจ และเก็บเอาชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่พอจะพบได้ ส่งไปที่ห้อง Lab เพื่อทำการวิจัยเท่านั้นเอง สิ่งที่เรดาร์บอกพวกเขาก็คือ มีวัตถุขนาดใหญ่บางอย่าง ฝังตัวอยู่ในเทือกเขา Ararat เจ้าวัตถุที่ว่ามีปฏิกิริยาของโลหะ และมีโครงสร้างกลวงอยู่ภายใน ดูคล้ายกับว่า มันถูกเจาะให้มีลักษณะคล้ายห้องยังไงยังงั้นล่ะครับ แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่สิ่งที่เป็นผลการสำรวจจากห้อง Lab ต่างหาก ชิ้นส่วนของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นลำเรือนั้น ดูเหมือนไม้ที่กลายเป็นหินก็จริง แต่ว่ามันขาดสิ่งที่ไม้ทั่วไปตามธรรม
ชาติมี นั่นคือ วงแหวนการเจริญเติบโตนั่นเอง เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่งงเต็ก เพราะในไบเบิ้ลระบุว่า ลำเรือทำมาจากไม้ Gopher แต่เจ้าเรืออาร์คลำนี้ ดูยังไงก็ไม่ได้ทำจากไม้เลย-
ครับ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไบเบิ้ลถูกเล่าขานกันมานานปากต่อปาก บางทีการแปลจากต้นฉบับก็ต้องมีผิดเพี้ยนบ้าง บางที ไม้ Gopher ที่เอามาใช้สร้างเรือ อาจมาจากข้อมูลที่บัน -ทึกผิดๆต่อกันมาก็ได้ มันอาจจะทำจากหินหรือวัสดุคล้ายโลหะ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

    David Fasold ให้ข้อสังเกตุว่า เรืออาร์คลำดังกล่าว ไม่น่าจะใช่เรืออาร์คดังที่คิดกันไว้เสียแล้ว เพราะทั้งวัสดุที่ใช้สร้าง รวมไปถึงลักษณะของลำเรือ มันผิดไปจากแบบของเรือในยุคก่อนเมโสโปเตเมีย เอามากๆครับ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็น่าจะมีเศษเสี้ยวอะไรที่เชื่อมเข้ากับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บ้าง แต่ว่านี่ไม่เลย โดยเขานั้นก็ได้
วิเคราะห์ชิ้นส่วนบางชิ้น ที่เชื่อกันว่าเป็นชิ้นส่วนจากลำเรือ และก็พบว่ามันมีส่วนผสมของโลหะอยู่ ภายใต้ความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญอย่าง Gene Collins แห่ง the De- partment of Geological Sciences ผลจากการเทสต์ถึง 2 ครั้งพบว่า มันเป็นวัสดุที่เกิดจากธรรมชาติโดยแท้ ส่วนเจ้าสมอเรือที่ค้นพบนั้นเล่าครับ มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจาก หินธรรมดาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่แถบนั้น เป็นผลงานของธรรมชาติอีกตามเคยครับ ไม่ใช่สมอเรือที่เชื่อกันว่า โนอาห์นำมาจากดินแดนเมโสโปเตเมีย อันเป็นที่ๆเขาหนีน้ำท่วมมาแต่อย่างใด

    ผลสรุปที่ออกมาคือ เจ้าสิ่งที่ทีมสำรวจค้นพบในตอนหลังนั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติครับ สภาพภูมิอากาศ การกัดกร่อน และความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้หินปนโลหะแท่มหึมา กลายมาเป็นลำเรือขึ้นมาลำหนึ่ง มหัศจรรย์นะครับธรรมชาติเนี่ย แม้ว่า Wyatt จะได้นำแผ่นจารึกโบราณ ซึ่งค้นพบบริเวณที่เชื่อว่าลำเรือฝังตัวอยู่ มาแสดงต่อสาธารณชน นักโบราณคดีก็ยังคงสรุปออกมาว่า มันเป็นแผ่นจารึกของนักท่องเที่ยวโบราณ ที่ทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่พวกเขา ขึ้นไปสำรวจสิ่งที่พวกเขาเชื่อกันว่า เป็นเรืออาร์คอันศักดิ์สิทธิ์เสียมากกว่า

รูปภาพ
ภาพถ่ายที่เคยถ่ายได้เมื่อปี 1949 ที่แสดงให้เห็น "สิ่งผิดปกติ" บางอย่างบนเทือกเขา Ararat ก่อนที่มันจะถูกฝังไปด้วยพายุหิมะที่พัดอยู่ตลอดปี

    ท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า เรืออาร์คของโนอาห์ อยู่บริเวณใดกันแน่ จนกว่าสักวันที่ใครสักคนค้นพบเรือความยาว 450 ฟุต บนยอดเขา Ararat หรือ พบเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลดำ หรือ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งนักล่าสมบัติกำลังค้นหาเรือาร์คของโนอาห์นั่นแหละครับ เรื่องทุกอย่างจึงจะยุติลง

แหล่งที่มา:ต่วยตูนพิเศษ
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 6:08 am

ย้อนรอยกำเนิดโลก

อย่างที่เราทราบกันดีว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งขึ้นมา แต่ในบทความที่ยกมานี้เรามาดูโลกในแบบของวิทยาศาสตร์กันครับ

  รูปภาพ

        โลกที่เราอาศัยอยู่นั้นมาจากไหน ชิวิตอุบัติมาได้อย่างไร ลมฟ้าอากาศ น้ำ ภูเขา ทะเล และมหาสมุทร เหล่านี้มีความสำคัญแก่เราเพียงใด ติดตามได้เลยครับ

มหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก
       สมัยดึกดำบรรพ์มนุษย์จะมองโลกทุกๆด้านเป็นสิ่งน่าฉงนสนเท่ห์ และแปลกประหลาดไปทั้งหมด ไม่ว่าจะแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า หรือมองดูสภาวการณ์รอบๆตัว จะพบแต่สิ่งเร้นลับของปรากฎการณ์ต่างๆทั้งสิ้น มนุษย์จึงได้เริ่มยุคของการเสาะแสวงหาความจริงเกี่ยวกับความลึกลับของโลกนี้ตลอดมา และชั่วระยะเวลาอันไม่นานมนุษย์ก็สามารถศึกษาเรื่องราวต่างๆ และเข้าใจถูกต้องมากขึ้น ทั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งของชีวิตมนุษย์ ที่มีกระบวนการพัฒนาการเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย
         เริ่มแรกของการสังเกตเกี่ยวกับโลกและท้องฟ้า ซึ่งปัจจุบันเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า เขาเหล่านั้นมีความเห็นและความรู้สึกไปในทำนองใดหรือด้านใด บางทีอาจจะมองพื้นดินและท้องฟ้า เช่นเดียวกับชาวอียิปต์โบราณ ที่ให้ความคิดว่าโลกนี้เป็นห้องใหญ่ห้องหนึ่ง แผ่นดินเป็นพื้นของห้อง ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เป็นเพด้านที่ค้ำไว้ด้วยเสาใหญ่ 4 ต้น และแขวนไว้ด้วยอำนาจประหลาดของพระเจ้า มีดวงดาวที่ทอแสงระยิบระยับเป็นตะเกียง ดังนี้ก็อาจเป็นได้
         ความนึกคิดในทำนองนี้คงฝังอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์สมัยนั้นมาตลอด แม้กระทั่งเมื่อ 2-3 ร้อยปีมานี้ คนส่วนมากก็เข้าใจว่าโลกนี้มีลักษณะหรือสัณฐานแบน มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ล้อมรอบ มีดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านทางเบื้องบนทุกวัน แล้วสรุปเอาว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆหมุนเวียนอยู่รอบๆ
         แต่ในปัจจุบันนี้ ข้อเท็จจริงและการค้นคว้าตรวจสอบ เป็นที่รับรองต้องกันแล้วว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หากเป็นดาวเคราะห์และเป็นบริวารดวงหนึ่งของดวงอาทิตย์ และแม้ดวงอาทิตย์เองก็มิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลทั้งหมด เป็นเพียงกลุ่มดาวเล็กๆ เท่านั้น ในจำนวนกลุ่มดาวทั้งหลายที่เรามองเห็นเป็นแถบ อยู่ในท้องฟ้าเป็นแถบหนาพาดไปตามท้องฟ้านั้น ส่วนที่หนาแน่นที่สุด และเห็นได้ชัดเจนที่สุด เรียกว่า ทางช้างเผือก (Milky Way)
      นอกจากนั้น เรายังรู้ต่อไปอีกว่า โลกนี้มิได้หยุดนิ่งกับที่ แต่หมุนไปรอบๆดวงอาทิตย์คล้ายลูกข่าง ด้วยความเร็ว 1000 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร และยังโคจรเป็นรูปวงรี ด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อวินาที เพราะการหมุนเวียนรอบตัวเอง และความหนาแน่นของโลกเป็นเหตุที่ทำให้โลกเกิดแรงดึงดูดขึ้น ที่เราเรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity) นั่นเอง ซึ่งเพราะอำนาจของแรงโน้มถ่วงของโลกนี้เองที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆ คงอยู่ในโลกนี้ ไม่หลุดกระเด็นออกไปนอกโลก
        โลกเรานี้เป็นเพียงเพียงวัตถุส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น แต่มีลักษณะพิเศษไปกว่าส่วนอื่นๆของจักรวาลนี้ เพราะในระบบสุริยะจักรวาล บางส่วนมีอุณหภูมิถึง 3 ล้าน 5 แสน องศาฟาเรนไฮต์ และบางส่วนที่ว่างเปล่าเย็นเยือกมีอุณหภูมิต่ำถึง - 459 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ทว่าโลกเรานี้มีอุณหภูมิและส่วนประกอบอื่นๆที่เหมาะสม ทำให้ชีวิตอุบัติขึ้นมาได้ ในรูปร่างของพืช สัตว์ และมนุษย์ ในส่วนหนึ่งของชีวิตเหล่านี้ ชีวิตที่พัฒนาการขึ้นมาเป็นมนุษย์นับว่าเป็นสิ่งที่เจริญถึงขั้นที่สุด การเกิดของโลก ของสภาวะแวดล้อม ของชีวิตตั้งแต่เล็กที่สุดขึ้นมาจนถึงมนุษย์นั้น กว่าจะสำเร็จมาได้แต่ละขั้นนั้น ต้องเสียเวลานานและเต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างยิ่ง

รูปภาพ

กำเนิดสุริยะจักรวาล
       ตามแนวทางการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ ปรากฎว่าราว 5 พันล้านปีล่วงมาแล้ว ภายในอวกาศมีกลุ่มก๊าซ และยังมีหมอกเพลิงอยู่ทั่วไป อาศัยแรงแห่งความโน้มถ่วงและความกดดัน สืบเนื่องมาจากกลุ่มก๊าซภายนอกกลุ่มอื่นๆ ผลักดันให้กลุ่มก๊าซและหมอกเพลิงเหล่านั้นรวมตัวกันเข้า และค่อยๆหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราความเร็วเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อกลุ่มของก๊าซและหมอกเพลิงรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น มีอัตราเร็วของการหมุนมากขึ้น อุณหภูมิก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นด้วย จนในที่สุดก็เป็นดาวฤกษ์ที่มีระดับความร้อนสูงและมีแสงสว่างสดใส บางกลุ่มอาจจับกลุ่มกันมากกว่าสองขึ้นไป แต่บางกลุ่มก็อยู่โดดเดี่ยว เช่นดวงอาทิตย์ของเราเป็นต้น
         สุริยะจักรวาลของเราเป็นจักรวาลที่ใหญ่โตมากจักรวาลหนึ่ง มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวบริวารอีก 9 ดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวบริวารเหล่านี้แยกตัวออกมาจาก
ดวงอาทิตย์ในขณะที่ยังเป็นกลุ่มก๊าซอยู่ และหมุนรอบดวงอาทิตย์ในทางโคจรที่จำกัด นานเข้าก็จับกลุ่มเย็นตัวลงก่อน และกลายเป็นดาวเคราะห์ ที่ไม่มีแสงในตัวเอง และยังมีดาวดวงเล็กๆ เป็นบริวารของดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีก เรียกว่าดวงจันทร์ และก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่จับกลุ่มแล้วโคจรไปในรูปแบบของดาวหาง

รูปภาพ

การเกิดแผ่นดินและทวีป
      เมื่อแรกแตกตัวออกมาจากดวงอาทิตย์นั้น ลูกโลกก็มีลักษณะเป็นดังกลุ่มหมอกเพลิง เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ และก็เคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของมันรอบดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากมีขนาดเล็กกว่าจึงเย็นตัวเร็วกว่าดวงอาทิตย์ และในขณะที่เกิดการเย็นตัวนี้เอง สารที่เป็นส่วนประกอบพวกใดที่มีความหนาแน่นมากกว่า ก็จมลงไปอยู่ในใจกลางลูกกลมๆที่จะกลายเป็นโลก ส่วนที่เบากว่าก็เป็นองค์ประกอบอยู่ภายนอก และจากภายในก็มีไอน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์พุ่งขึ้นมาพร้อมกับก๊าซอย่างอื่น ทำให้เกิดบรรยากาศห่อหุ้มโลก
        นานแสนนานต่อมา ผิวโลกเย็นตัวลงอย่างช้าๆ และอาจกินเวลานานนับล้านๆปีที่ความร้อนภายใน ค่อยแผ่กระจายขึ้นไปภายนอก วัตถุที่หลอมละลายอยู่ข้างในก็พวยพุ่งออกมาภายนอก ในขณะที่มันเย็นตัวลงไปอีก แต่เพราะมีน้ำหนักมากก็เลื่อนตกกลับลงไปในส่วนลึกของมันอีก และส่วนภายในนั้นร้อนแรงและยังคงคุโชนอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
         ดังนั้นภายในโลกจึงอาจจะเป็นแร่ธาตุที่หลอมเหลวและร้อนระอุอยู่ และมีขนาดมหึมา เส้นผ่าศูนย์กลางเฉพาะส่วนที่หลอมเหลวยาวถึง 4500 ไมล์ และมีอุณหภูมิที่ราวๆ 5000 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นความร้อนที่เกือบเท่าๆ กับความร้อนของผิวดวงอาทิตย์ ธาตุที่หลอมเหลวนี้จัดเป็นผิวโลกชั้นในที่เรียกว่า เสื้อคลุมชั้นใน อาจหนาถึง 1800 ไมล์ ประกอบด้วยหิน ธาตุเหล็ก และโลหะอย่างอื่นๆปนอยู่อีกมาก
         รอบๆ เสื้อคลุมชั้นในนี้ กลายเป็นชั้นบางๆของผิวโลก ถ้าเปรียบโลกทั้งใบเป็นดังผลแอปเปิล ผิวชั้นนี้ก็ไม่หนาไปกว่าผิวแอปเปิลเลย ชั้นล่างของชั้นหินนี้เป็นหินที่เราพบในลักษณะของลาวา ซึ่งภูเขาไฟพ่นออกประมาณว่าเปลือกนี้หนาถึง 20 ไมล์ ชั้นล่างสุดของผิวนี้เป็นท้องมหาสมุทรและทะเล ส่วนที่สูงขึ้นมาก็เป็นพื้นผิวของทวีปซึ่งกลายเป็นภูเขา แผ่นดิน และเนื้อเปลือกโลกชั้นนอกสุด อันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
         เริ่มแรกที่ทวีปเกิดขึ้นใหม่ๆนั้น มีลักษณะน่ากลัวมาก เพราะขณะนั้นผิวโลก และภายในยังคงร้อนระอุอยู่ จึงมีเปลวไฟ กลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด และหมอกควันระเบิดพวยพุ่งขึ้นมาเป็นแห่งๆ บางทีก็มีลาวาที่ประกอบด้วยหินละลายเหลวไหลขึ้นมาเป็นทะเลเพลิง ซึ่งในทะเลเพลิงของลาวานี้ก็มีหินแกรนิตมหึมาผุดลอยขึ้นมาด้วย เมื่อเย็นลงก็มีหินละลายส่วนอื่นๆจัลเกาะเพิ่มเติมให้หนาออกไปเรื่อยๆ และในบางส่วนผิวนอกเย็นตัวเกาะเป็นของแข็ง แต่บางส่วนภายในที่ยังเดือดอยู่ก็ผลักดันให้ปูดนูนขึ้นภายนอก
         ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าส่วนของทวีปในโลกนี้ เกิดขึ้นในบริเวณไหนก่อน อาจเกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน ในหลายๆแห่ง แล้วค่อยๆแปรสภาพไปทีละขั้นตอน ตามอำนาจของการเปลี่ยนแปลงของโลก จนมีสภาพกลายเป็นทวีปต่างๆ และทุกวันนี้ผิวโลกส่วนที่เป็นทวีปนี้ ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ช้าลงเท่านั้น

รูปภาพ


การเกิดน้ำ
       เมื่อผิวโลกร้อนอยู่นั้น ถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มเมฆหมอกของก๊าซต่างๆ ซึ่งอาจจะกินเวลานานนับล้านปีที่เมฆหมอกเหล่านี้ปกคุมโลกอยู่ ต่อมาเมฆหมอกและก๊าซก็ค่อยๆเย็นตัวลงตามลำดับ การรวมตัวของก๊าซบางอย่างที่พอเหมาะกับสัดส่วน ทำให้เกิดละอองไอน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อเย็นลงก็จับตัวกันเป็นหยดน้ำและตกลงมาเป็นฝน เมื่อฝนตกลงมากระทบผิวโลกที่ยังร้อนอยู่ก็กลายเป็นไอน้ำ ลอยขึ้นไปรวมตัวกันเป็นเมฆดำและเป็นฝนตกลงมาอีก เมื่อผิวโลกเย็นตัวลง ฝนที่ตกลงมาก็ตกค้างเหลืออยู่บนผิวโลกบ้าง ระเหย
กลับขึ้นไปอีกบ้าง ครั้นฝนตกลงมาเรื่อยๆ นับเป็นเวลาล้านๆปี อำนาจของน้ำฝนที่ตกลงมาในที่สูงของแผ่นดิน ซึ่งต่อมาเราเรียกว่าภูเขานั้นก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำเบื้องล่าง และขังอยู่ตามแอ่งของผิงโลกคล้ายกับสระน้ำมหึมา เมื่อฝนค่อยๆเบาบางลงเมฆหมอกก็เริ่มจางลง น้ำฝนที่ตกลงมาสะสมมากขึ้นก็ทำให้เกิดเป็นมหาสมุทร
         เวลาได้ผ่านไปอีกหลายล้านปีกว่าผิวโลก มหาสมุทร และทะเลต่างๆ จะปรากฎออกมาอย่างที่ได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ นับแต่ยุคฝนตกใหญ่ และมีน้ำท่วมผิวโลก ทำให้ผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกเรื่อยมา ทำให้บางส่วนที่เคยเป็นพื้นดินยุบตัวลึกลงเป็นทะเลหรือมหาสมุทรไป และส่วนที่เคยจมน้ำอยู่บางส่วนถูกกดดันให้ปูดนูนสูงขึ้นมาพ้นน้ำบ้าง ริมแผ่นดินที่จรดขอบน้ำอันเป็นฝั่งทะเลหรือฝั่งมหาสมุทร ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทำให้มีลักษณะเว้าแหว่งดังเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

รูปภาพ

การเกิดภูเขา   
   
         เมื่อภายในโลกเย็นตัวลง และมีการยุบตัวลงอีกที่ผิวนอก และเกิดรอยย่นเพราะการเปลี่ยนแปลงของความกดดันของโลกภายใน จึงทำให้เกิดภูเขาสูงและหุบเหวลึกขึ้นในส่วนต่างๆ ฝนที่ตกลงมาผสมกับก๊าซบางอย่างในอากาศ ทำให้มีสภาวะเป็นกรด กร่อนและเซาะภูเขาให้เว้าแหว่ง หลุดเลื่อนลงไปยังส่วนที่ต่ำที่สุด และเมื่อฝนตกลงมาอีก ก็ชะเอาส่วนที่สึกกร่อนอันประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ และสอ่งอื่นๆไปด้วย แร่ธาตุและเกลือเหล่านี้จะลงไปสะสมอยู่ในทะเลมากขึ้นจนทำให้น้ำมีรสเค็ม และเนื่องจากน้ำเป็นของเหลว เมื่อถูกความร้อนหรือได้รับแรงดึงดูดจากดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ ก็เกิดปรากฎการณ์เอ่อนูนและลดต่ำ เป็นน้ำขึ้นน้ำลง และมีกระแสน้ำหมุนเวียน ทำให้ผิวโลกถูกทำลายให้เปลี่ยนแปลงลักษณะอยู่ตลอดเวลา
         เทือกเขาที่โผล่สูงขึ้นมาก็เกิดพังลงเพราะอำนาจของแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ ในขณะที่ผิวไลกเกิดการหดตัว ผิวโลกบางส่วนที่เป็นของแข็งก็แตกร้าวเป็นร่องกว้าง ทำให้หินเลื่อนมากระทบกัน และก็มีไม่น้อยที่ชั้นของหินถูกแรงกดดันภายในโลกดันให้โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทร ทำให้เกิดเป็นเกาะหรือทวีป
         การเคลื่อนที่ทันทีทันใด เกี่ยวกับการหดตัวของผิวโลก และหินเลื่อนกระทบกัน หรือหินเดือดภายในโกลกดดัน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แร่ธาตุที่ร้อนจัดละลายอยู่ภายในของโลกก็พุ่งขึ้นมาตามรอยร้าวของหิน พ่นเอาก๊าซ และลาวาขึ้นมาด้วย เกิดเป็นภูเขาไฟ จึงมาลาวาปกคลุมผิวโลกอยู่ และนานนับล้านปีจึงจะสึกกร่อนกลายเป็นแผ่นดินไปได้บ้าง ลักษณะเช่นนี้จะเห็นได้จากพื้นที่จำนวนหลายแสนตารางไมล์ ทางบริเวณตะวันตกของประเทศแคนาดาปัจจุบัน ที่ปกคลุมด้วยหินลาวาและเกิดเป็นเทือกเขา ลอเรนเตียนส์ ให้เห็นจนทุกวันนี้
         เทือกเขาสูงๆ ทั้งหลายบนโลก เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาร็อกกี้ เทือกเขาแอล์ป และเทือกเขาแอนดีส ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ เทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาบางลูก ยังปรากฎ
ให้เห็นอยู่ว่าถูกผลักดันให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนทุกวันนี้ ไม่ถึงล้านปีมานี้เอง ภูเขาแคสเคดที่อยู่ทางด้านตะวันออกของสหรัฐฯ ได้โผล่ขึ้นมาจากทะเล ด้วยอำนาจของการระเบิดของภูเขาไฟในบริเวณนั้น การระเบิดในส่วนอื่นๆของโลกทำให้เกิดภูเขาไม่น้อย แม้ในยุคประวัติศาสตร์ ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ในหลายแห่ง
         การเกิดของภูเขา ทำให้ผิวโลกเปลี่ยนแปลงไป และยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกอยู่ในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทำให้เกิดสภาพเหมาะสมที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น ทำให้โลกพัฒนาการมาได้อย่างน่าประหลาด

รูปภาพ

ยุคธารน้ำแข็ง
      ทุกวันนี้โดยสภาพของธรรมชาติ โลกเรายังคงอยู่ในยุคของน้ำแข็ง เพราะขั้วโลกทั้งสองยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ตามยอดเขาสูงๆก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ ถ้าปราศจากความร้อนที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์แลัว ผิวโลกทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง
        โลกเปลี่ยนแปลงเข้ามาอยู่ในยุคน้ำแข็งเป็นเวลาหลายพันล้านปี ตามทางการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์พบว่า แต่เดิมเมื่อชีวิตเกิดขึ้นมา และพัฒนาการเป็นพืชและสัตว์นั้น หน่วยของชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ทั่วๆไป แม้ตามส่วนที่เป็นขั้วโลก แต่เมื่อเกิดยุคน้ำแข็งขึ้นมา น้ำแข็งก็ได้ผลักดันสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้ถอยร่นลงมายังส่วนที่อบอุ่นของโลก ซึ่งเป็นบริเวณถัดลงมาจากขั้วโลกทั้งสอง และบริเวณส่วนกลางของโลกซึ่งเรียกว่า เส้นศูนย์สูตร
        น้ำแข็งเกิดมาได้ด้วยสาเหตุหลายปรพการด้วยกัน เช่น ภูเขาที่เกิดขึ้นใหม่เพราะอำนาจผลักดันจากส่วนภายในของโลก อาจปิดกั้นทางลมร้อนที่พัดไป ทำให้แผ่นดินเบื้องหลังเย็นตัวลง ขี้เถ้าจากการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งมีอยู่ทั่วไปในขณะนั้น อาจจับกลุ่มเป็นเมฆหนาทึบปิดบังแสงแดดที่ส่องลงมายังผิวโลก เมื่อความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มีน้องลง อุณหภูมิของอากาศก็ลดต่ำลง ทำให้ไอน้ำเกาะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ และกลายเป็นน้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว
         ยุคน้ำแข็งได้ปกคลุมผิวโลกอยู่เป็นเวลานานเป็นล้านปี ผิวโลกเกือบหนึ่งในสี่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เมื่อเมฆเริ่มจางลงและผิวโลกได้รับแสงแดดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น น้ำแข็งก็ละลายบ้าง กลับเกิดขึ้นมาอีกบ้าง กลับไปกลับมาหลายครั้ง การละลายครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้นไปเมื่อประมาณ 10000 ปี มานี้เอง ทำให้บริเวณที่ยังปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเลื่อนขึ้นไปอยู่ที่ขั้วโลกทั้งสอง เพราะแถบนั้นได้รับแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทางเฉียง จึงมีอุณหภูมต่ำ อยู่ในระดับที่ยังมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ได้ ประมาณกันว่าที่ขั้วโลกทั้งสองมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ถึง 5000000 ลูกบาศก์ไมล์ นอกจากนี้น้ำแข็งยังปกคลุมอยู่ในอลาสกา นิวซีแลนด์ และในประเทศแถบคาบสมุทรสแกนดิเวเนีย กับตามเทือกเขาสูงๆ เช่น เทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาแอลป์ เป็นต้น สำหรับน้ำแห็งที่เกิดขึ้นในแถบขั้วโลกทั้งสองนั้นมีเกิดขึ้นและละลายไปเป็นปีๆ
         การที่เกิดยุคน้ำแข็งแล้วน้ำแข็งละลายไหลเลื่อนลงมาสู่ที่ต่ำกว่านั้น ทำให้ผิวโลกยุคนั้นเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งอยู่ทั่วไป ธารน้ำแข็งนี้มีอำนาจสำคัญยิ่ง ในการสึกกร่อนผิวโลกให้เปี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย
         นับเวลาต่อมาเป็นพันๆปี อากาศที่ห่อหุ้มโลกจึงมีอุณหภูมิต่ำลง ขณะเดียวกันที่น้ำแข็งปกคลุมผิวโลกละลาย ก็ทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่อสูงขึ้นทีละน้อยๆไ สำหรับยุคปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาศตร์คำนวนว่า ถ้าน้ำแข็งในที่ต่างๆของโลกละลายหมด จะทำให้น้ำในมหาสมุทรสูงขึ้นมากกว่า 100 ฟุต

รูปภาพ

อนาคตของโลก
       ความจริงโลกเราทุกวันนี้ยังนับว่ามีอายุน้อยมาก เพราะในกาลต่อไปโลกอาจจะยั่งยืนอยู่คู่ดวงอาทิตย์ ซึ่งต้องนับเวลาเป็นนับพันล้านๆ ปี นอกจากจะเกิดเหตุทำให้แตกสลายไปเสียก่อนเท่านั้น เช่นอาจะมีดาวดวงอื่นพุ่งมาชน ถ้ามิเช่นนั้นแล้วกว่าจะเกิดการวิบัติลงไปได้ต้องกินเวลานานแสนนาน บางทีอาจจะสัก 10 พันล้านปีต่อไป ก๊าซไฮโดเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของดวงอาทิตย์จะมีปริมาณน้อยลง เป็นเหตุให้ดวงอาทิตย์พองโตขึ้นและหมุนเร็วยิ่งขึ้น และกลายเป็น ดาวฤกษ์ยักษ์แดง (Red Giant) ไป และมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า เปลือกนอกของดวงอาทิตย์ที่พองออกมาจะเข้าใกล้โลกมากขึ้น ทำให้โลกได้รับความร้อนมากขึ้นอีก จนอาจจะทำให้น้ำในมหาสมุทรระเหยขึ้นไปในอากาศ ทำให้น้ำในมหาสมุทรแห้งขอด บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกก็จะร้อนจัด และพองตัวหนีออกไปนอกอวกาศอันเวิ้งว้าง ชีวิตในโลกจะสิ้นไป แสงสีแดงจะปกคุมไปทั่ว และเต็มไปด้วยความร้อนระอุ เช่นเดียวกับเมื่อตอนเกิดโลก
         บางทีเมื่อดวงอาทิตย์พองตัวใหญ่ขึ้น โลกอาจจะฝังตัวเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์เสียก็ได้ หรือไม่ก็ดวงอาทิตย์ก็จะหดตัวเล็กลง ทำให้อุณหภูมิของโลกต่ำลง และสภาพดินฟ้าอากาศ ก็อาจจะพอมีชีวิตอุบัติขึ้นมาใหม่อีกก็ได้ นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า ดวงอาทิตย์ในกาลต่อไปจะค่อยๆเย็นลง สารที่ประกอบเป็นดวงอาทิตย์จะหดตัวรวมกันเป็นกลุ่มหนาแน่นเข้าอีก สัก 30-40 พันล้านปีดวงอาทิตย์อาจจะมีแสงสว่างน้อยลง และมืดมิดดับไปในที่สุด สุริยะจักรวาลของเราก็จะดับมืดลงไปด้วย โลกจะตกอยู่ในความมืด อากาศจะเย็นจัดจนถึงกับจับตัวเป็นก๊าซแข็งห่อหุ้มโลกทั้งใบ .....!!!!!
แก้ไขล่าสุดโดย 13PM. เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 6:24 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
13PM.
โพสต์: 428
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 15, 2007 1:54 am
ที่อยู่: ลุ่มแม่น้ำกังตั๋ง

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 6:20 am

                                                   ล่าแม่มด เรื่องประหลาดในซาเล็ม     


                                       

             แม่มด คำว่า witch หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า wit ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง "to know" หรือ หยั่งรู้ ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึง พวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ (ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ แต่เดิม แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือจากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแม่มดดำ

                ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ หรือดีเลวอย่างไรก็ตาม ประมาณต้นศตวรรษที่ 6-11 แถบยุโรปเคยมีแม่มดและมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พอศตวรรษที่ 15-17 หรือยุคกลางของยุโรป ที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้นมีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะโยนบาปก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักเป็นแพะรับบาป พร้อมหลักฐานจำนวนหนึ่ง บางทีหลักฐานก็ดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างมั่วว่า สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )

                ฉะนั้นจึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีนานาที่จะนึกออกได้ ใครจะทนการทรมานไหว ก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือ การเผาทั้งเป็น!

                อ*กตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โจนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)

รูปภาพ           

                ครับนี้คือเรื่องย่อๆ เกี่ยวกับการล่าแม่มดครับ แต่เรื่องที่ผมจะมาให้อ่านนี้พอดีผมไปเจอเรื่องสนใจในหนังสือการ์ตูนเรื่อง 'อย่างนี้ต้องพิสูจน์ Q.E.D (Quod Erat Demonstrandum) การ์ตูนเรื่องเยี่ยมจากนักเขียนคนขยัน (หาข้อมูล) อ.โมโตฮิโร่ คาโต้ ครับในเล่มที่ 10 (มั้ง) ได้กล่าวถึงคดีแม่มดในซาเล็มขึ้นอ่านแล้วเลยสะดุดเลยหาข้อมูลมา

รูปภาพ

                และ นี้คือเหตุการณ์ล่าแม่มดตอนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นคดีโศกนาฏกรรมที่สยดสยองโด่งดังและส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมและสังคมอเมริกันอย่างใหญ่หลวง


               เรื่องมันเริ่มเกิดขึ้น....เมื่อ

               
               วันที่ 20 มกราคม ปี 1692 หมู่บ้านซาเล็ม รัฐแมสซาซูเซตต์  เมืองเล็กๆ ในประเทศอเมริกา

                อลิซาเบธ แพร์ริส อายุ 9 ขวบ บุตรสาวของซามูเอล แพร์ริส เขาเป็นผู้นำนิกายโปรเตสแตนท์และเป็นนายกเทศมนตรีท้องถิ่นแห่งหมู่บ้านซาเล็ม และอบิเกล วิลเลี่ยม หลานสาวอายุ 11 ปี จู่ๆ เด็กทั้งสองได้เกิดอาการลึกลับขึ้น ด็กทั้งสองหวีดร้องโหยหวนออกมา สักพักก็ล้มชักดิ้นชักงอ หน้าตาบิดเบี้ยว อยู่ในสถาวะไม่รู้สึกตัว กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้า ศาสนา ถ้อยคำบางท่อนก็ฟังดูประหลาดลึกลับ คล้ายกับภาษาโบราณที่ฟังไม่ออก

                ชั่วเวลาไม่นานนัก เด็กสาวอ*กหลายคนก็แสดงอาการพฤติกรรมประหลาดที่ว่าเกิดขึ้นอ*กหลายๆ หลังคาเรือน

รูปภาพ

             
                "ซาตาน ซาตาน กำลังจะกลับมา ซาตาน......"

                วิลเลี่ยม กริสก์ แพทย์ประจำหมู่บ้านถูกเรียกตัวมาเพื่อรักษาเด็กในหมู่บ้านโดยด่วน กริสก์ใช้เวลานานพอสมควรในการรักษา แต่ผลที่ออกมานั้นไม่เป็นที่พอใจนัก เพราะไม่สามารถรู้ต้นสายปลายเหตุของอาการและพฤติกรรมที่น่าขนลุกนี้ได้เลย

                ในศตวรรษที่ 17 นั้นสมัยก่อนอ่าวแมสซาซูเซตต์สยังอยู่ในสภาพเป็นอาณานิคมของอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่เหนียวแน่นเกี่ยวกับภูตผีเพราะพื้นที่นี้เกิดโรคระบาดบ่อยครั้ง และยังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีก๊กมีเหล่าระหว่างชุมชนของหมู่บ้านซาเล็มเองก็มีคู่อริมีการต่อสู้เปิดศึกกันย่อยๆ ระหว่างชุมชนอยู่เสมอ ทำให้พื้นที่หมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์นี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความหวาดระแวง

                ล่วงเลยไปจนถึงกลางเดือน ก.พ.แพทย์ประจำหมู่บ้านก็จนปัญญาไม่สามารถวินิจฉัยต้นสายปลายเหตุพฤติกรรมน่ากลัวพิลึกพิลั่นได้ ท้ายสุดจึงสรุปเหมาว่าบรรดาเด็กสาวเหล่านี้โดนเวทมนต์คาถาและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน

                ที่นี้ก็เป็นเรื่องสิ เพราะพวกชาวบ้านและนักบวชต่างพากันวิ่งวุ่นกันยกใหญ่ หาวิธีต่างๆ เพื่อเปิดโปงว่าใครคือต้นเหตุ เช่นกรณีของจอห์น อินเดีย บรรจงทำเค้กพิเศษผสมข้าวไรน์กับปัสสาวะเด็ก(อ้วกแตก)จากเด็กๆ ที่ล้มป่วย เพื่อล่อให้พ่อมดแม่มดปรากฏออกมา

                ภายใต้ความกดดันอย่างหนักหน่วงที่จะระบุแหล่งที่มาและต้นกำเนิดของภัยร้าย จู่ๆ บรรดาเด็กสาวได้อ้างชื่อผู้หญิงออกมาสองคนคือ ทิทูบา อินเดียน ทาสรับใช้ชาวคาริบเบียนที่อยู่อาศัยในบ้านของซามูเอล แพร์ริส ถึงวันที่ 29 ก.พ. ได้มีการประกาศจับกุมบิทูบา อินเดียน, ซาราห์ ข้าพเจ้า๊ดและซาราห์ ออสบอร์น แม้ออสบอร์นและข้าพเจ้า๊ดจะยืนยันความบริสุทธิ์ แต่ทิทูบา อินเดียน กลับรับสารภาพว่าได้ฝึกเวทย์มนต์คาถาของแม่มดมาจริงๆ ระหว่างฝึกน่ะสามารถมองเห็นปีศาจร้ายมาปรากฏกายตัวล่ะ มันมีรูปร่างคล้ายหมูอ้วน แต่บางครั้งเป็นหมาขนาดใหญ่ ยิ่งกว่านั้นเธอยังบอกด้วยน่ะว่าสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มแม่มดเพื่อประกอบการชั่วร้ายในเมืองซาเล็มด้วยล่ะ

                ปั้นปลายชีวิตของทิทูบาเธอถูกควบคุมตัวเป็นเวลานาน ในตอนท้ายของการพิจารณาคดีเธอถูกขายออกไปในตลาดทาสอ*กครั้ง

                ไม่กี่วันต่อมาหลังจากนั้นผู้พิพากษาศาลท้องถิ่นจอห์น ฮาธอร์น และโจนาธาน คอร์วิน ลงมือไต่สวนทิทูบา,ซาราห์ ข้าพเจ้า๊ดและซาราห์ ออสบอร์น ในที่ประชุมกลางหมุ่บ้านซาเล็ม สิ่งที่น่าสนใจเป็นบันทึกถ้อยคำให้การระหว่างผู้พิพากษากับซาราห์ ข้าพเจ้า๊ด

                "ผู้ชั่ววิญญาณร้ายตนใดที่เจ้าคุ้นเคยสนิทสนมใกล้ชิดด้วย"

                ไม่มีค่ะ

                "เจ้าเคยทำสัญญาจ้างกับปีศาจหรือไม่"

                "ไม่ค่ะ"

                "ทำไมเจ้าต้องทำร้ายเด็กๆ เหล่านี้"

                "ข้าไม่ได้ทำร้ายเด็กๆ ข้าขอปฏิเสธ"

                "ใครจ้างวานให้เจ้าทำเช่นนั้น"

                "ข้าไม่ได้รับจ้างใครทั้งสิ้น"

                "เช่นนั้นเป็นสรรพสิ่งใดที่เจ้ารับว่าจ้างมา"

                "ไม่มีสิ่งใดเลย ข้านั้นถูกกล่าวหาแบบผิดๆ"


                ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาชาวเมืองจำนวนมากออกมาว่าเคยถูกก่อกวนและเคยเห็นร่างปีศาจจำแลงของบรรดาคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน การล่าแม่มดยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น พร้อมกับคำสารภาพที่มีมากมายที่พร่ำพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนจากผู้คนมากหน้าหลายตา

รูปภาพ

               
                ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกประกาศว่าเป็นแม่มดมีเพิ่มทุกขณะ ถึงเดือนมิถุนายนมีการจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีแม่มดโดยเฉพาะ เรียกว่า "ศาลพิเศษเพื่อรับฟังความและตัดสินโดยพิจารณาความเชื่อถือ ศาลพิเศษแห่งนี้ตัดสินความโดยพิจารณาคดีจากการกล่าวหาซึ่งๆ หน้า มีการประมวลวัตถุพยาน ทั้งที่จับต้องได้และจับไม่ได้ หรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เช่น เครื่องหมายแม่มดในตัวผู้กล่าวหา การตอบสนองของคนล้มเจ็บ การเห็นภาพภูตผี ตอบสนองของคนที่ล้มเจ็บอยู่

                และการประหารแม่มดจึงเริ่มเกิดขึ้น.........................

                บริดเจต์ บิชอป เป็นคนแรกที่ถูกประกาศว่ามีความผิดฐานประพฤติตนเป็นแม่มด เขาถูกตัดสินประหารโดยการแขนคอที่เมืองซาเล็ม นับเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายรายแรกภายใต้กระบวนการศาลเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1692

รูปภาพ

               
                การตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอยังดำเนินการต่อไป ตั้งแต่ปลายเดือนมิถูนายนเรื่อยมา ท่ามกลางโชคชะตาของผู้กล่าวหาว่าเป็นแม่มด แม้จะมีการเปลี่ยนข้าหลวงคนใหม่ เซอร์วิลเลียม ฟิปส์ มารับตำแหน่งใหม่เหตุการณ์เลวร้ายยังเกิดขึ้นเหมือนเดิม

                รีเบคกา เนอร์สม, ซูซานนาห์ มาร์ติน,  ซาราห์ ข้าพเจ้า๊ด และ อลิซาเบธ ฮาร์ นี้คือกลุ่มที่ตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ตามด้วยกลุ่มต่อมาที่ประกอบไปด้วยจอร์จ จาค็อบส์  ซีเนียร์, มาร์ธา แคร์เรียม,  จอร์จ เบอร์โรห์ จอห์นและอลิซาเบธ พร็อคเตอร์ และจอห์น วิลลาร์ด และชาวเมืองอ*กมากที่ลงชื่อวิงวอนในนามผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด

รูปภาพ
               
                จนกระทั้งถึงเดือนกันยายน เมื่อโธมัส แบร็ตเทิล ได้ยอมเสี่ยงชีวิตเขียนจดหมายวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลว่าไม่ยุติธรรมในการไต่สวนคดีแม่มดให้แก่ข้าหลวงฟิลิปส์ จนมีคำสั่งล้มเลิกคดีศาลพิเศษอันพิลึกพิลั่นนี้ เพราะใช้หลักฐานและพยานมั่วนิ่ม จับต้องไม่ได้ และประกาศอภัยโทษและนิรโทษกรรมแก่ผู้กล่าวหาว่าเป็นแม่มดในที่สุด

                บันทึกสุดท้ายของคดีแม่มดแห่งซาเล็ม เกิดขึ้นอ*ก 19 ปีต่อมา โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ปี 1711 กฎหมายฉบับใหม่ได้สั่งให้คืนทรัพย์สมบัติที่ยึดมาจากผู้ตายและครอบครัวของผู้ตายให้หมด รวมไปถึงการจ่ายสินไหมทดแทนด้วย และนี้ เป็นอันยุติคดีแม่มดในซาเล็มตลอดกาล

                สรุปของคดีนี้คือตั้งแต่เกิดคดีนี้ขึ้นในชุมชนซาเล็มมีการประกาศออกหมายจับกุมเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1692 ชาวเมืองกว่า 150 คนถูกกล่าวหาและถูกต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด 4 คน ตายในคุกรวมกับเด็กทารกอ*ก  1 คน การประหารชีวิตต้องการแขวนคอมีขึ้นเมื่อ 10 มิถุนายน, 19 กรกฎาคม,  19 สิงหาคม, 19  กันยายน และ 22 กรกฎาคม รวมทั้งสิ้น 18 คน อ*ก 1 คนถูกทับด้วยแทงหินจนตาย และสุนัข 2 ตัวถูกแขวนคอด้วย โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นข้ารับใช้แม่มด

               

                มันเกิดขึ้นเพราะอะไร

รูปภาพ

             
                สามร้อยกว่าปีผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้เหตุการณ์ "แม่มดแห่งเมืองซาเล็ม" ยังสร้างเหตุฉงนติดค้างคาอยู่ในผู้คนจำนวนมากที่ต้องการหาข้อเท็จจริงว่ามันเกิดขึ้นอะไรกันแน่ที่บรรดาเด็กสาวในเมืองต่างพากันล้มเจ็บและออกอาการผีเข้า และเพ้อถึงซาตาน

                และนี้คือทฤษฏีที่สันนิษฐานที่ถูกหยิบยกมาอธิบายมากที่สุด ซึ่งมีดังต่อไปนี้



               เกิดขึ้นเพราะอิทธิพลของวูดู

                อาจเป็นไปได้ที่ว่าทาสจาก ทิทูบา อินเดียน ที่มาจากแถบคาริบเบียนและรูเรื่องลัทธิวูดูอาจเล่าเรื่องลึกลับและน่าตื่นเต้นให้บรรดาเด็กๆ ฟัง และแน่นอนเด็กๆ ในวัยอยากรู้อยากเห็นย่อมคล้อยตามกับเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้ไปด้วย ไม่นานเด็กบางคนก็เกิดเชื่อเรื่องนี้จริงจังจนเกิดเชื่อเรื่องนี้จนจับใจ ทำให้เกิดอาการสยองขวัญ ขวัญหนีดีฝ่อ และท้ายสุดล้มเจ็บลง

               

                การเรียกร้องความสนใจ

                พวกเธออาจเรียกร้องความสนใจให้คนอื่นเชื่อว่าแม่มด เรื่องลึกลับมีอยู่จริง จนเกิดเรื่องมันบานปลายจนหยุดไม่ได้ขึ้น

               

                โดนยาพิษ

                ว่ากันว่าบรรดาเด็กพวกนั้นอาจกินพวกเห็ดพิษเมาเจือปนอยู่กับเมล็ดข้าวไรย์หรือเมล็ดธัญญาหารที่เก็บเกี่ยวได้มีผลออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการชักสั่นเพ้อคลั่งขึ้นมาและมองเห็นภาพหลวนที่น่ากลัวต่างๆ นานา เช่นซาตาน แม่มด เป็นต้น


                เกมแห่งอำนาจและผลประโยชน์

รูปภาพ

             
               อันนี้น่าจะเป็นคำอธิบายที่น่าเชื่อถือที่สุดในยุคปัจจุบัน เรื่องของเรื่องทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ระหว่างนายกรัฐมนตรีท้องถิ่น เจมส์ เบเลย์ ผู้ชนะได้รับการเลือกตั้งในปี 1689 กับซามูเอล แพร์ริล ผู้ชนะในการเลือกตั้งในปี 1689 เมื่อมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ใช้ผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้มาส่งเสริมความนิยมผู้นำที่นับวันเริ่มเสื่อมลง โดยทิทูบา อินเดียน ทาสจากหมู่เกาะทะเลแคริบเบียนก็เป็นทาสของนายกรัฐมนตรีแพร์ริสเอง ส่วนตัวต้นเหตุอลิซาเบธ แพร์ริส อบิเกล วิลเลียมส์ ไม่ใช้ใครอื่นเพราะเป็นลูกสาวและหลานสาวนั้นเอง และยิ่งสาวลึกลงไปจะพบว่าผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นส่วนมากเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนเจมส์ เบเลย์ คู่แข่งของแพร์ริสทั้งสิ้น

สรุปก็คือตายฟรีอ่ะดิ่แบบนี้
                             
ต่วยตูนพิเศษ เดือนกันยายน 2544 ฉบับที่ 319
แก้ไขล่าสุดโดย 13PM. เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 6:27 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 10:18 am

ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ เป็นบทความที่ดีมากครับ :smiley:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 12:49 pm

อีกตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โจนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)
หลายคนชอบเล่าประวัติศาสตร์ผิดๆเกี่ยวกับนักบุญ โจน ออฟ อาร์ค ในกรณีการล้างมลทินของท่านนะครับ

Joan of Arc

เด็กสาวชาวฝรั่งเศส ในปีค.ศ1424 ลุกขึ้นมาแต่งชุดผู้ชาย และอ้างว่า นักบุญและทูตสวรรค์มีคาแอลบอกให้เธอทำเช่นนี้เพื่อกู้ชาติจากอังกฤษ

ค.ศ1430 ถูกจับกุมโดยอังกฤษ และถูกตัดสินโดย Bishop Cauchon ว่า เธอเป็นแม่มดและเป็นเฮเรติ๊ก และถูกจับเผาทั้งเป็นในปี 1431

ค.ศ.1456 พระศาสนจักรรัชสมัย พระสันตะปาปา Callixtus III-ประกาศว่าเธอบริสุทธิ์และเป็นมรณสักขี

16 พค. 1920 รัชสมัยพระสันตะปาปา Benedict XV-ได้รับประกาศเป็นนักบุญของพระศาสนจักร

ดังนั้น นักบุญโจนได้รับการล้างมลทินโดยพระสันตะปาปาพระศาสนจักรสากล จากการตัดสินของบิชอปท้องถิ่น ในเวลาแค่25ปี ไม่ถึงกับเป็นร้อยปีนะครับ

นอกจากนี้ เรายังพบเสมอ จาก ผู้ที่รู้ไม่จริง หรือชอบแอบด่าพระศาสนจักร ชอบพูดเยาะเย้ยทำนองว่า พระศาสนจักรตัดสินว่าผิด และพระศาสนจักรมาแก้คำตัดสินหลังจากนั้นหลายร้อยปี ซึ่งมั่วให้รุนแรงเกินจริงทั้งสิ้น

สรุปความจริงคือ พระศาสนจักรท้องถิ่นที่อยู่ใต้อำนาจการเมือง โดยบิชอปคนหนึ่งใส่ความท่านนักบุญ ว่าเป็นแม่มด (เพราะใครมันจะยอมรับว่าศัตรูประเทศตัวเองเป็นนักบุญมาจากพระเจ้า) แต่พระศาสนจักรสากลระดับโลกโดยพระสันตะปาปาเอง ที่แก้ ข้อกล่าวหาและคืนความบริสุทธิ์ให้ท่าน ซึ่งเวลา25ปี นับว่าเร็วมากแล้วในสมัยนั้นที่การติดต่อสื่อสารมีแต่ขี่ม้า นั่งเรือ และการตัดสินต้องส่งไปกรุงโรมอิตาลีที่นอกจากห่างไกล ยังต่างชาติต่างภาษา ซึ่งตอนนั้น ก็เท่ากับเธอบริสุทธ์แล้วสำหรับคนทั้งโลก แม้ว่าอังกฤษเองจะยังไม่ค่อยยอมรับ (เช่น วิลเลี่ยม เชคเปียร์ ยังแต่งอุปรากรเรื่อง Henry VI แสดงช่วงปี 1589-1592 โดยพาดพิงว่าท่านเป็นแม่มด แล้วใช้ปีศาจทำสงคราม)

และหลังจากการประกาศความบริสุทธิ์ประมาณ400ปีจึงมีการแต่งตั้งเป็นนักบุญ ซึ่งสำหรับคาทอลิคอังกฤษต้องเคารพท่านในฐานะนักบุญคนหนึ่งของพระศาสนจักรสากล แต่สำหรับแองกลีกันอังกฤษคิดยังไงไม่ทราบ แต่เขาแยกนิกายไปก่อน จะไม่นับท่านเป็นนักบุญก็ทำได้
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 1:04 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 1:27 pm

นักบุญโจน ออฟ อาร์ค องค์อุปถัมภ์ประเทศฝรั่งเศส
ระลึกถึงทุกวันที่ 30 พฤษภาคม


โจนเกิดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 1412 ในหมู่บ้านโดมเรมี ซึ่งอยู่ในเมืองลอร์เรนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของเธอศรัทธาและยากจน เมื่อโจนมีอายุ 12 ขวบเธอได้ยินเสียงจากสวรรค์ ซึ่งให้คำแนะนำเธอเสมอ เธอบอกว่าเป็นเสียงของอัครเทวดามีคาเอล และของนักบุญแคธเธอรีนแห่งอเล็กแซนเดียและนักบุญมาร์กาเรต มรณสักขีของพระศาสนจักรสมัยแรกเริ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคริสตชนในสมัยกลาง

รูปภาพ

เมื่อเสียงสวรรค์ได้บอกเธอให้สถาปนาเจ้าชายโดฟิน พระราชทายาทแห่งราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์ โจนมึนงงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในที่สุด เสียงได้บอกเธอไปหานายทหารชื่อ โรเบอร์ต เดอะ โบ ดริคอร์ท ผู้ซึ่งควบคุมเมืองแวนคูเลียส์ที่อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นคนที่จงรักภักดีต่อพระราชา ขอกำลังทหารจากเขาพาเธอไปเข้าพบเจ้าชายโดฟิน เดอะโบดริคอร์ทได้ปฏิเสธเธอในตอนแรก แต่ได้ช่วยเหลือเธอหลังจากที่เธอได้ทำนายอย่างถูกต้องแม่นยำว่า อังกฤษจะยึดเมืองออร์ลีนส์ได้

เมื่อโจนพร้อมด้วยทหารอารักขาออกเดินทางไปยังพระราชวังชินนอนที่เจ้าชายโดฟินประทับอยู่ เธอมีอายุเพียง 17 ปี เธอตัดผมสั้น และสวมเสื้อผ้าผู้ชาย เหมาะสำหรับงานที่เธอได้รับมอบหมายให้ทำตลอดชีวิตอันสั้นของเธอ ที่พระราชวัง คณะของเธอได้เข้าไปในห้องโถงโอ่อ่าสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เต็มไปด้วยข้าราชบริพาร เจ้าชายโดฟินทรงอาภรณ์เรียบๆธรรมดา และกำลังคลุกคลีกับคนที่มาในงาน อย่างไรก็ตาม โจนสามารถหาเจ้าชายจนพบ และถวายความเคารพอย่างสมพระเกียรติ

รูปภาพ


ทันทีเธอได้ทูลเจ้าชายชาร์ลส์ (โดฟิน) ว่า พระเป็นเจ้าได้ส่งเธอมาช่วยพระองค์ ผู้ซึ่งจะได้ขึ้นครองราชย์สวมมงกุฎเป็นพระราชาในเมืองไรมส์ เมื่อเจ้าชายชาร์ลส์ได้ขอหลักฐานข้อพิสูจน์ เธอได้เปิดเผยคำภาวนาที่พระองค์ได้ทรงวอนขอพระเป็นเจ้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป องค์ชายก็มีความเชื่อมั่นในตัวเธอ

รูปภาพธงที่ท่านใช้ถือ รูปภาพ

งานชิ้นต่อไปของเธอคือการปลดแอกเมืองออร์ลีนส์ แต่งตัวด้วยชุดเกราะและดาบ เธอจะนำหน้ากองทหาร ไม่ใช่เพื่อทำลายชีวิต แต่เพื่อนำวิญญาณไปหาพระเจ้า โจนได้เดินทางไปยังเมืองบลอยส์ ที่ซึ่งเธอได้รวบรวมกองทหารฝรั่งเศส ทุกคืนมีการขับร้องเพลงสรรเสริญแม่พระ ชายที่ปรารถนารับใช้ประเทศชาติต้องไปแก้บาปรับศีลและฟังมิสซา โจนได้สั่งห้ามทหารพูดจาหยาบคายและไม่อนุญาตหญิงโสเภณีเข้ามาในค่ายทหาร

รูปภาพ

โจนตั้งใจจะย่ำเข้าไปในเมืองออร์ลีนส์ แต่นายพลทหารฝรั่งเศสไม่มั่นใจในแผนการณ์ของเธอ เขาเชื่อว่า การต่อสู้โดยผ่านป้อมปราการของอังกฤษเข้าไปโดยตรง จะเป็นภัยพินาศอันใหญ่หลวง พวกเขาตัดสินใจบุกเข้าไปในเมืองโดยทางอ้อม ด้วยความขุ่นเคืองใจมาก โจนจึงทักท้วงว่า "ท่านคิดหลอกข้าพเจ้า แต่ท่านได้หลอกตัวท่านเอง เพราะข้าพเจ้าได้นำมาให้ท่านความช่วยเหลือเหนือธรรมชาติ ความช่วยเหลือจากองค์พระเจ้า ซึ่งอัศวินหรือบ้านเมืองต้องการ"

รูปภาพ

เมื่อโจนนำทหารหนึ่งพันคนเข้าไปในเมือง ประชาชนได้โห่ร้องต้อนรับเธอด้วยความยินดี เธอได้ขอร้องชาวอังกฤษให้วางอาวุธโดยสัญญาว่าจะไว้ชีวิตทุกคน แต่เธอกลับได้รับการดูถูกเยาะเย้ย ด้วยความเชื่อมั่น โจนได้นำกองทหารไปสู่ชัยชนะ ตามที่เธอได้ทำนายไว้ เธอได้รับบาดเจ็บจากลูกศรที่หน้าอกของเธอ เธอได้ดึงลูกศรออกด้วยมือของเธอเอง และกลับเข้าไปในสนามรบ หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ป้อมบัญชาการของศัตรู ทหารฝรั่งเศสมีกำลังเหนือกว่าทหารอังกฤษ วันที่ 7 พฤษภาคม 1429 เป็นวันเริ่มชัยชนะของฝรั่งเศส

เมื่อโจนได้พบเจ้าชายโดฟินที่เมืองทัวส์ เธอได้รบเร้าให้พระองค์เสด็จเข้าเมืองไรมส์เพื่อขึ้นครองราชย์ทันที การสถาปนาเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากพระองค์ทรงตั้งพระทัยให้กองทหารชิงกลับคืนมาเมืองต่างๆ ที่ถูกอังกฤษยึดไปบนเส้นทางสู่เมืองไรมส์ ทุกสิ่งก็สำเร็จตามพระราชหฤทัย ในสงครามแห่งปาเตทหารอังกฤษได้ถูกฆ่าตายเกือบสามพันคน แต่ทหารฝรั่งเศสตายแค่สามคนเท่านั้น เจ้าชายโดฟินได้เสด็จถึงเมืองไรมส์ที่ซึ่งในพิธีเก่าแก่สง่างามพระองค์ได้รับ การสถาปนาเป็นกษัตริย์ พระพรและการสวมมงกุฎจากพระอัครสังฆราช

เสียงสวรรค์ได้เตือนโจนว่าเธอจะถูกจับกุม และในระหว่างการต่อสู้เธอได้ตกเป็นเชลยของเบอร์กัน ดี พันธมิตรของอังกฤษ แล้วเธอถูกขายให้อังกฤษ

รูปภาพ



การถูกคุมขังและขึ้นศาลได้เปิดโอกาสให้โจนเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ทางจิตวิญญาณ ที่ศาสนศาลในเมืองรวน ผู้กล่าวหาชาวอังกฤษและเบอร์กันดี ต้องการตัดสินลงโทษเธอ ในข้อหาขัดต่อความเชื่อของพระศาสนา โดยเหตุผลทางการเมือง โจนได้สู้ความด้วยตัวเธอเอง จากข้อกล่าวหาฉกรรจ์หลายกระทง ด้วยความเที่ยงธรรม ความกล้าหาญ และปรีชาญาณ พระสังฆราชแห่งเมืองบิวเวส์เป็นผู้ตัดสินคดี และได้ลงโทษเผาโจนทั้งเป็นที่หลักประหาร ข้อหาว่าเธอมีความเชื่อขัดกับพระศาสนา


รูปภาพ

รูปภาพ

ด้วยความหวาดหวั่น โจนเซ็นชื่อถอนคำพูดบางส่วน แต่ด้วยกำลังใจจากเสียงสวรรค์ เธอได้ยกเลิกการเซ็นชื่อนั้น ก่อนตาย โจนได้ให้อภัยศัตรูของเธอ และได้ขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เธอได้เคยทำ เธอได้ขอให้คนช่วยชูไม้กางเขน เพื่อเธอจะได้มองเห็นองค์พระเยซูคริสตเจ้า ขณะที่พระเพลิงล้อมรอบตัวเธอ เธอได้เรียกพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า จนกระทั่งเธอหมดลมหายใจ วันระลึกถึงเธอ คือ วันที่ 30 พฤษภาคม 1431 ซึ่งเป็นวันฉลองนามนักบุญของเธอ

รูปภาพ

ยี่สิบห้าปีต่อมา ในปี 1456 ศาสนศาลได้ประกาศว่า การขึ้นศาลของโจนและการตัดสินลงโทษเธอ เป็นโมฆะเนื่องจากบิดเบือนความจริง และผิดกฏหมาย ทั่วประเทศฝรั่งเศสได้มีขบวนแห่ระลึกถึงวีรกรรมของโจน ในการกู้ชาติ ในปี 1909 นักบุญพระสันตะปาปาปิโอที่ 10 ได้แต่งตั้งโจนเป็นบุญราศี และในปี 1920 พระสันตะปาปาเบเนดิกที่ 15 ได้แต่งตั้งเธอเป็นนักบุญ

รูปภาพ

ตราบจนปัจจุบันนี้ นักบุญโจนเป็นแบบอย่างแห่งความบริสุทธิ์ใจ ความเร่าร้อนในการกอบกู้วิญญาณ และการทำตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า

ให้เราภาวนา:
ข้าแต่พระเป็นเจ้า โดยคำวิงวอนของนักบุญโจน ออฟ อาร์ค โปรดประทานพระหรรษทานให้เรารักษาดวงใจและวิญญาณของเราให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ โดยการแก้บาปรับศีลอย่างสม่ำเสมอและการฟังมิสซา ให้เรารัก ให้อภัย และทำดีต่อศัตรูของเรา ให้เราสวดทุกวันให้คนบาปกลับใจ ให้เราฟังเสียงของพระองค์ทุกเวลา และทำตามน้ำพระทัยด้วยความยินดี อาแมน


http://www.issara.com/holy/st/joanofarc.html
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 1:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 1:32 pm

ขอบคุณเจ้าของกระทู้และคุณโฮลี่ครับ สำหรับข้อมูลดีๆต่างๆ สวรรค์ส่งนักรบของพระคริสต์มาปกป้องผู้ถูกกดขี่และช่วงชิงอิสระภาพและเสรีภาพ คืนสู่ผู้ยากไร้เสมอมา อาเมน

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 2:56 pm

การเมืองนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

เฮ้อ! ข้าผู้เป็นนักรัฐศาสตร์ จะทำอย่างไรดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
dark-kanita
โพสต์: 317
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 18, 2007 2:37 pm

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 3:22 pm

ยอดไปเลยคะ  เราชอบประวัติศาสาตร์เรื่องนี้มากที่สุด  ชอบ โจน  ออฟ  อาร์ท มากๆคะ  ขอบคุณสำหรับข้อมูลคะ  วันหลังถ้ามีอีกก็โพส เยอะนำคำชอบมากๆๆคะ
Marie Antoinette
โพสต์: 626
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
ที่อยู่: bkk

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 6:12 pm

อิอิ อ่านเรื่องแม่มดแล้ว คิดถึงตอนเด็กๆ อยากเป็นมาก ฉะนั้น......
ตอนนี้ก็คงจะได้เป็นแล้วหรือเปล่า เห็น sweety เรียกเราว่า "ยายแม่มด" เฮ้อ จะดีใจหรือจะเศร้าลีเนี่ย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2007 2:44 am

พูดถึงรูปนี้มีสัญลักษณ์น่าสนใจมากครับ

รูปภาพ

Jeanne d
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2007 2:47 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ต.ค. 04, 2007 2:49 am

ลายเซนต์ของนักบุญ โจน ออฟ อาร์ค

รูปภาพ
ตอบกลับโพส