Holy เขียน:
Gray Cat Mobster เขียน:
คิดถึงตอนที่ยังเรียนคำสอน มีครูที่รู้จักเขาเป็นคริสเตียน ครูเค้าเคยพูดลอยๆไว้
"ครู คือ แม่คนที่สอง หากวันใดความเป็นแม่หายไป ครูก็จะมีค่าอะไรนอกจากผู้สอน
สิ่งที่โรงเรียนต่างกับโรงเรียนกวดวิชานั่นคือ เป็นบ้านหลังที่สอง บ้านที่สอนคุณธรรม หากวันใดนั้นค่าของบ้านหายไป โรงเรียนก็เป็นเพียงแค่ สถานที่ให้เกรด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูจะยังเป็นแม่ โรงเรียนจะยังเป็นบ้าน ครูไม่ได้สร้าง ผอ.ไม่ได้สร้าง หรือแม้แต่ซี9(ตอนนั้นยังมีระบบซีอยู่ไม่รู้ตอนนี้มีหรือเปล่า)ก็ไม่สามารถเปลี่ยนบ้านหลังที่2หรือแม่คนที่สองหายไป ทุกอย่างมันมาจากนักเรียนเท่านั้นที่ยังคิดอยู่ไหมว่าที่นี่คือบ้าน และครูคือแม่
ครูเห็นว่าพวกเธอเป็นลูก แต่พวกเธอหละคิดว่าครูเป็นแม่บ้างไหม"
หลายครั้งครูมักจะยกบทวิวรณ์บทนี้มาสอนผม
วว 21:4
พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา จะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ และความทุกข์อีกต่อไป เพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว
ผู้ใหญ่หลายคน คุณครู หรือแม้แต่ผม สิ่งเดียวที่มีกำลังใจให้รอต่อไปนั่นคือ วันนั้น
ป.ล.สิ่งที่ผมยังค้างคาใจ ทำไมต้องรอถึงวันนั้น การตัดสินอย่างยุติธรรมจึงมาถึง
ป.ล.2ครูที่ว่าไม่ใช่ครูสอนคำสอนแต่เป็นครูที่ผมรู้จักครับ
เรื่องในรีพลายนี้อาจสามารถแยกหัวข้อต่างหากได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมพบความจริงมาตั้งแต่มัธยมแล้ว
ครูคือพ่อแม่คนที่2?
ความเป็นจริงครูสมัยนี้อาจจะยากที่จะกล่าวแบบนี้ได้เต็มปากทุกคน ครูที่คิดแบบนั้น ผมเชื่อว่ามีอยู่บ้าง แต่ไม่มากหรอกครับ แล้วยิ่งคนที่คิดแล้วทำได้ด้วยจะน้อยตามลงมา และที่ทำได้แบบนั้นจริงๆยิ่งน้อยไปใหญ่
เพราะ..............
คำว่าครูเป็นพ่อแม่คนที่2นี้ ถ้าคุณหมายถึงยุคหนังจีนกำลังภายใน หรือยุคสมัยโบราณผมเชื่อครับ
เพราะ
เราจะเห็นว่าสมัยก่อน 1สำนักมีครู ครู1คน ครับ เพราะฉะนั้น เด็กทุกคนที่เข้ามา ต้องเรียนกับครูคนนี้ ระบบนี้ยังมีอยู่บางในมวยไทยค่าย เช่น แมวเทาศิษย์แมวดำ เอชโซ่ศิษย์บางจาก อะไรแบบนี้ ดังนั้น สมัยก่อนเมื่อคุณจะเรียนวิชาอะไรคุณจะเจอครูคนนั้นทุกวันทั้งวันหลายปีจนกว่าจะจบ แต่สมัยนี้ คุณเรียนวิชาอะไรคุณเจอครูคนนั้นอาทิตย์ละ2-3ชั่วโมง ครบปีเปลี่ยนคนครับ
ยิ่งไปกว่านั้นสมัยก่อนครูไม่เก็บค่าเรียนศิษย์ครับ เก็บค่ายกครูแรกเข้าครั้งเดียวจบครับ แล้วเรียนไปเลยจนกว่าจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนมีระบบธุรกิจมาก มีทั้งแป๊ะเจี๊ยะค่าโน่นค่านี้ ถ้าอยากเรียนเพิ่มครูหลายคนเก็บค่าสอนพิเศษและรับสอนพิเศษครับ ดังนั้นดูยังไงมันก็ไม่ใช่ฟิวพ่อแม่แน่นอน
ที่สำคัญสมัยก่อนครูอยู่ไกล ศอษย์ต้องไปกินอยู่ที่สำนักครับ แบบนี้มันคือบ้านหลังที่2แบบเต็มตัว
ถึงตรงนี้ลองนึกภาพ ว่าสมัยก่อน คุณต้องจากบ้านเดิมไปบ้านหลังที่2(จริงๆ) กินนอนเป็นปีบางกรณีเป็น10ปี บางทีไปอยู่เกือบตลอดชีวิต กินฟรีอีกต่างหาก อาจารย์สอนคุณทุกอย่างอยู่กับคุณตลอด เก็บค่าครูครั้งเดียว แต่เขาเลี้ยงคุณเป้นปี ถ่ายทอดวิทยายุทธกันแบบเกือบหมดไส้หมดพุง แถมอาจารย์บางคนยกลูกสาวให้ศิษย์เอกซะอีก แบบนี้ มันเรียกว่าพ่อแม่คนที่2ได้จริงๆครับ
สมัยนี้ เก็บค่าเรียน ค่าโน่นค่านี่ ไม่จ่ายอดสอบ ไม่สอนเกินเวลา เจอกันไม่เกิน2-3ชั่วโมง บ้านครูอยู่ไหนยังไม่รู้ นิสัยศิษย์เป็นยังไงยังไม่ลึก ครบปีแยกย้าย ดังนั้นต่อให้คิดว่าเป็นพ่อแม่คนที่2 ก็เป็นได้แค่ระดับปรารถนา แต่ไม่ใช่ในทางปฏิบัติที่ยังไงก็ไม่เทียบเท่าคนสมัยก่อน
ที่เขาคิดแบบนั้นเพราะเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ สมัยนี้ระบบการศึกษาแบบนี้ ยังไงก็เป็นได้แค่ ความปรารถนา และอุดมคติ + การกระทำตามที่สภาพการณ์จะเอื้ออำนวยเท่านั้น บางคนอาจรู้สึกแบบนั้น แต่มันเทียบไม่ได้กับต้นตอที่มาของคำในสมัยก่อนแน่นนอนครับ
ดังนั้นถ้าเด็กจะไม่คิดกับครูแบบนี้ โทษเขาไม่ได้นะครับ เด็กไม่ผิด แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับความจริง
แต่สำหรับผมมองนครับ(+กับการคาดการณืของครูหลายๆคน)
การเปลี่ยนคำและเปลี่ยนการสอนก็มีผล
จากเดิมเรียกครู ต่อมาเรียกอาจารย์ ต่อมาเรียกผู้สอน คำว่าครูที่มาจากคำว่าคุรุ(Guru)จึงหายไป
และไหนจะเรื่องที่ผู้ปกครองรักเด็กมากเกินไป (พบวากครูแค่ดุ เอาเรื่องจนครูต้องลาออก)
และสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ว่าด้วยค่านิยม(เช่นทรงผม เครื่องแต่งกาย บลาๆๆๆๆ)ทำให้ความห่างมีมากขึ้น
ผมมองแนวคิดแบบคาร์ลมาร์ก
ตามที่ผมเข้าใจ
ผมเชื่อครับ ว่าครู ในแรกเริ่มที่สอนมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นพ่อ-แม่คนที่2 แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะลดลงเรื่อยๆ จนหายไปเหลือ0
ถ้าเป็นกราฟความชัน Y=mx+c กราฟพุ่งลงแนวดิ่งแสดงว่าค่าm(ความชัน)มีค่าติดลบ.
แกนYคือความเป็นแม่ในครู ค่าXคือเวลาที่ผ่านไป(t-เวลาที่ใช้ไป) พบว่าตัวแปรที่ทำให้กราฟพุ่งลงนั่นคือ m(ความชัน-ตัวแปรต่างๆสภาพแวดล้อมสังคมค่านิยม)
ถ้าเขียนเป็นสมการ
Y แปรผันตรงกับ X (ค่าความเป็นแม่ในครูแปรผันตรงกับเวลา)
Y แปรผันตรงกับ m (ค่าความเป็นครูแปรมันตรงกับตัวแปรต่างๆ)
ผมเห็นด้วยครับเวลาเปลี่ยนไปทำให้ค่าความเป็นครูเปลี่ยนไป แต่ค่าความชัน(ค่านิยม ตัวเร้าภายนอก)ที่ทำให้กราฟลดลงผมว่ามีผลมากกว่าเวลาที่เปลี่ยนไป
------
กลับมาพลอตกราฟหลังจากลองคำนวน
กราฟเส้นตรงY=mx+c
Y=ค่าความเป็นแม่ในครู
m=ความชันในที่นี้คือตัวแปรจากค่านิยมภายนอก
x=เวลาที่ผ่านไป
c=ค่าคงที่หรือค่าเริ่มต้น ในที่นี้คือความรู้สึกของความเป็นแม่ในครูในเวลาเริ่มแรก
กรณีที่1Yคงที่ แสดงว่าmต้องเป็นo
Y=c
ความเป็นแม่จะคงที่ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกและค่านิยม
กรณีที่2 Yมีค่าเพิ่มขึ้น(เวลาผ่านไปค่าความเป็นแม่มากขึ้น) แสดงว่าm>0
เห็นว่าถ้าค่านิยมดีความเป็นย่อมมีมากขึ้น
กรณีที่3 Yมีค่าลดลง(เวลาผ่านไปค่าความเป็นครูลดลง) แสดงว่าM<0(ติดลบ)
ค่านิยมแย่มีผลทำใฟห้ค่าความเป็นครูลดลง
กรณี