
เด็กแนวยุคผลัดใบ..แว้น..สก๊อย..อีโม..แอ๊บแบ๊ว!!!
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
เฮ้อ...เด็กไทย 

ความสามารถเฉพาะตัวเด็กและเยาวชนไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง~KaThaRoS~ เขียน:น่านนน ไอ้ที่ไม่น่าจะเล่นก็เล่นจนได้...พ่อเวอร์จิ้นบอยเอ้ยยยยnecromancer เขียน:สำเนาถูกต้อง+Ecclesia+ เขียน: เอาละพี่น้อง........ได้เวลา ก๊อบไปเเฉเพื่อนน้องเอ๋ยเเล้ว
ฮ่าๆ
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
แต่บางที่เด็กกลุ่มนี้เขาก็ต้องการที่แสดงออกมั้ง แบบว่าเก็บกดรึ ประมาณนี้ แต่เด็กแนวบ้านเรานะ ยังไม่ถือว่าดุครับ สู้เด็กแนวบ้านผมไม่ได้ เจอกันนี่ ยิงและ วันนั้น 2 กลุ่ม เดินมาเจอกัน ครับ กลุ่มหนึ่ง ว้าครับ อีกกลุ่ม ไม่แน่ใจ ยิงและเลย(เพราะเขาคือเด็กแนวตะเข็บขายแดนไทย-พม่าป
เกี่ยวกัยมั้ยนิ
เกี่ยวกัยมั้ยนิ
- ~KaThaRoS~
- โพสต์: 792
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 06, 2007 12:07 am
- ที่อยู่: Bkk
- ติดต่อ:
จิงๆนะเด็กกลุ่มนี้เค้าต้องการแสดงออกซึ่งความเป็นตัวของเค้าเองง่ะ
อาจจะเพราะว่าเป็นวัยของการค้นพบอัตตาลักษณ์ในตัวเอง ยิ่งเห็นกระแสตากลมของวัยรุ่นแดนโสมและปลาดิบ(คือเค้าทำแล้วน่ารักอ่ะ)ก็ยิ่งเกิดพฤติกรรมก็อปเค้ามาค่ะ
พยายามตีค่าตัวเองว่าตัวเองงี้น่ารักสุดๆ..แบบขาดความมั่นใจแต่พยายามสร้างเกราะมากลบเกลื่อนอ่า..
อารายยประมานนั้น..

อาจจะเพราะว่าเป็นวัยของการค้นพบอัตตาลักษณ์ในตัวเอง ยิ่งเห็นกระแสตากลมของวัยรุ่นแดนโสมและปลาดิบ(คือเค้าทำแล้วน่ารักอ่ะ)ก็ยิ่งเกิดพฤติกรรมก็อปเค้ามาค่ะ
พยายามตีค่าตัวเองว่าตัวเองงี้น่ารักสุดๆ..แบบขาดความมั่นใจแต่พยายามสร้างเกราะมากลบเกลื่อนอ่า..
อารายยประมานนั้น..


-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
อย่างที่บอกนั้นละครับ วัยนี้เขากำลังต้องการที่จะเเสดงออกถึงศักยภาพของเขานะครับ แต่โดยวัยวุฒิแล้วนี้การกระทำส่วนมากยังขาดวิจราญาณ ที่ดีพอครับ อีกอย่างที่เขาเข้ากลุ่มตามพวกนี่ ผมคิดว่าเขาคงคิดว่าเขาก็มีสังคมที่ยอมรับกันและกัน เหมือนที่เรายอมรับกันและกันในเว็ปนี้ประมาณนั้น แต่ต่างกันตรงที่การกระทำของเขามั้นต่างจากที่สังคมส่วนมากกระทำเลยโดนมองว่าต่างครับ ดังนั้นเมื่อมันต่างปแล้งเขาจึงไม่คิดที่จะสนใจ เลยเกิดกระแสที่เรียกว่าการต่อต้านสังคมและผู้ใหญ่ วัฒนธรรมที่เขาจะได้รับความยอบรับจากสมาชิกกลุ่ม และคนรอบข้างคือการที่เข่ถูกมองว่าเด่นนัก เขาจึงพยายามที่จะสร้างกระเเสเรียกร้องให้สังคมหันมาสนใจ บวกกับการกระทำนี้บางคนใช้ประทวงที่บ้านคือพ่อ-แม่ ซึ่งแรกเข้ามักไม่เท่าไหร่ครับ แต่พอนานไปเด็กส่วนมากก็จะมีความรู้สึกเคยชิน เช่น เมื่อก่อนไม่เคยนุ่งสั้นมาก แต่พอนุ่งแล้วคนยอมรับ และเป็นที่สนใจจึงนุ่งบ่อยๆจนชินที่แทบจะไม่ต้องนุ่งเลย เขาก้ทำได้ อั้นนี้ยังรวมถึงการกระทำที่ก้าวร้าวต่างๆ เช่นการก่อกวน วิวาท รวมถึงอาชญากรรม ซึ่งวัยรุ่นมักจะไม่ลงมือคนเดียวโดยมากมักมีเพื่อนที่คอยกระตุ้นเสมอๆ
ภาวะนี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ใหญ่เข้ามาแก้ไขปัญหา โดยการปรามครับเพราะเขาจะพยายามต่อต้านสุดขั้ว และจะเริ่มชั่วจนสุดขีดครับ ดังนั้นปัญหานี้ละเอียกดอ่อนมากครับ ตองใช้จิตวิทยาขั้นสูงเข้าช่วยนะผมว่า
แต่อย่างไรก็ดี เราต้องช้วยๆกันละครับ เพราะในอนาคตเราต้องฝากประเทศชาตินี้ใว้กับเขาครับ ก็กลัวว่าวันหน้าเรายังจะมีเพลงชาติให้ร้องมีธงชาติให้ใช้อีกรึป่าว เพราะมองที่เด็กก็มีปัญหา แต่เมื่อมองผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ปัญหาหนักกว่าอีก
เตือนน้องๆนะครับ ที่ไม่ชอบร้องเพลงชาติ รีบร้องซะ เพราะถ้าเรายังเป็นกันแบบนี้ โลกนี้อาจไม่มีคำว่า ประเทศไทย อีกต่อไป
ขอพระเจ้าเมตตาครับ
ภาวะนี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ใหญ่เข้ามาแก้ไขปัญหา โดยการปรามครับเพราะเขาจะพยายามต่อต้านสุดขั้ว และจะเริ่มชั่วจนสุดขีดครับ ดังนั้นปัญหานี้ละเอียกดอ่อนมากครับ ตองใช้จิตวิทยาขั้นสูงเข้าช่วยนะผมว่า
แต่อย่างไรก็ดี เราต้องช้วยๆกันละครับ เพราะในอนาคตเราต้องฝากประเทศชาตินี้ใว้กับเขาครับ ก็กลัวว่าวันหน้าเรายังจะมีเพลงชาติให้ร้องมีธงชาติให้ใช้อีกรึป่าว เพราะมองที่เด็กก็มีปัญหา แต่เมื่อมองผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ปัญหาหนักกว่าอีก
เตือนน้องๆนะครับ ที่ไม่ชอบร้องเพลงชาติ รีบร้องซะ เพราะถ้าเรายังเป็นกันแบบนี้ โลกนี้อาจไม่มีคำว่า ประเทศไทย อีกต่อไป
ขอพระเจ้าเมตตาครับ
เอาเทคนิคการแอ๊บแบ๊วมาฝากครับ
ลองดูก็ได้นะครับไม่เสียหาย
เอชลองแล้วสนุกดี
แอ๊บแบ๊ว เป็นคำวิเศษณ์ ที่กำลังนิยมในหมู่วัยรุ่นตอนนี้ ซึ่งต่างกันเพียงเส้นขั้นบางๆกับคำว่า กระแดะ เป็นคำที่ได้ถูกบันทึกลงในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และเป็นที่ฮือฮามาก
เคล็ดลับ"แอ๊บแบ๊ว"
เคยได้ยินคำว่า "แอ๊บ แบ๊ว" กันมั้ยคะ? "แอ๊บแบ๊ว" เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป แต่ เดี๋ยวนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย กะเทย และเพศใกล้เคียงด้วย โรคนี้จะมีอาการควบคู่ไปกับ ภาวะแทรกซ้อน ที่แสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้
1.ดวงตา จากที่เคยมี ลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่"แอ๊บแบ๊ว" จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ ได้ (สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลง ปู ของเนโกะจั๊มพ์ อะโนโนโน่ อย่างนี้ไม่ดี.. ช็อตทื่สองสาวเล่นกับ กล้อง นั่นแหละใช่ เลย! อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ ได้แก่ ที่ดัดขน ตา,มาสคาร่า และอายไล เนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่าง น่าอัศจรรย์ เดี๋ยวนี้มีคอนแท็ค เลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า แต่มีข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคา ร่าหนาเป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะ ค่ะ เมื่อตาโตขึ้นแล้ว อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผล กระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ หัวคิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา สายตาแบบนี้ เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึงกับร้องอ๊าง สาวคนไหนจะลองทำตา แบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ
ปล. จากเอช อาจช่วยได้โดยการใส่ Big eyes (คอนแทค ลองมาแล้วครับสนุกสนานดี)
2. แก้ม อยา กรู้จัง ว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า ผู้หญิง แก้มป่องคือผู้หญิงน่ารัก แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ ได้ ลำพังคนที่ แก้มป่องเป็นธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ แต่สำหรับคนที่แก้ม ตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลม ไว้ในปาก แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น (อิชั้นเคยลองดู แล้ว รู้สึก เหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง) คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้ม ที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็ พลาด กะไซส์แก้มผิดป่องเป็นปลาทองรักเร่ หรือไม่ ก็ ชิพกับเดลล์ เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีกเยอะ.. ได้ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..ปาก ยังช่วยคุณได้ ค่ะ
3. ปาก ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริม ฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี ปากของ สาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้า นิดๆ แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/ กิ๊บซ่า กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบ คน ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอด เวลา ส่วนริม ฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบ โน๊ต เชิญยิ้ม เด็ดขาด แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆเบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง และทีเด็ดคือต้องยิงมุม ปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแบ๊วที่ออกมาจะดูแก่น เซี้ยวแสนซน และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะ เอง.." อย่าลืม รักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้อ้อม แอ้ม พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ ขึ้นอีกจมเลย
4. เสียง เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุด ท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว เสียง มาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ ประมาณ น้องเบเบ้ หรือจิ๊บ ปกฉัตร อะไรแถบๆนี้ ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็ม มา อาจจะต้องไป ตัดปลายลิ้นตัวเองก่อน จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้ น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊ว คือ level ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ทำ อย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น
จริงเหรอ ออกเสียงเป็น จิ๊ง-ง๋ออออออ??
ใช่ไหม เป็น ชิเมะ? / ชิป้ะ? / ชิม้า?
ไม่เอา เป็น มิอาว ววว
คือว่า,เอ่อ เป็น คึ่ บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ? เป็น ต้น
ตัวอย่างประโยค
"อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิด ถึงสุดๆ ไปกินข้าวที่สยามกันมั้ย เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ"
เป็น
"ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ ซึ่หย่ามกึนเมะ เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ" ฯลฯ
วิธีฝึกง่ายๆก็คือยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด แล้วลองอ่าน ข้อความเหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้ ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกอยากกระโดดถีบตัวเองเมื่อ ไหร่ แสดงว่าคุณผ่านการ "แอ๊บแบ๊ว" ระดับเบสิคได้ แล้วล่ะ
..........................................................................................
แฮะๆ เอชลองแล้วนะ
ก็รู้สึกสนุกดี
งื๊ดๆ ฮ่าๆ
เดี๋ยวนี้มองไปซ้ายขวามเจอหมด
รู้สึกผู้ชายจะสามารถแอ๊บแบ๊วได้เก่งกว่าผู้หญิงอีกแหนะฮะ (แน่นอนว่าน่าถีบเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ)
แต่มันก็....สนุกดี ฮ่าๆๆๆ
ขอลองเอารูปข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ตอนโมฯ แล้วมาลงนะครับ แฮะๆ (อายยยยยยว๊อยยยยยยยยย)
H
Blank
Boat
อ่า....รูปแรกข้าพเจ้าเอง (ไม่กล้าใช้คำสั่งรูปภาพ เอา link ไปนะฮะ เชิญเทศนาสาบแช่งตามใจ)
ทั้งหมดที่เอามาลงรูปเพื่อนในกลุ่มข้าพเจ้า ยังมีอีกเยอะ แบ๊วทั้งกลุ่ม
ฉายากลุ่ม แบ๊วเถื่อน ฮ่าๆๆ
ปล. เด็กและเยาวชนไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง
อายยยยยว๊อยยยยยยยยยยยย (แต่มันก็ยังกล้า) ฮ่าๆๆๆ
แต่กลุ่มเอช (ชื่อกลุ่มว่าพรรคโลกีย์)
กลุ่มนี้มีครบตามกระทู้เลยนะครับ และมีอยู่ในตัวทุกคน
1. แว๊นส์ แน่นอนครับ ทุกคนชอบซิ่งรถ ทั้งรถยนต์ และแมงกะไซต์
2. สก๊อย อ่า...อันนี้น่าจะอันเดียวที่ไม่มีนะ...เอ๊ะ รึมี
3. อีโม เหอๆ การแต่งกายแต่ละคน อีโม มากกกกกกกกกก
4. แอ๊บแบ๊ว หึๆ
ลองดูก็ได้นะครับไม่เสียหาย
เอชลองแล้วสนุกดี

แอ๊บแบ๊ว เป็นคำวิเศษณ์ ที่กำลังนิยมในหมู่วัยรุ่นตอนนี้ ซึ่งต่างกันเพียงเส้นขั้นบางๆกับคำว่า กระแดะ เป็นคำที่ได้ถูกบันทึกลงในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน และเป็นที่ฮือฮามาก
เคล็ดลับ"แอ๊บแบ๊ว"
เคยได้ยินคำว่า "แอ๊บ แบ๊ว" กันมั้ยคะ? "แอ๊บแบ๊ว" เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป แต่ เดี๋ยวนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย กะเทย และเพศใกล้เคียงด้วย โรคนี้จะมีอาการควบคู่ไปกับ ภาวะแทรกซ้อน ที่แสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้
1.ดวงตา จากที่เคยมี ลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่"แอ๊บแบ๊ว" จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ ได้ (สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลง ปู ของเนโกะจั๊มพ์ อะโนโนโน่ อย่างนี้ไม่ดี.. ช็อตทื่สองสาวเล่นกับ กล้อง นั่นแหละใช่ เลย! อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ ได้แก่ ที่ดัดขน ตา,มาสคาร่า และอายไล เนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่าง น่าอัศจรรย์ เดี๋ยวนี้มีคอนแท็ค เลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า แต่มีข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคา ร่าหนาเป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะ ค่ะ เมื่อตาโตขึ้นแล้ว อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผล กระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ หัวคิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา สายตาแบบนี้ เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึงกับร้องอ๊าง สาวคนไหนจะลองทำตา แบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ
ปล. จากเอช อาจช่วยได้โดยการใส่ Big eyes (คอนแทค ลองมาแล้วครับสนุกสนานดี)
2. แก้ม อยา กรู้จัง ว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า ผู้หญิง แก้มป่องคือผู้หญิงน่ารัก แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ ได้ ลำพังคนที่ แก้มป่องเป็นธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ แต่สำหรับคนที่แก้ม ตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลม ไว้ในปาก แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น (อิชั้นเคยลองดู แล้ว รู้สึก เหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง) คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้ม ที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็ พลาด กะไซส์แก้มผิดป่องเป็นปลาทองรักเร่ หรือไม่ ก็ ชิพกับเดลล์ เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีกเยอะ.. ได้ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..ปาก ยังช่วยคุณได้ ค่ะ
3. ปาก ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริม ฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี ปากของ สาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้า นิดๆ แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/ กิ๊บซ่า กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบ คน ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอด เวลา ส่วนริม ฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบ โน๊ต เชิญยิ้ม เด็ดขาด แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆเบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง และทีเด็ดคือต้องยิงมุม ปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแบ๊วที่ออกมาจะดูแก่น เซี้ยวแสนซน และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะ เอง.." อย่าลืม รักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้อ้อม แอ้ม พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ ขึ้นอีกจมเลย
4. เสียง เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุด ท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว เสียง มาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ ประมาณ น้องเบเบ้ หรือจิ๊บ ปกฉัตร อะไรแถบๆนี้ ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็ม มา อาจจะต้องไป ตัดปลายลิ้นตัวเองก่อน จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้ น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊ว คือ level ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ทำ อย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น
จริงเหรอ ออกเสียงเป็น จิ๊ง-ง๋ออออออ??
ใช่ไหม เป็น ชิเมะ? / ชิป้ะ? / ชิม้า?
ไม่เอา เป็น มิอาว ววว
คือว่า,เอ่อ เป็น คึ่ บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ? เป็น ต้น
ตัวอย่างประโยค
"อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิด ถึงสุดๆ ไปกินข้าวที่สยามกันมั้ย เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ"
เป็น
"ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ ซึ่หย่ามกึนเมะ เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ" ฯลฯ
วิธีฝึกง่ายๆก็คือยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด แล้วลองอ่าน ข้อความเหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้ ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกอยากกระโดดถีบตัวเองเมื่อ ไหร่ แสดงว่าคุณผ่านการ "แอ๊บแบ๊ว" ระดับเบสิคได้ แล้วล่ะ
..........................................................................................
แฮะๆ เอชลองแล้วนะ
ก็รู้สึกสนุกดี
งื๊ดๆ ฮ่าๆ
เดี๋ยวนี้มองไปซ้ายขวามเจอหมด
รู้สึกผู้ชายจะสามารถแอ๊บแบ๊วได้เก่งกว่าผู้หญิงอีกแหนะฮะ (แน่นอนว่าน่าถีบเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ)
แต่มันก็....สนุกดี ฮ่าๆๆๆ
ขอลองเอารูปข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ตอนโมฯ แล้วมาลงนะครับ แฮะๆ (อายยยยยยว๊อยยยยยยยยย)
H
Blank
Boat
อ่า....รูปแรกข้าพเจ้าเอง (ไม่กล้าใช้คำสั่งรูปภาพ เอา link ไปนะฮะ เชิญเทศนาสาบแช่งตามใจ)
ทั้งหมดที่เอามาลงรูปเพื่อนในกลุ่มข้าพเจ้า ยังมีอีกเยอะ แบ๊วทั้งกลุ่ม
ฉายากลุ่ม แบ๊วเถื่อน ฮ่าๆๆ
ปล. เด็กและเยาวชนไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง
อายยยยยว๊อยยยยยยยยยยยย (แต่มันก็ยังกล้า) ฮ่าๆๆๆ
แต่กลุ่มเอช (ชื่อกลุ่มว่าพรรคโลกีย์)
กลุ่มนี้มีครบตามกระทู้เลยนะครับ และมีอยู่ในตัวทุกคน
1. แว๊นส์ แน่นอนครับ ทุกคนชอบซิ่งรถ ทั้งรถยนต์ และแมงกะไซต์
2. สก๊อย อ่า...อันนี้น่าจะอันเดียวที่ไม่มีนะ...เอ๊ะ รึมี
3. อีโม เหอๆ การแต่งกายแต่ละคน อีโม มากกกกกกกกกก
4. แอ๊บแบ๊ว หึๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Alphonse เมื่อ อังคาร ต.ค. 30, 2007 12:28 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
อันที่จริงแล้วกระผมว่าถ้าการทำตัวเป็นมนุษย์ปกติตามสามัญชนไม่ได้นี่ น่าจะกลับบ้านเดิมไปซ้ะ
เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก

เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก


ยังมีแอ๊บอื่นๆ อีกนะฮะ
แอ๊บอื่นๆ
แอ๊บบ้า - พวกที่ชอบทำหน้า บ้าๆ บอ ปกปิดความทุกข์ใจ บังเอิญเหมือนวงดนตรีดัง ยุค 70 (ABBA)
แอ๊บจิต - พวกที่ผิดปกติไปในทางจิต ชอบทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยกับเพศเดียวกัน
แอ๊บเปิ้ล - พวกที่ทำหน้าตาเหมือน (เลียนแบบ) สินค้าของแมคอินทอช เช่น ไอพอกจีนแดง
แอ๊บโฟร่ - พวกที่ชอบทำหัวฟูๆ
แอ๊บฟริกา - พวกที่ชอบทำหน้าดำๆ ทำตัวดำๆ เช่น ชาวซูดาน ชาวอูกันดา ชาวไนจีเรีย
แอ๊บแม้ว - พวกที่ชอบทำหน้าแม้วๆ หรือ เหลี่ยมๆ เช่น หม่ำ จ๊กมก
แอ๊บโด้ - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนโรนัลโด้
แอ๊บครก - พวกที่ชอบทำตัวเป็นสากกะเบือ หรือ ครก นิยมใช้เรียกนักเตะกองหน้าที่ไม่ค่อยยิงประตูให้ทีม เรียกอีกอย่างว่า ทื่อ ด้าน กระบือ
แอ๊บเข้ - พวกที่ชอบทำตัวเป็นตะเข้ ให้สาวๆ มาล่อ อีกทางคือพวกที่ชอบดนตรีไทย
แอ๊บหมู - ชื่ออาหารที่ขึ้นชื่อมากทางภาคเหนือ (หมูสับห่อใบตองปิ้ง) ซึ่งไม่ใช่อาหารที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกหนุ่ม แม้จะออกเสียงคล้ายกันก้อตาม
แอ๊บเป็ด - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนเป็ด เช่น ครูเป็ด เชิญยิ้ม หรืออาจใช้เรียกไก่บางตัวที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเป็ด
แอ๊บไก่ - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนไก่ ชอบทำตัวตื่นเช้า และมีอารมณ์ขัน มีสุข หรือ อาจใช้เรียกเป็ดบางตัวที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นไก่
แอ๊บแม่ - พวกที่ชอบทำตัวเป็นแม่ ทั้งที่ยังไม่มีลูด เช่น น้องแนน อมิตตดา
แอ๊บอื่นๆ
แอ๊บบ้า - พวกที่ชอบทำหน้า บ้าๆ บอ ปกปิดความทุกข์ใจ บังเอิญเหมือนวงดนตรีดัง ยุค 70 (ABBA)
แอ๊บจิต - พวกที่ผิดปกติไปในทางจิต ชอบทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยกับเพศเดียวกัน
แอ๊บเปิ้ล - พวกที่ทำหน้าตาเหมือน (เลียนแบบ) สินค้าของแมคอินทอช เช่น ไอพอกจีนแดง
แอ๊บโฟร่ - พวกที่ชอบทำหัวฟูๆ
แอ๊บฟริกา - พวกที่ชอบทำหน้าดำๆ ทำตัวดำๆ เช่น ชาวซูดาน ชาวอูกันดา ชาวไนจีเรีย
แอ๊บแม้ว - พวกที่ชอบทำหน้าแม้วๆ หรือ เหลี่ยมๆ เช่น หม่ำ จ๊กมก
แอ๊บโด้ - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนโรนัลโด้
แอ๊บครก - พวกที่ชอบทำตัวเป็นสากกะเบือ หรือ ครก นิยมใช้เรียกนักเตะกองหน้าที่ไม่ค่อยยิงประตูให้ทีม เรียกอีกอย่างว่า ทื่อ ด้าน กระบือ
แอ๊บเข้ - พวกที่ชอบทำตัวเป็นตะเข้ ให้สาวๆ มาล่อ อีกทางคือพวกที่ชอบดนตรีไทย
แอ๊บหมู - ชื่ออาหารที่ขึ้นชื่อมากทางภาคเหนือ (หมูสับห่อใบตองปิ้ง) ซึ่งไม่ใช่อาหารที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกหนุ่ม แม้จะออกเสียงคล้ายกันก้อตาม
แอ๊บเป็ด - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนเป็ด เช่น ครูเป็ด เชิญยิ้ม หรืออาจใช้เรียกไก่บางตัวที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นเป็ด
แอ๊บไก่ - พวกที่ชอบทำหน้าเหมือนไก่ ชอบทำตัวตื่นเช้า และมีอารมณ์ขัน มีสุข หรือ อาจใช้เรียกเป็ดบางตัวที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นไก่
แอ๊บแม่ - พวกที่ชอบทำตัวเป็นแม่ ทั้งที่ยังไม่มีลูด เช่น น้องแนน อมิตตดา
เอาน่าพี่ สนุกสนานHolysong_holyHill เขียน: อันที่จริงแล้วกระผมว่าถ้าการทำตัวเป็นมนุษย์ปกติตามสามัญชนไม่ได้นี่ น่าจะกลับบ้านเดิมไปซ้ะ
เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก![]()
![]()
ชีวิตจะได้มีความสุข(ไปวันๆ)
เห็นโฆษณา Dtac ตัวใหม่ป่ะฮะ
ดูแล้วทำใจให้สบาย....
ฮ่าๆๆๆๆ
- ดานุ้งพุงระเบิด
- โพสต์: 518
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
- ที่อยู่: อุบลราชธานี
ผมชอบแอ๊บแก่ครับ จนใครๆ เขาก็นึกว่าอายุสามสิบกว่าแล้ว
แถวๆ อาณาเขตวัดผมก็มีเยอะทั้งแว้นกับอีโม อีโมผมว่าเขาไม่เป็นอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่พวกแว้นนี่สิ สุดๆ เลย
แถวๆ อาณาเขตวัดผมก็มีเยอะทั้งแว้นกับอีโม อีโมผมว่าเขาไม่เป็นอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่พวกแว้นนี่สิ สุดๆ เลย
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
มีแต่เดกแว้น น่าจะมีเด็ก แว่น มั่ง
Holysong_holyHill เขียน: อันที่จริงแล้วกระผมว่าถ้าการทำตัวเป็นมนุษย์ปกติตามสามัญชนไม่ได้นี่ น่าจะกลับบ้านเดิมไปซ้ะ
เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก![]()
![]()
เห็นด้วยครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องครองชีวิตให้รอดกับการทำงาน การบริหารรายจ่าย และการเรียน(หากยังเรียนอยู่) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับคนสู้ชีวิต แต่กลับมามนุษย์บางประเภท กลับทำให้สังคมอยู่กันยากขึ้น ผมว่ากลับไป คงคบคนได้แค่คนไม่กี่กลุ่ม I always openmind for other people, but some people never openmind for us.ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่สามารถเข้ากันได้เลย(สักนิด)กับวัยรุ่นยุคใหม่ๆในสังคม(ก่อนมาเมืองนอก) สัญชาติญาณของมนุษย์คือการปรับตัว และมองจุดรวม สงวนจุดต่าง หากปรับจนสุด มองจุดรวมเท่าที่ทำได้แล้ว ยังไปกันไม่รอด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ทั้งๆที่พูดภาษาเดียวกัน
มนุษย์คือสัตว์สังคมครับ จำเป็นต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม และต้องมีเพื่อน แต่มนุษย์บางประเภท หมดทางจริงๆที่จะเข้าหาและปรับตัว แม้ปรับก็ยังเหมือนจะเข้ากันไม่ได้อยู่ดี(คนพวกนี้ สำหรับผม ปรับตัวเข้าหาและทำความเข้าใจ ยากกว่ามุสสิมอีก เพราะอะไรไม่รู้ ไอ้พวกมนุษย์พันธ์ใหม่)
ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
แล้วอย่างเอช คอมมูนิสต์เอียงซ้าย แต่ชอบทำหน้าแอ๊บแบ๊ว + ซิ่งรถ(ตามโอกาสอันควร เครียดมากๆ) พอเข้ากันได้ป่ะฮะPry-Kaew เขียน:Holysong_holyHill เขียน: อันที่จริงแล้วกระผมว่าถ้าการทำตัวเป็นมนุษย์ปกติตามสามัญชนไม่ได้นี่ น่าจะกลับบ้านเดิมไปซ้ะ
เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก![]()
![]()
เห็นด้วยครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องครองชีวิตให้รอดกับการทำงาน การบริหารรายจ่าย และการเรียน(หากยังเรียนอยู่) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับคนสู้ชีวิต แต่กลับมามนุษย์บางประเภท กลับทำให้สังคมอยู่กันยากขึ้น ผมว่ากลับไป คงคบคนได้แค่คนไม่กี่กลุ่ม I always openmind for other people, but some people never openmind for us.ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่สามารถเข้ากันได้เลย(สักนิด)กับวัยรุ่นยุคใหม่ๆในสังคม(ก่อนมาเมืองนอก) สัญชาติญาณของมนุษย์คือการปรับตัว และมองจุดรวม สงวนจุดต่าง หากปรับจนสุด มองจุดรวมเท่าที่ทำได้แล้ว ยังไปกันไม่รอด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ทั้งๆที่พูดภาษาเดียวกัน
มนุษย์คือสัตว์สังคมครับ จำเป็นต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม และต้องมีเพื่อน แต่มนุษย์บางประเภท หมดทางจริงๆที่จะเข้าหาและปรับตัว แม้ปรับก็ยังเหมือนจะเข้ากันไม่ได้อยู่ดี(คนพวกนี้ สำหรับผม ปรับตัวเข้าหาและทำความเข้าใจ ยากกว่ามุสสิมอีก เพราะอะไรไม่รู้ ไอ้พวกมนุษย์พันธ์ใหม่)
ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
แฮะๆ
แอ๊บแบ๊วคือการเลียนแบบปลาทองหยอ?
-
- โพสต์: 626
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
- ที่อยู่: bkk
necromancer เขียน:แล้วอย่างเอช คอมมูนิสต์เอียงซ้าย แต่ชอบทำหน้าแอ๊บแบ๊ว + ซิ่งรถ(ตามโอกาสอันควร เครียดมากๆ) พอเข้ากันได้ป่ะฮะPry-Kaew เขียน:Holysong_holyHill เขียน: อันที่จริงแล้วกระผมว่าถ้าการทำตัวเป็นมนุษย์ปกติตามสามัญชนไม่ได้นี่ น่าจะกลับบ้านเดิมไปซ้ะ
เพราะเท่าที่เห็นการดำรงชิพของมนุษยชาติเรานี่ นับวันยิ่งยากขึ้น การที่เราจะดำรงตนแต่ละวันก็ลำบากนักแล้ว ดันต้องทำอะไรที่ลำบากกว่าเข้าไปอีก เออ มนุษย์หนอ มนุษย์ นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกแล้ว ยังชอบทำตัวแปลกๆอีก![]()
![]()
เห็นด้วยครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องครองชีวิตให้รอดกับการทำงาน การบริหารรายจ่าย และการเรียน(หากยังเรียนอยู่) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับคนสู้ชีวิต แต่กลับมามนุษย์บางประเภท กลับทำให้สังคมอยู่กันยากขึ้น ผมว่ากลับไป คงคบคนได้แค่คนไม่กี่กลุ่ม I always openmind for other people, but some people never openmind for us.ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่ไม่สามารถเข้ากันได้เลย(สักนิด)กับวัยรุ่นยุคใหม่ๆในสังคม(ก่อนมาเมืองนอก) สัญชาติญาณของมนุษย์คือการปรับตัว และมองจุดรวม สงวนจุดต่าง หากปรับจนสุด มองจุดรวมเท่าที่ทำได้แล้ว ยังไปกันไม่รอด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ทั้งๆที่พูดภาษาเดียวกัน
มนุษย์คือสัตว์สังคมครับ จำเป็นต้องอยู่กันเป็นกลุ่ม และต้องมีเพื่อน แต่มนุษย์บางประเภท หมดทางจริงๆที่จะเข้าหาและปรับตัว แม้ปรับก็ยังเหมือนจะเข้ากันไม่ได้อยู่ดี(คนพวกนี้ สำหรับผม ปรับตัวเข้าหาและทำความเข้าใจ ยากกว่ามุสสิมอีก เพราะอะไรไม่รู้ ไอ้พวกมนุษย์พันธ์ใหม่)
ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
แฮะๆ
พี่พูดตรงๆแม้ว่าพี่จะรู้จักเราแค่ในเว็บฯก็ตาม แต่ดูทางอุดมการณ์และแนวความคิดแล้ว ดีกว่ามนุษย์พันธ์ใหม่แอ๊บแบ๊วนรกมากนักครับ อย่างน้อยคนที่รู้จักเช กุวาร่า ก็สามารถคุยกับพี่แก้วได้แล้ว(มนุษย์พันธ์ใหม่นอกจากเช จะไม่รู้จักแล้ว ยังมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกับว่าเรากับเขา มากันคนละโลกเลย) อันนี้เป็นมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้วครับ อาจเป็นเพราะพี่อายุมากกว่าคนอื่นด้วยมั้ง แต่ก็ไม่แน่พวกรอบค่ำที่มาจากมนุษย์อ็อฟฟิตขึ้แอ็ก พี่ก็เข้ากับพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน
ยกตัวอย่าง สมัยผมอยู่ รด.ปีห้า คนที่มาเรียน มาจากสารพัดคน สารพัดระดับการศึกษา แม้ว่ายังเรียนอยู่ก็มาจากหลายสถาบัน ร้อยพ่อพันแม่ แต่ทำไมอยู่ด้วยกันได้ ลำบากด้วยกันได้ เพราะอะไร ในทางกลับกัน มนุษย์พันธ์ใหม่ นอกจากจะเข้ากันไม่ได้ในทุกกรณีและสถานะการณ์ของชีวิตแล้ว แม้ว่าจะปรับตัวเข้าหาและอดทนสักเพียงใด ก็ไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดกันอยู่ดี แถมยังมีทัศนะคติดูถูก เหยียดยามคนที่ต่างกับตัวเองอีกต่างหาก พี่เองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพี่จะมีเพื่อนสนิทแค่ที่วัด และ รด รุ่นเก่าๆที่เคยลำบากมาด้วยกัน สาวรุ่นมหาลัย ก็เหลือเพียงสองสามคนเท่านั้นเอง(ที่ยังติดต่อกันอยู่) กล่าวคือ พยายามขนาดไหนก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆง่ะ เลยผูกพันแค่อาจารย์และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยบางคนเท่านั้นเอง ที่เป็นความทรงจำที่ดีเสมอมา
จริงๆมันมากกว่าเรื่องความแตกต่างจากอายุด้วยซ้ำ มันมีเรื่องของการมองโลก ทัศนะคติ และสิ่งที่ชื่นชอบด้วย(เพลงและสถานที่เที่ยว ยังชอบไม่เหมือนกันเลย)เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนดีกว่า
น้องบอกว่าบางเวลาก็ชอบซึ่งรถ รถอะไรครับ มอไซด์ หรือรถเก๋ง แสดงว่าเราก็มีฐานะพอสมควร แม้ว่าจะเป็น5 ย. แบบนักศึกษายุคดอกไม้บานก็ตามเหอะนะ
ขอพระอวยพรน้องครับผม
ปล.รสนิยมพี่มันสไตล์เหมือนคนเรียนสายช่างมากกว่ามั้ง ทั้งเพลง และสิ่งที่ชื่นชอบ
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
เห็นด้วยมากๆครับ ผมว่าเรากำลังวิวัฒนาการไปสู่ความเสื่อมที่เรืองรุ่งครับ เพราะในปัจจุบันถ้าใครรวมตังกันเข้าวัดเข้าวา ไปโบสถ์ คริสตจักร เขาก็ตราหน้าว่าโค-ตะ-ระ-เชยบ้างละ เจี๊ยม บ้างละ ครั้งศาสนาบ้างละ จิตตกบ้างละ แต่กลับกันถ้าไป แข่งรถ ถ่ายนู๊ด ก่อกวน โอนพวกนี้ เป็นที่นิยมสุดๆ แหม แล้วต่อไปนี้ จะเป็นอย่างไรหนอ
ผมว่าไอ้พวกนี้จับส่งมาที่ 3 จังหวัดดีกว่า พลีชีพเพื่อชาติซ้ะก็ดี เนาะ เผื่อจะมีประโยชน์กับเขาบ้างนะครับ
ขอพระเจ้าเมตตา
ผมว่าไอ้พวกนี้จับส่งมาที่ 3 จังหวัดดีกว่า พลีชีพเพื่อชาติซ้ะก็ดี เนาะ เผื่อจะมีประโยชน์กับเขาบ้างนะครับ
ขอพระเจ้าเมตตา
ฮือๆอันนี้โดนกับตัวเองเลย แล้วคำพูดหลุดมาจากครุแนะนำสมัยมัธยม(จนครูส่งไปให้จิตแพทย์ตอนมาตรวจน.ร.โดยให้สาเหตุว่า บ้าศาสนา หมอยังงงเลย)Holysong_holyHill เขียน: เห็นด้วยมากๆครับ ผมว่าเรากำลังวิวัฒนาการไปสู่ความเสื่อมที่เรืองรุ่งครับ เพราะในปัจจุบันถ้าใครรวมตังกันเข้าวัดเข้าวา ไปโบสถ์ คริสตจักร เขาก็ตราหน้าว่าโค-ตะ-ระ-เชยบ้างละ เจี๊ยม บ้างละ ครั้งศาสนาบ้างละ จิตตกบ้างละ แต่กลับกันถ้าไป แข่งรถ ถ่ายนู๊ด ก่อกวน โอนพวกนี้ เป็นที่นิยมสุดๆ แหม แล้วต่อไปนี้ จะเป็นอย่างไรหนอ
ผมว่าไอ้พวกนี้จับส่งมาที่ 3 จังหวัดดีกว่า พลีชีพเพื่อชาติซ้ะก็ดี เนาะ เผื่อจะมีประโยชน์กับเขาบ้างนะครับ
ขอพระเจ้าเมตตา
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
ผมไม่ได้พาดพิงใครนะนี่

อ่า...แล้วถ้าอย่างบางกลุ่ม (กลุ่มเอชนี่ล่ะ)Holysong_holyHill เขียน: เห็นด้วยมากๆครับ ผมว่าเรากำลังวิวัฒนาการไปสู่ความเสื่อมที่เรืองรุ่งครับ เพราะในปัจจุบันถ้าใครรวมตังกันเข้าวัดเข้าวา ไปโบสถ์ คริสตจักร เขาก็ตราหน้าว่าโค-ตะ-ระ-เชยบ้างละ เจี๊ยม บ้างละ ครั้งศาสนาบ้างละ จิตตกบ้างละ แต่กลับกันถ้าไป แข่งรถ ถ่ายนู๊ด ก่อกวน โอนพวกนี้ เป็นที่นิยมสุดๆ แหม แล้วต่อไปนี้ จะเป็นอย่างไรหนอ
ผมว่าไอ้พวกนี้จับส่งมาที่ 3 จังหวัดดีกว่า พลีชีพเพื่อชาติซ้ะก็ดี เนาะ เผื่อจะมีประโยชน์กับเขาบ้างนะครับ
ขอพระเจ้าเมตตา
ชอบแข่งรถ (ยนต์) แต่ไม่ใช่บ่อยๆ
ถ่ายรูปเล่นแบ๊ว (รูปนู๊ดขอเซนเซอร์ ถ้าถ่ายไว้เล่นกันขำๆ กับเพื่อนก็เคยนะ ฮ่าๆ)
แล้วก็บลาๆ ๆ ๆ ๆ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ร้องเกะ แทงสนุ๊ก พี้ยา(บ้างตามโอกาส) กินเหล้า ดูดบุหรี่
แต่ขึ้นดอย ลงสามจังหวัด (บ่อยมาก) ออกชายแดนทั้งฝั่งเขมร ลาว พม่า มาเลเซีย สอนหนังสือเด็กตามสลัม ช่วยงานพม่า เรียกร้องสิทธิให้ชนชั้นแรงงาน ทั้งไทยและต่างด้าว ฯลฯ ที่พวกเขาคิดว่าเป็นการกระทำเพื่อสิทธิมนุษยชน และทุ่มให้สุดตัว...ทั้งเวลา และทรัพย์สิน
พวกเขาไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ หรือความเชื่อใดๆ นอกจากนับถือ "ความเป็นมนุษย์ของทุกคน"
เพียงแต่พวกเขายังไม่โตพอ...หรือเปล่า (เอชด้วยแหละ แฮะๆ) และอาจจะ "เคย" ถูกเลี้ยงดูในสังคมที่ไม่อะไรกับเรื่องเหล่านี้...พวกเขาก็เลยยังชอบงานอดิเรกเวลาว่าง ที่อยากทำอะไรเพื่อสนองตัณหาของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ แม้จะรู้ว่าสังคมไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว แต่เบื้องลึกยังค้านตัวเองอยู่ ก็เลยทำ...ทั้งๆ ที่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการส่งเสริม "ทุนนิยม" ไม่ใช่ "สังคมนิยม" ตามแบบของตัวเอง
ถ้าเด็กกลุ่มนี้มองความเชื่อทางศาสนา ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พวกเขาไม่เคยเหยียดหยาม เว้นแต่ว่าจะเจอคนที่ "บ้า" จริงๆ ที่เชื่อ คลั่ง และปฏิบัติอย่างไม่มีเหตุผล ทุกอย่างอ้างศาสนา โดยไม่มองดูผู้คนสังคมรอบตัว แต่เด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ก็เป็น Non-religious เพราะถูกปลูกฝังมาในวัฒนธรรมตะวันตก ที่เสรีมาก (จนเกินเหตุ) และสิ่งรอบตัวเขา ไม่มีอะไรที่ชี้วัดได้เลยว่า "ศาสนา" ช่วยให้สิ่งที่เขาไม่พอใจดีขึ้นมาได้ เช่น ปัญหาการทำแท้ง ความรุนแรงในครอบครัว การใช้แรงงาน การเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา หรือความเชื่ออื่นๆ หรือการกระทำอื่นๆ ที่พวกเขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง...ศาสนาเยียวยาไม่ได้
แม้คนหลายๆ คนที่เชื่อในศาสนาจะบอกว่าเยียวยาได้ และมันเยียวยาได้จริง แต่ตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่เคยพบมัน (อาจจะบอกว่าพวกเขา ตาบอด หูหนวก หรือโง่ก็ได้นะครับ...พวกเขายอมรับ เพราะพวกเขามองไม่เห็นนามธรรมจริงๆ) เพราะฉะนั้นหากเขาเหล่านั้นจะไม่เชื่อในศาสนา แต่มุ่งกระทำงานเพื่อมนุษยชาติ โดยไม่สนใจศาสนา สนใจแต่ความต้องการของตัวเอง คือ อยากปลดปล่อยเพื่อนมนุษย์บนโลกนี้..........เขาไม่พอใจ เมื่อเห็นการสวดภาวนา (ที่พวกเขาคิดว่า...ไร้สาระ) ของคนบางกลุ่ม ที่วันๆ เอาแต่ภาวนา และเข้าวัดเข้าวา แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อมนุษยชาติเลย ตนเองยิ้มแย้มแจ่มใส สวดไปวันๆ โดยที่ไม่มองสังคมภายนอก ว่าทุกข์หรือสุขเพียงไร หรือมอง แต่ไม่สนใจ เพราะมองเห็นแต่ชาติหน้าของตน หรือความรอดของตน โดยไม่สนใจสิทธิของผู้อื่น แม้จะสนใจ และเห็นว่าไม่ควร แต่ก็แค่บอกว่า "ไม่ควร" ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง หรือทำแต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน...
นี่คือสิ่งที่เอชได้เรียนรู้จากเพื่อนกลุ่มนี้...ซึ่งเราทะเลาะกันในประเด็นพวกนี้บ่อยมาก...จนสุดท้าย
เราก็เลิกพูดเรื่องนี้ไป เขาไม่ดึงเอชออกจากศาสนา และเอชเลิกดึงเขาเข้าศาสนา
และเอชคิดว่า ถ้าเอชไม่ศรัทธาพอ ซักวันเอชอาจจะถูกดึงออกไป...
บางครั้งแม้ตัวเองจะศรัทธามากเพียงใด แต่ถ้าเจอปัญหาดังกล่าวด้วยตัวเองบ่อยๆ ........
ซักวันคำถามที่ว่า "รอมา 2,000 ปี แล้ว ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น จะรอไปทำไม" อาจโผล่เข้ามาในหัวเอชก็ได้
เอชเองก็ได้แต่ภาวนา...ว่าคำถามนั้นคงไม่โผล่เข้ามาในหัวเอช จริงๆ จังๆ
หวังว่าพระเจ้าคงประทานพระพรให้เอช...
ขอบพระคุณพระเจ้าข้า
สุดท้ายอยากถามว่าพี่พลายแก้ว คุณHolysong คุณMelis คุณGray Cat และท่านอื่นๆ....
เด็กกลุ่มนี้ ผิดไหมฮะ
ด้วยจิตคารวะ
แก้ไขล่าสุดโดย Alphonse เมื่อ พุธ ต.ค. 31, 2007 9:36 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
ก็ไม่ผิดครับ คือทุกคนนี่มีสิทธิในความเป็น และกระทำการใดๆได้เต็มที่อยู่แล้วครับ ตราบที่การกระทำของท่านนั้นๆไม่กระทบสิทธิของบุคคลอื่นครับ ดั่งที่กล่าวมาว่าบางคนมีการทำงานเพื่อสังคมหลายๆอย่าง สิ่งนั้นก็ดีครับ ดีมากด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าเหล่าคุณๆ เหล่านั้น ทำดีต่อสังคมอีกด้านนึง แต่พอตกยามคำคืนออกซิ้งตามถนน อาละวาด แผดเสียงรถ ชนถังขยะ อะไรประมาณนี้ ก็ลองคิดดูครับว่า การบำเพ็ญประโยชน์ที่ได้ทำลงมันจะมีประโยชน์มากแค่ไหนครับ แนวคิดของผมนะครับ คือว่าใครก็ตามจะทำสิ่งไหน ทำได้ครับ แต่ขอให้เคารพสิทธิ ของบุคคลอื่นด้วยก็ดีครับ ที่หลายคนออกมาวิจารณ์นะครับ ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาเกลียดบุคลเหล่านี้ แต่ที่เขาพูดเพราะ เขาคิดว่า พวกคนเหล่านี้ คือคนที่ยังมีค่าในสังคมนะครับ แค่อยากให้เข้าใจในการกระทำที่ทำลงและการรับผิดชอบต่อสังคมและตัวเองนะครับ สำหรับคนที่เป็ยแบบนี้ แต่ไม่เคยทำใครเดือดร้อน ผมก็ยอมรับครับ ที่เขามีทางเป็นของตัวเอง และเป็นทางที่ไม่ทับเส้นทางใครครับ
ใครจะเป็นอย่างไรนั้นการแต่งการ ฐานะ การศึกษาไม่สำคัญครับ การกระทำและจิตใต้สำนึกสำคัญที่สุด ผมเคยมีเพื่อนครับ รักกันมาก เขาเป็นคนที่เรียนดี เป็นที่ชอบพอของทุกๆคนครับ ใครๆก็ยอมรับในสิ่งที่เขาทำ เขาเป็นผู้นำออกค่ายอาสาต่างๆ ผมยังยอมรับในความดี และความสามารถครับ แม้จะต่างศาสนา แต่วันหนึ่ง ข่าวมาถึงผมว่าเขาโดนจับตาย เพราะเขาเป็นกองกำลังสำคัญ ของกลุ่มโจรใต้ ที่เป็นระดับนักฆ่าเลยครับ นั้นทำให้ผมเห็นว่า เปลือกนอกไม่สำคัญเท่าการกระทำครับ สิ่งต่างๆที่เพื่อนผมเคยทำ กลับไม่มีใครสนใจอีกเลย ชมรมอาศาก็โดนยุบไปเลย
คุณจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือสิ่งที่คุณกระทำ และที่สำคัญที่สุดคือ ผลของการกระทำนั้นครับ
ขอสันติสุขจงมีแด่ท่าน
ใครจะเป็นอย่างไรนั้นการแต่งการ ฐานะ การศึกษาไม่สำคัญครับ การกระทำและจิตใต้สำนึกสำคัญที่สุด ผมเคยมีเพื่อนครับ รักกันมาก เขาเป็นคนที่เรียนดี เป็นที่ชอบพอของทุกๆคนครับ ใครๆก็ยอมรับในสิ่งที่เขาทำ เขาเป็นผู้นำออกค่ายอาสาต่างๆ ผมยังยอมรับในความดี และความสามารถครับ แม้จะต่างศาสนา แต่วันหนึ่ง ข่าวมาถึงผมว่าเขาโดนจับตาย เพราะเขาเป็นกองกำลังสำคัญ ของกลุ่มโจรใต้ ที่เป็นระดับนักฆ่าเลยครับ นั้นทำให้ผมเห็นว่า เปลือกนอกไม่สำคัญเท่าการกระทำครับ สิ่งต่างๆที่เพื่อนผมเคยทำ กลับไม่มีใครสนใจอีกเลย ชมรมอาศาก็โดนยุบไปเลย
คุณจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือสิ่งที่คุณกระทำ และที่สำคัญที่สุดคือ ผลของการกระทำนั้นครับ
ขอสันติสุขจงมีแด่ท่าน
เอชนับถือในตัวคนๆ นี้อย่างมากล้น ในสิ่งที่เขาทำHolysong_holyHill เขียน: ข่าวมาถึงผมว่าเขาโดนจับตาย เพราะเขาเป็นกองกำลังสำคัญ ของกลุ่มโจรใต้ ที่เป็นระดับนักฆ่าเลยครับ
จะสวดภาวนาเพื่อเขา
จะมีใครบ้างที่ทำเพื่อสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมได้เหมือนเขา
เขาคือวีรบุรุษ
-
- โพสต์: 187
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
- ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
- ติดต่อ:
ครับผม 
ถามผมหรือเปล่าอะ
ถูกผิดหรือไม่พระเจ้าตัดสินไม่ใช่ผม แต่จำได้ที่ศิษยาภิบาลแห่งคริสตจักรไคร้เชิร์ชเทศน์ไว้ครั้งหนึ่ง
"พระเจ้าให้อภัย แต่ก็ไม่เมินเฉยความผิดที่ทำเรา"
ถ้าทางพุทธก็คือ
"กรรมดีไม่สามารถลบล้างกรรมชั่ว(แต่สามารถทำให้ทุเลาลงได้)"
นายแพทย์ซิกมันด์ ฟรอยด์เคยพูดไว้
"ส่วนรวมทั้งหมดย่อมมีความสำคัญของผลรวมของส่วนย่อย"
ผมขอพูดผ่านพระคัมภร์ดีกว่า แต่จะคิดยังไงอีกรเองหนึ่งนะครับ
ยก 2:1-6
(1) พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย
(2) สมมุติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา
(3) ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า
ถูกผิดหรือไม่พระเจ้าตัดสินไม่ใช่ผม แต่จำได้ที่ศิษยาภิบาลแห่งคริสตจักรไคร้เชิร์ชเทศน์ไว้ครั้งหนึ่ง
"พระเจ้าให้อภัย แต่ก็ไม่เมินเฉยความผิดที่ทำเรา"
ถ้าทางพุทธก็คือ
"กรรมดีไม่สามารถลบล้างกรรมชั่ว(แต่สามารถทำให้ทุเลาลงได้)"
นายแพทย์ซิกมันด์ ฟรอยด์เคยพูดไว้
"ส่วนรวมทั้งหมดย่อมมีความสำคัญของผลรวมของส่วนย่อย"
ผมขอพูดผ่านพระคัมภร์ดีกว่า แต่จะคิดยังไงอีกรเองหนึ่งนะครับ
ยก 2:1-6
(1) พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย
(2) สมมุติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา
(3) ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า