sakda88 เขียน:
sasuke เขียน:
sakda88 เขียน:
และถ้าใครบอกว่าเงินไม่สำคัญคุณก็คือคนจนคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่สำคัญยากจะหาความสุขได้ และมักจะขอเงินจากคนอื่นเสมอ ๆ ซะด้วยซิ น่ากลัวชมัดเลยคนพวกนี้
ถูกแล้วครับ คนที่คิดว่าเงินไม่สำคัญคือคนจน แต่ผมคิดว่าคุณพูดตกไปหน่อย
คือคนที่ไม่สนใจเงินเลยก็คือคนที่ไม่สนใจโลกเลยด้วยครับ
---------------------------------------------------
ผมขอเล่าอะไรให้ฟังหน่อยนะครับ...
นักบุญฟรันซิสแห่งอัสซีซี เดิมเป็นลูกชายพ่อค้าที่ร่ำรวยในฝรั่งเศส
แต่หลังจากที่ได้ละทิ้งครอบครัว และถือชีวิตความยากจนตามพระวรสาร
ท่านก็ได้ออกเดินทางเทศน์สอนประชาชน ถือความยากจนอย่างเคร่งครัด
เพื่อแสวงหาพระอาณาจักรสวรรค์ และเลียนแบบชีวิตของพระเยซู
ท่านมีทรัพย์สินที่เป็นของท่านหลังจากบวชจนถึงวันที่ท่านเสียชีวิต เพียงแค่3ชิ้น
คือ ชุดนักบวช กางเกงใน และรัดประคด
ท่านเป็นลูกพ่อค้าที่ร่ำรวย
ท่านฟรันซิสเลี้ยงชีวิตด้วยการขอทาน แต่การขอทานของท่าน ท่านไม่เคยขอเงิน
ท่านขอแต่อาหารเพื่อเลี้ยงชีวิต ถึงแม้ท่านจะได้เงินมา ท่านก็นำเงินไปบริจาคให้วัด
ท่านฟรันซิสเคยซ่อมแซมวัดด้วยตัวคนเดียว โดยที่ไม่มีแม้แต่เงินทุน
เพียงแค่เที่ยวเรี่ยไรขอวัสดุก้อนหินเล็กๆน้อยจากชาวบ้าน ในหมู่บ้านใกล้เคียง
และถ้ามีผู้ใดต้องการให้ความช่วยเหลือ ท่านฟรันซิสก็จะน้อมรับอย่างเต็มใจ
ท่านนำเงินที่ขอได้บริจาคให้วัด และท่านไม่ได้ซ่อมแซมวัดด้วยตัวคนเดียว แต่อาศัยคนจำนวนมากโดยมีท่านเป็นตัวกลาง
หลังจากที่ท่านก่อตั้งคณะฟรันซิสกันของท่าน ในช่วงต้นศตวรรษที่13
มีสมาชิกภารดาที่้น้อมรับชีวิตยากจนตามแบบพระวรสารเพียงแค่5000คนจากยุโรป
...ปัจจุบันภารดาคณะฟรันซิสกันทั้วโลกทุกสาขา มีสมาชิกมากกว่า2หมื่นคนทั่วโลก
คณะฟรันซิสกันที่เกิดมาจากผู้ที่ยากจนอย่างแท้จริง
ได้ชื่อว่า "เป็นเสาหลักของพระศาสนจักร" ร่วมกัับคณะดอมินิกัน
ที่คอยพยุงพระศาสนจักในช่วงที่พระศาสนจักรเสื่อมถอย
เกิดจากผู้ร่ำรวยมาก่อนและเปี่ยมด้วยความศรัทธาในพระคริสตเจ้า
และด้วยความศรัทธานั่นเองท่านได้นำผู้คนมากมายให้มีส่วนร่วมในกิจศรัทธาของท่าน
คุณยกเรื่องนี้มาคุณได้อะไรจากเรื่องของท่านบ้าง นอกจากปลาบปลื้มในตัวของท่าน
ถ้าท่านไม่ใช่ลูกพ่อค้าที่ร่ำรวยมาก่อนจะมีคนสนใจท่านหรือไม่ ?
อย่างน้อยคนที่บริจาคแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าเงินที่บริจาคไปไม่ถูกท่านนำไปใช้ส่วนตัวแน่นอน
ท่านอยู่ในยุคที่ตำแหน่งพระสันตปะปาเป็นตำแหน่งที่ผู้มีอำนาจแย่งชิงหรือเปล่านะ ?
ผมได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้
ขอบคุณครับ
คริสตศาสนาดำรงอยู่ได้ด้วยผู้ที่มีจิตตารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้ายังมีอยู่
ก่อนอื่น ขอบคุณนะครับ ที่เห็นว่าคำตอบผมยังมีค่า อย่างน้อยผมก็ไม่ได้พิมพ์เสียแรงเปล่า
ผมคิดว่าreplyนี้มีคำถามที่คุณsakda88ถาม ฉะนั้นผมจะตอบนะครับ
ถ้าท่านไม่ใช่ลูกพ่อค้าที่ร่ำรวยมาก่อนจะมีคนสนใจท่านหรือไม่ ?
ผมคิดว่าอาจจะไม่ใช่เพราะที่ท่านร่ำรวยขึงมีคนสนใจ เพราะว่าท่านได้ทิ้งทุกสิ่งแม้กระทั่งบิดามารดา ตอนที่ท่านซ่อมแซมวัดนั้น ท่านไม่มีใครเลย
ท่านก็ไปขอเศษหินมาซ่อมวัด (ท่านไม่ได้ขอเงินครับ) โดนชาวบ้านขับไล่ซะเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะชาวบ้านคิดว่าท่านเสียสติ
senseของคนส่วนใหญ่ ไม่มีใครคิดว่าคนที่ทิ้งบ้านทิ้งข้าวของ มาใช้ชีวิตแบบขอทานจะเป็นคนที่ยังปกติหรอกครับ
ท่านนำเงินที่ขอได้บริจาคให้วัด และท่านไม่ได้ซ่อมแซมวัดด้วยตัวคนเดียว แต่อาศัยคนจำนวนมากโดยมีท่านเป็นตัวกลาง
ผมอาจจะเล่าไม่ละเอียด และใช้คำผิดไปหน่อย ขอโทษด้วยครับ
แรงงานมาจากของท่านฟรันซิส แต่วัสดุเป็นของชาวบ้าน วัดแห่งนั้นสมบูรณ์ด้วยชาวบ้านและท่านฟรันซิสครับ
ท่านอยู่ในยุคที่ตำแหน่งพระสันตปะปาเป็นตำแหน่งที่ผู้มีอำนาจแย่งชิงหรือเปล่านะ ?
ยุคช่วงต้นศตวรรษที่13เป็นช่วงของพระสันตะปาปา อินโนเซนต์ที่สาม เป็นช่วงหลังจากยุคกลางครับ การแย่งชิงอำนาจหมดไปแล้ว
คุณยกเรื่องนี้มาคุณได้อะไรจากเรื่องของท่านบ้าง นอกจากปลาบปลื้มในตัวของท่าน
แน่นอนครับ ว่าผมยกย่องท่านฟรันซิส และปลาบปลื้มในตัวท่าน
แต่ผมก็ได้ประโยชน์มากมายจากชีวิตของท่าน
เราคริสตชนไม่ได้มีนักบุญไว้ให้เราสวดขอผ่านท่านนั้นๆอย่างเดียว
และชีวิตท่านก็ไม่ได้มีไว้ให้ดูเลิศหรูเพียงอย่างเดียว
แต่เรายังดูแบบอย่างชีวิต และการเป็นคริสตชนที่ดีจากท่านด้วย
ขออธิบายขยายความ"ผู้ยากจนอย่างแท้จริง" ผมตีความถึง"ผู้ที่จิตใจยากจนครับ"
คือ ผู้ที่ไม่ฝักใฝ่สิ่งของของโลก การที่ท่านร่ำรวยมาก่อนไม่ได้ช่วยเพิ่มเครดิตให้ท่านเลย
เพราะคนสมัยนั้นคิดว่าท่านเสียสติด้วยซ้ำ
คริสตศาสนาดำรงอยู่ได้ด้วยผู้ที่มีจิตตารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้ายังมีอยู่
สุดท้ายคุณsakda88กล่าวได้ถูกต้องทีเดียว
ศาสนาคริสต์ดำรงอยู่ด้วยจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งสอนเราให้ละทิ้งสิ่งของของโลก และใฝ่หาสวรรค์
ขอบคุณสำหรับคำตอบและคำถาม
ขอพระเจ้าอวยพร