บทความ: มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร ต.ค. 30, 2007 3:27 am

คำขวัญของมหาวิทยาลัยไทยหลายแห่ง ล้วนถูกสรรค์สร้างขึ้นด้วยการยึดโยงกับอุดมการณ์สังคมและประชาชน ดังเช่นที่ว่า

"ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน"
"เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน"
"ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เกษตรศาสตร์เป็นภาษีของประชาชน"
ฯลฯ 



แต่อุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในปัจจุบัน เป็นอย่างไร หรือล้วนถูกดึงเข้าสู่กระแสทุนเสรีอย่างเต็มที่ที่ละทิ้งความหมายทางสังคมเหล่านั้นไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่?

การศึกษาในปัจจุบันจึงหนีไม่พ้นการยัดเยียดความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวและไม่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบทุนนิยมเสรี (ซึ่งอำนาจรัฐใต้แนวทางทุนนิยมได้วางกรอบให้) การดำรงอยู่ของคณะ ภาควิชาต่างๆ สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีเมื่อขึ้นลงตามการกำหนดของกลไกตลาด คณะสาขาวิชาที่รับใช้สังคมส่วนรวมจริงๆ ตามลักษณะสังคมนิยมหรือสวัสดิการนิยมจึงมีน้อย หรือแทบไม่มีเลย

ตัวอย่างชัดเจนที่สุด คือ การเรียนการสอนในคณะเศรษฐศาสตร์ (economic) กระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งสมัยก่อนนั้นจะไม่ใช่หลักสูตรเศรษฐศาสตร์กระแสหลักแนวเดียวเท่านั้น แต่จะเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง(Political Economy) รวมอยู่ด้วย ซึ่งเพราะเศรษฐศาสตร์และการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนดังที่ในยุโรปมีการเรียนการสอนเรื่องเศรษฐศาสตร์สังคม (social economy) แต่หลังจากที่ไทยก้าวตามความคิดแบบอเมริกาหรือทุนนิยมเสรี การศึกษาจึงเป็นไปตามหลักกลไกตลาด ตามกระแสหลักของทุนนิยมเสรีที่พูดถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้พูดถึงความเป็น "ชีวิต" ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และคู่ควรในความเป็นมนุษย์อย่างไม่ถูกริดลอน เปรียบดังที่ "เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ" หรือยุค ศรีอาริยะ นักวิชาการชื่อดัง เคยกล่าวครั้งหนึ่งว่า ....

              "เศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เราเรียนอยู่นี้เปรียบกับเรือลำหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทร ทิศทางและการฝ่าข้ามคลื่นลมทั้งมวลก็ล้วนเพื่อผลของคนบนเรือที่เป็นชนชั้นสูงเท่านั้นซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนเรืออย่างแท้จริง แต่ทุนนิยมก็ไม่ได้พูดถึงทางอยู่และทางรอดของคนที่อยู่ใต้เรือ ซึ่งเป็นชนชั้นล่าง เป็นผู้ต้อยต่ำในสังคม ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง ไม่มีอำนาจ ซึ่งถูกบังคับให้เป็นแรงงานที่เติมเชื้อไฟและเป็นกลไกส่วนหนึ่งที่ต่อเวลาให้ฟันเฟืองระบบทุนนิยมดำรงอยู่และขับเคลื่อนไปได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 4:17 am

มหาลัยตอนนี้น่ะ จากแหล่งค้นหาศึกษาความรู้ กำลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตมนุษย์เพื่อรับใช้ระบบ แบบในThe Matrixแล้ว

การยึดติดกับความคร่ำครึหลายอย่างจากการกลับมาของพวกหัวเก่ายุค6 ตุลา ทำให้ประชาธิปไตยและเสรีภาพต้องแตกสลายลง ดูจากประเพณีเดือนมิถุนานรกของหลายๆมหาลัย

และระบบการศึกษาการเข้ามหาลัยตอนนี้ ทำให้พวกเราต้องคิดว่า พวกเรากำลังเรียนสบายๆอยู่บนกองเลือด กระดูก และ ซากศพของเหล่าคนที่แย่งสอบไม่ผ่านหรือถูกพวกมีเส้นแย่งที่นั่งไปรึเปล่า
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 6:29 am

ก็เพราะแบบนี้ไง ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยเท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมและการตลาด แต่แทบทุกสังคมตกอยู่ใต้อิทธิพลดังกล่าวหมด ทำให้องค์กรต่างๆLost Sprit of Organization ไป แถมในอดีตยังอยู่ใต้อำนาจของพ่อค้าCEOเจ้าเลห์ ใช้เงินและอำนาจที่เหนือกว่าทางเศรษฐกิจ ยึดครองจิตวิญญาณของทุกองค์กรในบ้านเรา เหมือนฟ้ามาโปรดที่นักรบขี่ช้างเหล็กออกมาขับไล่ พ่อค้าที่กดขี่คนทั้งชาติ Soldier is Warrior foever, but CEO from Big Business company is Evil foever. นักรบมีจิตวิญญาณและคุณธรรม พ่อค้าไร้จิตวิญญาณและไร้คุณธรรม คิดแต่จะกดขี่ กัดกิน และข่มเห่งผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ นักรบจึงต้องออกมาปกป้องผู้บริสุทธ์และอ่อนแอ เพื่อคืนความสันติสุขแด่สังคมไทยอันอบอุ่น

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม

รูปภาพ

ปล.ภาพประกอบ นักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ห้า เหล่าทหารม้า(รถถัง) กำลังทำการตรวจสอบรถถัง ก่อนทำการขับขี่ประจำการฝึก(เสียดายโครต ตัวเองอยู่เหล่าราบ เลยอดขับรถถังเหมือนปีห้าเหล่าอื่นเลย โอย.....คิดถึงความหลัง
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

อังคาร ต.ค. 30, 2007 9:42 am

www.christian.ac.th  มาโปรโมท  มหาลัยตัวเอง อิอิ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร ต.ค. 30, 2007 10:32 am

Pry-Kaew เขียน: รูปภาพ
โห มองตั้งนาน แถวบ้านเรานี่เอง ::001::
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 11:26 am

Rakkypoko! เขียน: www.christian.ac.th  มาโปรโมท   มหาลัยตัวเอง อิอิ

ขอบคุณมากครับ ผมเข้าไปอ่านแล้ว สนใจเกี่ยวกับสาขา
Master of Arts in English as a Second Language
Master of Arts in Teaching English as a Second
ไม่ทราบว่าที่นี้มีทุนการศึกษาสำหรับคนใฝ่เรียน(แต่ตังไม่ค่อยมี)ไหมครับ สองสาขานี้เป็นสาขาที่ผมอยากเรียนตอนอยู่เมืองนอก แต่ค่าเทอมแพงมากสำหรับเด็กที่วีซ่านักเรียน(คนไอ้กัน เสียถูกกว่ากันครึ่งหนึ่ง) อ้อ ผมต้องสอบโทเฟลไหมครับ หากจะเข้าเรียนสาขาดังกล่าว หากผมได้certificateด้านEnglish for second language and American Cultureมาแล้ว

ค่าเทอมโรงเรียนคุณคงแพงหูฉี่แน่ๆเลย หากไม่มีทุนการศึกษาให้ สงสัยข้าพเจ้าคงต้องไปกระโดดหอที่เขาชนไก่ เพื่อซับน้ำตา

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

อังคาร ต.ค. 30, 2007 12:35 pm


"...ปัญญามีขายที่นี่หรือ
จะแย่งซื้อได้ที่ไหน
อย่างที่หรูหรูราคาเท่าไร
จะให้พ่อขายนามาแลกเอา..."

"...ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย
สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว..."

ตัดมาจาก"เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน"
วิทยากร เชียงกูล


หากปริญญาเป็นเพียงกระดาษใบหนึ่ง ที่แค่เอาเงินมาแลก
แล้วมันจะมีความหมายอะไรเล่า

ถ้าการศึกษาเป็นสิ่งที่แค่คนมีสตางค์เท่านั้นจะมีสิทธิ์
แล้วความเท่าเทียมอยู่ที่ไหน

ถ้าการศึกษาไม่ได้ให้อะไรแก่ผู้ศึกษาเลย
จะยังเรียกว่าเป็นการศึกษาอยู่อีกหรือ

ถ้ามหาวิทยาัลัย เป็นเพียงเหมือนตลาดปริญญา
ที่ใครอยากจะซื้อก็เข้ามา อยากจะได้ก็เอาเงินมาแลก
แล้วจะยังเรียกว่ามหาวิทยาลัยได้อีกหรือ!!!

คงเป็นเพียงมหาวิทยาลัยที่ตายแล้วเท่านั้น...
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร ต.ค. 30, 2007 12:54 pm

sasuke เขียน:
ถ้ามหาวิทยาัลัย เป็นเพียงเหมือนตลาดปริญญา
ที่ใครอยากจะซื้อก็เข้ามา อยากจะได้ก็เอาเงินมาแลก
แล้วจะยังเรียกว่ามหาวิทยาลัยได้อีกหรือ!!!



"...นกเอยเคยบินยอดฟ้า
กรีดกลางเวหาเป็นหน
กลับหลังลงซุกมือคน
เฝ้าทนให้เขารั้งมาขังกาย..."
ฯลฯ

"....ปรากฏการณ์ผ่านผันวันที่ห่าง
ตกหล่นไว้กลางทางระหว่างสมัย
เพื่อชาติและราษฎรไทย
ฝากไว้ ฝากไว้ ให้ใครยล...."
ฯลฯ

ตัดตอนจาก "ลำนำธรรมศาสตร์อย่าขาดสาย"


ก็เพราะมันเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นไงครับ
ถ้านกมันไม่ยอมเข้ามาซุกมือคน ประวัติศาสตร์ก็คงไม่มีทางขาดหาย
แต่นกที่เคยบินอย่างอิสระ กลับเห็นอุ้งมือของคนอบอุ่นน่าอยู่กว่า มีอาหารเลี้ยง สบาย
ไม่ต้องบินไปหาอาหารที่ไหน...

แต่นกเอ๋ย เจ้าลืมไปแล้วหรือ หากเจ้าไม่โผบิน เจ้าก็ไม่อาจอวดอ้างว่าตนเองเป็นนกได้อีกต่อไป...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 1:04 pm

Batholomew เขียน:
Pry-Kaew เขียน: รูปภาพ
โห มองตั้งนาน แถวบ้านเรานี่เอง ::001::
เห็นแล้วอยากเรียนปี4ต่ออ้า ถ้าไม่เป็นหอบและความดัน(3ปีผ่านมารอดได้ไงเนี่ย= =)
www.sf.in.th เกมที่ลดความคิดถึงวิชาบุกเข้าตีได้ดี(เพราะยิงมั่วแหลก)^^!
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 2:30 pm

เรียนไปเลยครับ ดีเสียอีก ปีสี่ ปีห้า ประสบปัญหาขาดคนเรียนทุกปี และจำนวนผู้เรียนต่อปีสี ปีห้า น้อยลง ทุกปี ทุกปี เนื่องจากประชาชนบางส่วนในสังคมมองภาพลักษณ์ทหารเปลี่ยนไปจากเดิม และปัญหาเก่าแก่ของ รด.คือ มาเรียนเพื่อหนีทหารเป็นหลัก(จึงมีคนมาเรียนปี1-ปี3 มหาศาลจนระยะหลังๆคุณภาพการฝึก และคุณภาพ นศท. ปี1-3 ตกต่ำไปมากเรื่องระเบียบวินัย) แต่ในทางกลับกัน เรียนในระดับ ปีสี่ ปีห้า ซึ่งอยู่ในระดับผู้บังคับหน่วย ในระบบกำลังสำรองกลับขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากคนเรียนน้อยมากๆ แม้ว่าทาง รด.จะมีสิ่งจูงใจหลายๆอย่างให้ อาทิเช่น เรียนฟรี(ปกติปี1-3ต้องเสียค่าเรียนเทอมละสามร้อยบาท)และมีการทัศนะศึกษาตามหน่วยทหารตามที่ต่างๆ รวมทั้งสิทธิลดหย่อนค่าโดยสารสำหรับรถเมล์(จบแล้วมีบัตรแสดงชั้นยศ) แต่ก็ไม่เป็นผล

สำหรับน้อง หากอยากเรียนจริงๆ บอกเขาตรงๆว่าเราเป็นโรคประจำตัวอะไร ครูฝึกเขาจะได้เข้าใจและไม่โหดกับเรามาก เวลาไปภาคสนาม จริงๆแล้วหากเรียนในที่ตั้งปกติ แทบจะเรียนในห้องเป็นหลักเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากต้องเรียนหลักสูตรเดียวกับพวก จปร.และเตรียมทหารเรียน(แต่ของเราแค่เบื้องต้น ไม่ลงลึกๆแบบพวกเขา แต่หลักสูตรเดียวกัน คือผู้นำหน่วย) ฝึกกลางแดดแบบปี1-3 ก็มีบ้าง แต่น้อยกว่ามาก แต่หากฝึกแล้ว ฝึกหนักจริงๆเพราะครูฝึกถือว่าปีสี่ ปีห้า เต็มใจมาเรียนเอง ฝึกนอกห้องเรียนก็อาจจะต้องหนักกว่าพวกปี1-3 แต่หลักๆแล้ว หากไม่นับภาคสนาม เรียนในห้องเป็นหลักครับ ยิ่งปีห้าแล้ว แทบจะไปเรียนในห้องแทบทุกอาทิตย์เลย(บางวิชา ปวดหัวและไม่เข้าใจกว่าเรียนที่มหาวิทยาลัยอีก)เพราะในการศึกษาระดับผู้บังคับกองร้อยนั้น ต้องเรียนทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ยุทธศาสตร์การรบ ยุทธศาสตร์ความมั่นคง กลวิธีการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา การเป็นผู้นำหน่วย และวิชาครูทหาร(เวลาฝึกภาคสนาม ครูฝึกจะใช้ปีห้า เป็นครูฝึกผู้ช่วยฝึก รด.ปี1-3 ด้วย)ฯลฯ น้องลืมภาพ ตอนเรียน รด.ปี1-3ไปได้เลย เพราะไม่เหมือนกัน เพราะนอกจากเหนื่อยกายมากกว่าแล้ว ยังต้องเหนื่อยสมองมากกว่าอีก แต่สนุกและได้ความรู้จริงๆครับ

ส่วนเรื่องสุขภาพ บอกครูฝึกเขาไปตรงๆเลยว่าเป็นอะไร เขาจะได้เข้าใจเวลาฝึกนอกห้องเรียน และภาคสนาม หากน้องตั้งใจจะเรียนจริงๆ น่าจะไปได้นะครับ ปีสี่ ปีห้า ขาดแคลนคนเรียนขนาดหนักอยู่แล้วทุกปี

อ้อ ปีสี ปีห้า ไม่เหมือนปี1-3นะครับ เรามีการแยกเหล่าด้วย มีเหล่าราบ ม้า ปืนใหญ่  และเหล่านาวิกโยธิน แยกกันฝึกกันไปเลย ไม่ปะปนกัน ขนาดภาคสนามยังไปคนละทีกันเลย

หากน้องจะกลับไปเรียน พี่จะกลับไปฝึกด้วย กะจะไปขอทาง รด.เขาฝึกทบทวนง่ะ

ขอพระอวยพรน้องให้สมหวังครับผม

รูปภาพ

รูปภาพ

ปล.ปีสี่ ปีห้า เหล่านาวิกโยธิน เวลาฝึกภาคสนาม จะไม่ได้ไปเขาชนไก่เหมือนเหล่าอื่นๆ จะไปฝึกที่ประจวบกับกองทัพเรือโดยตรง มีเพื่อนหลายคนเลือกเหล่านาวิกฯ แต่ผมชอบเหล่าราบมากกว่า เลยไม่ได้ฝึกบนเรือรบหลวงแบบเพื่อนๆที่เรียนเหล่านาวิกฯ เพราะข้าพเจ้าชอบเหล่าราบ
แก้ไขล่าสุดโดย Pry-Kaew เมื่อ อังคาร ต.ค. 30, 2007 2:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Holysong_holyHill
โพสต์: 187
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 21, 2007 9:59 pm
ที่อยู่: นครศรีธรรมราช Nakhoosri-tammarat
ติดต่อ:

อังคาร ต.ค. 30, 2007 4:57 pm

แต่ที่แน่ๆ ปริญญาและปัญญานั้นต่างกันแน่
คนปางคนเป็น ดร.แต่กลับไม่มีปัญญา
แต่บางคนจบป.4 กลับมีปัญญากว่า
  ปัญญาคือสิ่งที่ทำให้รู้ว่า อะไรชั่ว อะไรดี ปริญญาคือตังบ่งชี้ อะไรน่าจะทำกว่ากัน
เราเคยวางอนาคตของใว้กับใครๆที่เขามีปริญญาหลายไป แต่สุดท้ายปริญญามักพาเราไปสู่ทางตัน นั้นหมายความว่า บางที่ในปริญญานั้นอาจไม่มีปัญญาเลยก้ได้
  การศึกษาไม่ได้พัฒนาจิตใจคนให้สูงขึ้นนักสักเท่าใด แต่การศึกษาสอนให้เราใช้ความรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆขึ้น แต่กระนั้นแหละ อยู่ที่เราจะใช้ในทางที่ชั่ว หรือ ดี
  ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นที่จะทำมัน
ตอบกลับโพส