ทำไมนักเรียนไทยต้องตัดหัวเกรียนครับ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ พ.ย. 03, 2007 4:49 pm

Matthew เขียน:
necromancer เขียน: ถ้างั้นขอถาม จขกท. กลับ
แล้วทำไมนักเรียนไทยจึงจะต้องไว้ผมยาว
ผมกลับคิดว่า ไม่ต้องไว้ยาวหรือ เกรียน น่าจะได้อ่ะ

ทรงผมไม่ได้ทำให้คนเราเรียนเก่งขึ้น

ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคนเรียนไม่เก่ง ตัด เกรียนแล้วจะเรียนเก่ง

อีกเรื่องคือ  ปล่อยทรงผมตามใจอาจจะดีกว่าก็ได้นะ

สมัยผมเรียนมัธยม ก็ค่อนข้างแสบพอสมควรเหมือนกัน และก็ไม่ใช่แค่ผมแต่เป็นหลายๆคนเอาเป็นว่าส่วนมากของ นักเรียน (ทั้งชายทั้งหญิง)

เอาเวลามานั่งออกแบบทรงผมกันว่า จะทำทรงอะไรดีให้ยาวกว่าระเบียบและไม่โดนจับได้ (หนังสือทั้งหาไม่อ่านกัน ยุ่งแต่กะเรื่องทรงผม)

(จนกระทั่งไมนานนี้ไปเยี่ยม โรงเรียนเก่ามา ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่)

เพระแทนที่จะเอาเวลาที่จะได้มาคิดไอ้นู่นไอ้นี่มาคิดมากกันแต่เรื่องทรงผม

พอจะสอบจะอ่านหนังสือ ก็กลายเป็นว่าต้องดูทรงผมก่อนว่าผิดระเบียบรึเปล่า (แต่จริงๆ ก็อ่านทันนะ แต่มันไม่แน่มาเป็นเรื่องเครียดมากขนาดนี้อ่ะ กฏนี้น่าจะหลวมๆมั่ง )

เอาเป็นว่าจริงๆแล้ว เด็ก(วันรุ่น)ไทยส่วนมาก (รวมผมด้ย) ไม่ค่อยมีความคิดว่ากฏมีไว้ปฎิบัติ แต่กลับมีไว้แหก

ก่อนเรียนมัธยม มีเรียนโรงเรียนเอกชน ไว้ผมทรงอะไรก็ได้ ก็ไว้ยาวบ้าง สั้นบาง สกีนเฮด ก็เคย

พอเข้ามัธยม สอบเข้า ร.ร.รัฐบาล ปัญหา เกิด โดนสั่งตัดผมสั้น วามคิดแรกที่ขึ้นมาคือขัดแย้ง(คิดอย่างเดียวว่ามันจะทำให้เรียนเก่งเรอะ)

ผมคิดว่าปล่อยให้ไว้ทรงไรก็ไว้ไปเหอะ ผมสั้นคนที่ไม่เก่ง มันก็ไม่เก่งขึ้นมาหรอก  ผมยาวคนที่เก่ง ถ้าผมสั้น ก็ไม่ได้เก่งขึ้น

แล้วจะบังคับเพื่ออะไร (คล้ายๆ มารบายสิ่งที่ผ่านไป  ::008::)

อธิบายเหตุผลไว้ในความคิดเห็นก่อนหน้านี้แล้วครับ
ว่าไม่ได้ให้เกรียนเพื่อให้เด็กพวกนั้นเก่งขึ้น
แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ลองกลับไปอ่านดูนะครับ
เปิดมุมมอง แง้มโลก แล้วอ่านพร้อมใช้เหตุ และผล

แต่โดยส่วนตัว
Phulasso เขียน: มันเป็นแฟชั่นน่ะ
ตอนเรียนเขาไม่เคยตัดผมสั้นนะ
มันเท่ห์ดี ดูมีอภิสิทธิ์ขนาดเรียน ร.ด.
เพราะรุ่นเขาเป็นมีลูกนายพลเกือบสิบคน
ทหารงี้หงอเลย เห็นชื่อนามสกุลแล้ว

เหมือนกันครับ ขนาดเรียน ร.ด. เอชก็ไม่เกรียนฮะ
แต่เรียนปีเดียวแล้วขี้เกียจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

เสาร์ พ.ย. 03, 2007 6:06 pm

ผมคิดว่าเพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนครับ ถ้าไปดูรูปสมัย ร.5 จะเห็นว่าเด็กไทยสมัยก่อนก็นิยมโกงหัวแล้วไว้จุกดูแล้วก็คล้ายๆ ทรงนักเรียนเช่นกัน
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ พ.ย. 03, 2007 7:13 pm

Matthew เขียน: เอาเป็นว่าจริงๆแล้ว เด็ก(วันรุ่น)ไทยส่วนมาก (รวมผมด้ย) ไม่ค่อยมีความคิดว่ากฏมีไว้ปฎิบัติ แต่กลับมีไว้แหก
แล้วทำไปเพื่ออะไรล่ะครับ???
สะใจ...สนุก...ดูเท่ห์...ขอหัวเราะนิดนึงนะครับ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์ (โอเคพอแระ)

คือถ้ากฎนั้นไม่เหมาะสม เราก็ต้องหาทางแก้กฎ
ไม่ใช่แหก นั่นไม่ใช่วิสัยของวิญญูชนครับ...

ถ้าเด็กวัยรุ่นคิดยังงี้ทั้งประเทศ...ก็ไม่แปลกใจที่การวัดว่าพัฒนาหรือไม่พัฒนาจะวัดกันที่ทรงผม...

รัฐประหารกันปีละครั้ง...
เป็นหนี้กองทุนต่างประเทศซักล้านล้านเหรียญ
รับใช้ทุนนิยม
สนุกสนานกับแสงสี
ให้เด็กอายุ 10 ขวบ เข้าผับได้
ตั้งบ่อนถูกกฎหมาย
ใช่ป่ะครับ..........เพราะวัยรุ่นชอบแหกกฎ
ก็เข้าใจล่ะนะครับ ว่าสมัยไม่เปลี่ยนไป....อยากพัฒนากัน
กลัวไม่เป็น "อนารยชน"

ถ้าเยาวชนที่จะเติบโตไปพัฒนาชาติมีความคิดอย่างนี้
ก็คงต้องช่วยกันปลงล่ะครับ

"กฎมีไว้แหก" น่าอนาถใจนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Champkun
โพสต์: 570
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 10:35 pm
ที่อยู่: Bkk
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ย. 05, 2007 11:02 pm

เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร พ.ย. 06, 2007 5:35 pm

ผมเคยเป็นสารวัตรน.ร.(และเคยอบรมเยาวชนสัมพันธ์)
การแหกกฏมีแต่ความสะใจ แต่ผมตามมาไม่เคยมีอะไรดีเลย

จากบดินทรสามที่ผมเคารพรัก(ผมน่าจะรุ่นสุดท้ายแล้วที่เห็นการเข้าแถวขึ้นรถเมล์ ตอนนั้นรมเมล์ไม่รีบร้อนเหมือนทุกวันนี้) ตอนนี้โดนเรียกบดินทรสลัม

คนทำตามกฏ->โดนมองว่าเอ๋อ
คนควบคุมกฏ->โดนว่าเข้มงวด
คนรักษากฏ->โดนมองว่าเลียขาอาจารย์

ทุกครั้งที่กลับไปร.ร.เก่าผมถามตัวเองตลอด "ต้องรอให้ถึงวันพิพากษาหรือเปล่าถึงจะมีความชอบธรรม" สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยอมทนกลับไปโรงเรียนเก่าบางครั้งในความคิดที่ว่า "ร.ร.ที่ชั้นเคยอยู่มันหายไปตั้งแต่ชั้นอยู่ม.3 ตอนนี้มันเหลือแค่สถานที่ที่ผมรู้จัก แต่ความเป็นร.ร.ที่ชั้นรู้จักมันไม่มีอีกแล้ว ทำใจเสียเหอะ"
Marie Antoinette
โพสต์: 626
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
ที่อยู่: bkk

อังคาร พ.ย. 06, 2007 6:24 pm

Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
โอ้ เห็นด้วยอย่างแรง
Matthew
Arch Guardian
Arch Guardian
โพสต์: 297
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ต.ค. 09, 2006 8:19 pm
ที่อยู่: ดินแดนอันไกลโพ้น

พุธ พ.ย. 07, 2007 11:28 pm

necromancer เขียน:
Matthew เขียน: เอาเป็นว่าจริงๆแล้ว เด็ก(วันรุ่น)ไทยส่วนมาก (รวมผมด้ย) ไม่ค่อยมีความคิดว่ากฏมีไว้ปฎิบัติ แต่กลับมีไว้แหก
แล้วทำไปเพื่ออะไรล่ะครับ???
สะใจ...สนุก...ดูเท่ห์...ขอหัวเราะนิดนึงนะครับ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์ (โอเคพอแระ)
นั่นดิ คงคล้ายๆ เอชไม่ยอมใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนมั้ง  ::014::
Tassadar

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 3:27 pm

Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 5:13 pm

Tassadar เขียน:
Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
พูดถูกทีเดียว เพราะนักเรียนก็เอาใจใส่กับผมมากขนาดถึงขั้นต้องเรียกร้องเสรีภาพ
อาจารย์ก็เลยไม่รู้จะตั้งใจสอนไปทำไม เพราะนร.ก็ไม่ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว วันๆเอาเวลาไปดูแลแต่ผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 9:53 pm

sasuke เขียน:
Tassadar เขียน:
Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
พูดถูกทีเดียว เพราะนักเรียนก็เอาใจใส่กับผมมากขนาดถึงขั้นต้องเรียกร้องเสรีภาพ
อาจารย์ก็เลยไม่รู้จะตั้งใจสอนไปทำไม เพราะนร.ก็ไม่ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว วันๆเอาเวลาไปดูแลแต่ผม
แน่ใจนะครับ่าอาจารย์เคร่ง ขอย้ำว่าแน่ใจหรอครับ

น้องชายผม ผมยาวแบบไว้จอห์น จารย์ก็ไม่ว่าอะไรเลย มันไม่ได้เรียนร.ด. ตอนประชุมผู้ปกครองอาจารย์ก็ไม่พูด หรือมันเป็รที่ร.ร. ร.ร.ผมเคยตรวจหนักหลังๆพวกสิทธิชนยุควิบัติเรียกร้องอะไรมากๆ ครูเลยใช้ระบบคุณสมบัติอันพึงประสงค์ ใครไม่ผ่านก็ไม่ให้จบ เท่านั้น ไม่ห้ามเรื่องผม แต่ไว้ผมยาวก็ไม่ให้จบ
Tassadar เขียน:
Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
อันนี้ไม่เกี่ยวเหตุเพราะ

คนเก่งๆ มันไม่คิดจะเป็นครูเว้นแต่คนที่มีใจจริงๆ
ถ้าสมมุติเก่งชีวะ+เคมีมากๆแบบเทพเลยอะ ระหว่างครูกับหมอจะเลือกอะไร
แล้วจะถูกคัดเรื่อยๆ หมอ วิศวะ วิทยา ตามค่านิยม ครูจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย

แล้วเอาครูพวกนี้มาเป็นแม่พิมพ์ก็ลองคิดดูนะ เหมือนปกป้องอาชีพครู ผมไม่เห็นว่าจะปกป้องตรงไหน

แล้วนักเรียนก็มีผลต่อการสอน ครูเก่งแต่รักเรียนไม่รับก็ไร้ค่า

เปรียบครูคือคนปากระดาษ นักเรียนคือแก้วโหล

ครูบางคนใช้ปาปาปาปาแก้วจะรับกระดาษได้ไม่ได้ก็อยู่ที่ว่าจะขวนขวายเพียงใด กล่าวคือนักเรียนต้องเข้าหาครู(เป้นค่านิยมต่างประเทศ)
ครูบางคนใช้การเข้าไปจับใส่ๆ ถ้าปากโหลแก้วมันแคบไม่ยอมขยายกระดาษก็ย่อมเข้าไม่ได้

สิ่งที่จะจูนเข้าหากัยนั่นคือครูควรเลิกปากระดาษหันมาหยอดกระดาษ(60%เป็นแบบนี้)นักเรียนควรขยายปากแก้ว(10%ที่นักเรียนจะปรับปรุงตัว แต่แปลกนักเรียนปรับปรุงตัวมักจะเจอครูที่ไม่ปรับปรุงตัว ไม่เคยเจอกันักที)

เอามาจากการไปอบรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Champkun
โพสต์: 570
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 10:35 pm
ที่อยู่: Bkk
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 10:42 pm

ทั้งนี้ ทั้งนั้น มาจากค่านิยมของวิชาชีพครูในไทยเปลี่ยนไป
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 9:43 am

Matthew เขียน:
necromancer เขียน:
Matthew เขียน: เอาเป็นว่าจริงๆแล้ว เด็ก(วันรุ่น)ไทยส่วนมาก (รวมผมด้ย) ไม่ค่อยมีความคิดว่ากฏมีไว้ปฎิบัติ แต่กลับมีไว้แหก
แล้วทำไปเพื่ออะไรล่ะครับ???
สะใจ...สนุก...ดูเท่ห์...ขอหัวเราะนิดนึงนะครับ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์ (โอเคพอแระ)

นั่นดิ คงคล้ายๆ เอชไม่ยอมใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนมั้ง  ::014::
โหคุณเฮียครับ...ไม่เมคเซ้นส์เลยครับ
ขอความกรุณาทำความเข้าใจใหม่นิดนึง...การไม่สวมชุดนักศึกษาไปเรียนมัน "ไม่ใช่การแหกกฎ"
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และ "ทางคณะวิชา" ก็ อนุญาต...เข้าใจนิดนึงนะครับ...แหม่ๆ มันต่างกันฮะ มันต่างกันมาก ให้ตายเหอะ -*-
คือมันปฏิบัติติดต่อกันมายาวนาน แล้วก็อาจารย์อนุญาต และมันก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติน่ะครับ
และระเบียบชุดเข้าเรียนของทางคณะก็ "ชุดสุภาพ" ไม่ใช่ชุด "นักศึกษา" แหม่ เฮีย อย่าหาพวกตอนนี้สิครับ
มันไม่ดีๆ ไม่เจ้นท์เลยอ่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 1:57 pm

Gray Cat Mobster เขียน:
sasuke เขียน:
Tassadar เขียน: สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
พูดถูกทีเดียว เพราะนักเรียนก็เอาใจใส่กับผมมากขนาดถึงขั้นต้องเรียกร้องเสรีภาพ
อาจารย์ก็เลยไม่รู้จะตั้งใจสอนไปทำไม เพราะนร.ก็ไม่ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว วันๆเอาเวลาไปดูแลแต่ผม
แน่ใจนะครับ่าอาจารย์เคร่ง ขอย้ำว่าแน่ใจหรอครับ

น้องชายผม ผมยาวแบบไว้จอห์น จารย์ก็ไม่ว่าอะไรเลย มันไม่ได้เรียนร.ด. ตอนประชุมผู้ปกครองอาจารย์ก็ไม่พูด หรือมันเป็รที่ร.ร. ร.ร.ผมเคยตรวจหนักหลังๆพวกสิทธิชนยุควิบัติเรียกร้องอะไรมากๆ ครูเลยใช้ระบบคุณสมบัติอันพึงประสงค์ ใครไม่ผ่านก็ไม่ให้จบ เท่านั้น ไม่ห้ามเรื่องผม แต่ไว้ผมยาวก็ไม่ให้จบ
Tassadar เขียน:
Champkun เขียน: เคยมีผู้รู้ไขข้อกระจ่างให้ว่า สมัยประถมให้ตัดสั้นเพื่อให้ดูแลง่าย เด็กจะได้ไม่เป็นเหา
ส่วนระดับมัธยม ที่ให้ตัดสั้น เพื่อลดความฝักไฝ่ในเพศตรงข้ามลง เพราะทรงผมจะทำให้ดูไม่น่ารัก ไม่หล่อ ไม่สวย
ทำให้เด็กตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะไปสนใจเพศตรงข้าม

แต่ไม่รู้สมัยนี้จะยังมีประโยชน์อยู่ไหม
สมัยนี้กลายเป็นว่า อาจารย์ทั้งหลายเอาแต่ตรวจผม แต่เรื่องสอนไม่ได้เรื่องเลย
อันนี้ไม่เกี่ยวเหตุเพราะ

คนเก่งๆ มันไม่คิดจะเป็นครูเว้นแต่คนที่มีใจจริงๆ
ถ้าสมมุติเก่งชีวะ+เคมีมากๆแบบเทพเลยอะ ระหว่างครูกับหมอจะเลือกอะไร
แล้วจะถูกคัดเรื่อยๆ หมอ วิศวะ วิทยา ตามค่านิยม ครูจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย

แล้วเอาครูพวกนี้มาเป็นแม่พิมพ์ก็ลองคิดดูนะ เหมือนปกป้องอาชีพครู ผมไม่เห็นว่าจะปกป้องตรงไหน

แล้วนักเรียนก็มีผลต่อการสอน ครูเก่งแต่รักเรียนไม่รับก็ไร้ค่า

เปรียบครูคือคนปากระดาษ นักเรียนคือแก้วโหล

ครูบางคนใช้ปาปาปาปาแก้วจะรับกระดาษได้ไม่ได้ก็อยู่ที่ว่าจะขวนขวายเพียงใด กล่าวคือนักเรียนต้องเข้าหาครู(เป้นค่านิยมต่างประเทศ)
ครูบางคนใช้การเข้าไปจับใส่ๆ ถ้าปากโหลแก้วมันแคบไม่ยอมขยายกระดาษก็ย่อมเข้าไม่ได้

สิ่งที่จะจูนเข้าหากัยนั่นคือครูควรเลิกปากระดาษหันมาหยอดกระดาษ(60%เป็นแบบนี้)นักเรียนควรขยายปากแก้ว(10%ที่นักเรียนจะปรับปรุงตัว แต่แปลกนักเรียนปรับปรุงตัวมักจะเจอครูที่ไม่ปรับปรุงตัว ไม่เคยเจอกันักที)

เอามาจากการไปอบรม
2ทธ 3:1
จงรู้เถิดว่า ยุคสุดท้ายจะมีช่วงเวลาความยุ่งยากเกิดขึ้น  มนุษย์จะทำตามใจตน เห็นแก่เงิน อวดดี ยโสและหยาบคาย ดื้อด้านต่อบิดามารดา เนรคุณ ไม่นับถือศาสนา  ไร้มนุษยธรรมไม่ยอมให้อภัย นินทาว่าร้าย เสเพล เข้ากับใครไม่ได้ เกลียดชังความดี  ทรยศ ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หยิ่งผยอง รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า  นับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก แต่ไม่ยอมให้ศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิต จงอย่าคบกับพวกนี้เลย


แมวเทาอย่ายึดติดกับระบบโรงเรียนมาก ในอนาคต มันจะเปลี่ยนไปแน่นนอน สงสัยIMคุย
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 7:54 pm

ปัญหาคือครูยุคนี้ถือว่าครูเป็นแค่วิชาชีพอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนด้วยจิตวิญญาณ คล้ายๆในเรื่องชานะ ที่ครูโดนชานะตะเพิดเพราะสอนไร้คุณภาพ

รัฐก็ให้สวัสดิการครูน้อยจนกลายเป็นอาชีพที่ไม่น่าทำ

และที่ว่านักเรียนและเด็กไทยแย่อย่างโน้นอย่างนี้ แท้จริงแล้วใครปั้นมา ก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้นมิใช่หรือ? ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น? ผมเชื่อว่าเด็กไม่ได้แย่มาโดยกำเนิดหรอก แต่น่าจะเกิดจากการปั้นแต่งจากผู้ใหญ่และสิ่งรอบข้างมากกว่า

ส่วนกฏเกณฑ์และระบบต่างๆจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแน่นอน

เหมือนโปรตอส(StarCraft)ที่ถูกถล่มดาวบ้านเกิดจนเละ สุดท้ายต้องยอมทิ้งความยึดติดและเอาตัวรอดสู่ดาวของพวกDarkTemplarที่พวกตนเคยตะเพิดออกจากดาวบ้านเกิดของตนเองในอดีต สุดท้ายพอทั้ง2ฝ่ายปรับตัวเข้าหากันได้โปรตอสก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ไม่ล่มสลายจากการยึดติดมากเกินไป
แก้ไขล่าสุดโดย NKL เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:28 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Marie Antoinette
โพสต์: 626
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
ที่อยู่: bkk

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:15 pm

ยังไม่จบกันอีกเหรอฮ้า ::010:: ::014:: ::014:: ::014::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 8:38 pm

คิดถึงตอนที่ยังเรียนคำสอน มีครูที่รู้จักเขาเป็นคริสเตียน ครูเค้าเคยพูดลอยๆไว้
"ครู คือ แม่คนที่สอง หากวันใดความเป็นแม่หายไป ครูก็จะมีค่าอะไรนอกจากผู้สอน
สิ่งที่โรงเรียนต่างกับโรงเรียนกวดวิชานั่นคือ เป็นบ้านหลังที่สอง บ้านที่สอนคุณธรรม หากวันใดนั้นค่าของบ้านหายไป โรงเรียนก็เป็นเพียงแค่ สถานที่ให้เกรด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูจะยังเป็นแม่ โรงเรียนจะยังเป็นบ้าน ครูไม่ได้สร้าง ผอ.ไม่ได้สร้าง หรือแม้แต่ซี9(ตอนนั้นยังมีระบบซีอยู่ไม่รู้ตอนนี้มีหรือเปล่า)ก็ไม่สามารถเปลี่ยนบ้านหลังที่2หรือแม่คนที่สองหายไป ทุกอย่างมันมาจากนักเรียนเท่านั้นที่ยังคิดอยู่ไหมว่าที่นี่คือบ้าน และครูคือแม่
ครูเห็นว่าพวกเธอเป็นลูก แต่พวกเธอหละคิดว่าครูเป็นแม่บ้างไหม"

หลายครั้งครูมักจะยกบทวิวรณ์บทนี้มาสอนผม
วว 21:4
พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา จะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ และความทุกข์อีกต่อไป เพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว


ผู้ใหญ่หลายคน คุณครู หรือแม้แต่ผม สิ่งเดียวที่มีกำลังใจให้รอต่อไปนั่นคือ วันนั้น

ป.ล.สิ่งที่ผมยังค้างคาใจ ทำไมต้องรอถึงวันนั้น การตัดสินอย่างยุติธรรมจึงมาถึง
ป.ล.2ครูที่ว่าไม่ใช่ครูสอนคำสอนแต่เป็นครูที่ผมรู้จักครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 10:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

ศุกร์ พ.ย. 09, 2007 10:54 pm

พอเห๊อะ ::002::
Matthew
Arch Guardian
Arch Guardian
โพสต์: 297
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ต.ค. 09, 2006 8:19 pm
ที่อยู่: ดินแดนอันไกลโพ้น

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 4:51 pm

necromancer เขียน:
Matthew เขียน:
necromancer เขียน: แล้วทำไปเพื่ออะไรล่ะครับ???
สะใจ...สนุก...ดูเท่ห์...ขอหัวเราะนิดนึงนะครับ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์ (โอเคพอแระ)
นั่นดิ คงคล้ายๆ เอชไม่ยอมใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนมั้ง  ::014::
โหคุณเฮียครับ...ไม่เมคเซ้นส์เลยครับ
ขอความกรุณาทำความเข้าใจใหม่นิดนึง...การไม่สวมชุดนักศึกษาไปเรียนมัน "ไม่ใช่การแหกกฎ"
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และ "ทางคณะวิชา" ก็ อนุญาต...เข้าใจนิดนึงนะครับ...แหม่ๆ มันต่างกันฮะ มันต่างกันมาก ให้ตายเหอะ -*-
คือมันปฏิบัติติดต่อกันมายาวนาน แล้วก็อาจารย์อนุญาต และมันก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติน่ะครับ
และระเบียบชุดเข้าเรียนของทางคณะก็ "ชุดสุภาพ" ไม่ใช่ชุด "นักศึกษา" แหม่ เฮีย อย่าหาพวกตอนนี้สิครับ
มันไม่ดีๆ ไม่เจ้นท์เลยอ่ะครับ

อ้อ หรอ

งั้นถามใหม่ รร.เก่า พี่ เคยมีอาจารย์ ท่านนึง สอนพระพุทธศาสนา ตั้งกฏ ขึ้นมาว่าถ้า นร.ชายต้องไปบวชเณร ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน และ นร.หญิง ต้องไปบวชชี ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน แล้วจะไปดูชื่อผู้บวช เพื่อให้สอบผ่าน ใครไม่ไปบวชสอบตกทั้งหมด  แล้วพี่ถามว่าพี่กะเพื่อนๆ อิสลาม พากันแหกกฏ ข้อนี้  และ ยอมสอบตกกันเลยอ่ะ พี่ผิดมั้ย?(ได้ข่าวว่าอาจารย์ท่านนี้ยกเลิกกฏข้อนี้แล้วครับ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 9:09 pm

NKL เขียน: ปัญหาคือครูยุคนี้ถือว่าครูเป็นแค่วิชาชีพอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนด้วยจิตวิญญาณ

....

และที่ว่านักเรียนและเด็กไทยแย่อย่างโน้นอย่างนี้ แท้จริงแล้วใครปั้นมา ก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้นมิใช่หรือ? ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น? ผมเชื่อว่าเด็กไม่ได้แย่มาโดยกำเนิดหรอก แต่น่าจะเกิดจากการปั้นแต่งจากผู้ใหญ่และสิ่งรอบข้างมากกว่า
เด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพครูบาอาจารย์จริงๆ บอกตามตรงว่าแย่มากๆ

เลิกด่าครูบาอาจารย์ได้แล้วครับ หันมาดูตัวเองเสียบ้าง ครูสั่งให้ตัดผมเกรียนแค่นี้ยังปัญหามากมาย ไม่มีความเคารพในกฎระเบียบของสังคมที่ตนเองอยู่ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า "ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น?" อีกหรือครับ

เขาแค่ขอให้ตัดผมสั้นยังไม่ยอม คิดเหรอครับว่าเขาจะ"ปั้นคุณ"ให้ออกมาเป็นยังไงต่อยังไงได้

คุณนั่นแหละปั้นตัวเอง และถ้าปั้นออกมาเลวร้ายอย่างไร ก็อย่าไปโยนความผิดให้คนอื่นเลยครับ หัดรับผิดชอบในการกระทำของตนเองเสียบ้างก็จะดี
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 9:13 pm

P เขียน:
NKL เขียน: ปัญหาคือครูยุคนี้ถือว่าครูเป็นแค่วิชาชีพอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนด้วยจิตวิญญาณ

....

และที่ว่านักเรียนและเด็กไทยแย่อย่างโน้นอย่างนี้ แท้จริงแล้วใครปั้นมา ก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้นมิใช่หรือ? ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น? ผมเชื่อว่าเด็กไม่ได้แย่มาโดยกำเนิดหรอก แต่น่าจะเกิดจากการปั้นแต่งจากผู้ใหญ่และสิ่งรอบข้างมากกว่า
เด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพครูบาอาจารย์จริงๆ บอกตามตรงว่าแย่มากๆ

เลิกด่าครูบาอาจารย์ได้แล้วครับ หันมาดูตัวเองเสียบ้าง ครูสั่งให้ตัดผมเกรียนแค่นี้ยังปัญหามากมาย ไม่มีความเคารพในกฎระเบียบของสังคมที่ตนเองอยู่ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า "ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น?" อีกหรือครับ

เขาแค่ขอให้ตัดผมสั้นยังไม่ยอม คิดเหรอครับว่าเขาจะ"ปั้นคุณ"ให้ออกมาเป็นยังไงต่อยังไงได้

คุณนั่นแหละปั้นตัวเอง และถ้าปั้นออกมาเลวร้ายอย่างไร ก็อย่าไปโยนความผิดให้คนอื่นเลยครับ หัดรับผิดชอบในการกระทำของตนเองเสียบ้างก็จะดี

ยกมือสนับสนุน ถ้าอยากไว้ผมนักไว้รอตอน มหาวิทยาลัยสิ ได้ไว้สมใจแน่ แค่ทำตามกฏระเบียบของ รร แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะอยู่ร่วมสังคมที่มีกฏข้อบังคับมากมายได้อย่างไรกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 11:22 am

P เขียน:
NKL เขียน: ปัญหาคือครูยุคนี้ถือว่าครูเป็นแค่วิชาชีพอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนด้วยจิตวิญญาณ

....

และที่ว่านักเรียนและเด็กไทยแย่อย่างโน้นอย่างนี้ แท้จริงแล้วใครปั้นมา ก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้นมิใช่หรือ? ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น? ผมเชื่อว่าเด็กไม่ได้แย่มาโดยกำเนิดหรอก แต่น่าจะเกิดจากการปั้นแต่งจากผู้ใหญ่และสิ่งรอบข้างมากกว่า
เด็กสมัยนี้ไม่มีความเคารพครูบาอาจารย์จริงๆ บอกตามตรงว่าแย่มากๆ

เลิกด่าครูบาอาจารย์ได้แล้วครับ หันมาดูตัวเองเสียบ้าง ครูสั่งให้ตัดผมเกรียนแค่นี้ยังปัญหามากมาย ไม่มีความเคารพในกฎระเบียบของสังคมที่ตนเองอยู่ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า "ผู้ใหญ่มิใช่หรือที่ต้องดูตัวเองว่าปั้นเด็กมาอย่างไรถึงได้ออกมาแบบนั้น?" อีกหรือครับ

เขาแค่ขอให้ตัดผมสั้นยังไม่ยอม คิดเหรอครับว่าเขาจะ"ปั้นคุณ"ให้ออกมาเป็นยังไงต่อยังไงได้

คุณนั่นแหละปั้นตัวเอง และถ้าปั้นออกมาเลวร้ายอย่างไร ก็อย่าไปโยนความผิดให้คนอื่นเลยครับ หัดรับผิดชอบในการกระทำของตนเองเสียบ้างก็จะดี

เห็นด้วยค้าบ
Pry-Kaew
โพสต์: 959
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ม.ค. 29, 2005 3:03 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 3:29 pm

Matthew เขียน: งั้นถามใหม่ รร.เก่า พี่ เคยมีอาจารย์ ท่านนึง สอนพระพุทธศาสนา ตั้งกฏ ขึ้นมาว่าถ้า นร.ชายต้องไปบวชเณร ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน และ นร.หญิง ต้องไปบวชชี ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน แล้วจะไปดูชื่อผู้บวช เพื่อให้สอบผ่าน ใครไม่ไปบวชสอบตกทั้งหมด  แล้วพี่ถามว่าพี่กะเพื่อนๆ อิสลาม พากันแหกกฏ ข้อนี้  และ ยอมสอบตกกันเลยอ่ะ พี่ผิดมั้ย?(ได้ข่าวว่าอาจารย์ท่านนี้ยกเลิกกฏข้อนี้แล้วครับ)

ถ้าออกกฎที่กดขี่ข่มเหงจิตใจแบบนี้ แถมเป็นวัดจานบินชื่อดังอีกตังหาก เป็นผม ผมลาออกจากโรงเรียนดังกล่าวทันทีครับ หาที่เรียนใหม่ดีกว่า I always openmind to other people, but why some people never openmind for us.

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม

ปล.เรื่องหัวเกรียน ตนเองหัวเกรียนมาตลอดตั้งแต่ประถม มัธยม และระดับอุดมศึกษาในสองสามปีแรก(เนื่องจากต่อ รด. ปีสี่ ปีห้า) ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นครับ ส่วนตัวชอบตัดรองทรงสูง เลยเฉยๆจ๊ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 3:58 pm

เอาเป็นว่าผมจบกับกระทู้นี้ก็แล้วกัน เพราะยิ่งเถียงคงยิ่งบานปลาย เพราะแนวคิดหลายอย่างแตกต่างกันมากเกินไป

ปล.บอกอีกทีว่าผมหมดวัยไว้หัวเกรียนแล้วตอนนี้ แต่ก็ยังคงไม่ชอบและต่อต้านกฏนี้อยู่ดี

เรื่องครูอาจารย์ ด้วยความสัตย์จริง ตั้งแต่เรียนมาที่ผมนับถือมีไม่ถึง5คนด้วยซ้ำ เจอแต่พวกครูที่สอนไม่เต็มที่ กั๊กวิชา ชวนเรียนพิเศษ ชอบโม้เรื่องลูกตนเองแล้วดูถูกเด็กนักเรียนในห้อง จับผิดเด็กจนน่ารำคาญ กันบลัหกันเองไปมาให้นักเรียนฟัง จนผมหมดความนับถือไปแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย NKL เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 4:44 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 4:08 pm

Gray Cat Mobster เขียน: คิดถึงตอนที่ยังเรียนคำสอน มีครูที่รู้จักเขาเป็นคริสเตียน ครูเค้าเคยพูดลอยๆไว้
"ครู คือ แม่คนที่สอง หากวันใดความเป็นแม่หายไป ครูก็จะมีค่าอะไรนอกจากผู้สอน
สิ่งที่โรงเรียนต่างกับโรงเรียนกวดวิชานั่นคือ เป็นบ้านหลังที่สอง บ้านที่สอนคุณธรรม หากวันใดนั้นค่าของบ้านหายไป โรงเรียนก็เป็นเพียงแค่ สถานที่ให้เกรด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูจะยังเป็นแม่ โรงเรียนจะยังเป็นบ้าน ครูไม่ได้สร้าง ผอ.ไม่ได้สร้าง หรือแม้แต่ซี9(ตอนนั้นยังมีระบบซีอยู่ไม่รู้ตอนนี้มีหรือเปล่า)ก็ไม่สามารถเปลี่ยนบ้านหลังที่2หรือแม่คนที่สองหายไป ทุกอย่างมันมาจากนักเรียนเท่านั้นที่ยังคิดอยู่ไหมว่าที่นี่คือบ้าน และครูคือแม่
ครูเห็นว่าพวกเธอเป็นลูก แต่พวกเธอหละคิดว่าครูเป็นแม่บ้างไหม"

หลายครั้งครูมักจะยกบทวิวรณ์บทนี้มาสอนผม
วว 21:4
พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา จะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ และความทุกข์อีกต่อไป เพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว


ผู้ใหญ่หลายคน คุณครู หรือแม้แต่ผม สิ่งเดียวที่มีกำลังใจให้รอต่อไปนั่นคือ วันนั้น

ป.ล.สิ่งที่ผมยังค้างคาใจ ทำไมต้องรอถึงวันนั้น การตัดสินอย่างยุติธรรมจึงมาถึง
ป.ล.2ครูที่ว่าไม่ใช่ครูสอนคำสอนแต่เป็นครูที่ผมรู้จักครับ
เรื่องในรีพลายนี้อาจสามารถแยกหัวข้อต่างหากได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมพบความจริงมาตั้งแต่มัธยมแล้ว

ครูคือพ่อแม่คนที่2?

ความเป็นจริงครูสมัยนี้อาจจะยากที่จะกล่าวแบบนี้ได้เต็มปากทุกคน ครูที่คิดแบบนั้น ผมเชื่อว่ามีอยู่บ้าง แต่ไม่มากหรอกครับ แล้วยิ่งคนที่คิดแล้วทำได้ด้วยจะน้อยตามลงมา และที่ทำได้แบบนั้นจริงๆยิ่งน้อยไปใหญ่

เพราะ..............

คำว่าครูเป็นพ่อแม่คนที่2นี้ ถ้าคุณหมายถึงยุคหนังจีนกำลังภายใน หรือยุคสมัยโบราณผมเชื่อครับ

เพราะ

เราจะเห็นว่าสมัยก่อน 1สำนักมีครู ครู1คน ครับ เพราะฉะนั้น เด็กทุกคนที่เข้ามา ต้องเรียนกับครูคนนี้ ระบบนี้ยังมีอยู่บางในมวยไทยค่าย เช่น แมวเทาศิษย์แมวดำ เอชโซ่ศิษย์บางจาก อะไรแบบนี้ ดังนั้น สมัยก่อนเมื่อคุณจะเรียนวิชาอะไรคุณจะเจอครูคนนั้นทุกวันทั้งวันหลายปีจนกว่าจะจบ แต่สมัยนี้ คุณเรียนวิชาอะไรคุณเจอครูคนนั้นอาทิตย์ละ2-3ชั่วโมง ครบปีเปลี่ยนคนครับ

ยิ่งไปกว่านั้นสมัยก่อนครูไม่เก็บค่าเรียนศิษย์ครับ เก็บค่ายกครูแรกเข้าครั้งเดียวจบครับ แล้วเรียนไปเลยจนกว่าจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนมีระบบธุรกิจมาก มีทั้งแป๊ะเจี๊ยะค่าโน่นค่านี้ ถ้าอยากเรียนเพิ่มครูหลายคนเก็บค่าสอนพิเศษและรับสอนพิเศษครับ ดังนั้นดูยังไงมันก็ไม่ใช่ฟิวพ่อแม่แน่นอน

ที่สำคัญสมัยก่อนครูอยู่ไกล ศอษย์ต้องไปกินอยู่ที่สำนักครับ แบบนี้มันคือบ้านหลังที่2แบบเต็มตัว

ถึงตรงนี้ลองนึกภาพ ว่าสมัยก่อน คุณต้องจากบ้านเดิมไปบ้านหลังที่2(จริงๆ) กินนอนเป็นปีบางกรณีเป็น10ปี บางทีไปอยู่เกือบตลอดชีวิต กินฟรีอีกต่างหาก อาจารย์สอนคุณทุกอย่างอยู่กับคุณตลอด เก็บค่าครูครั้งเดียว แต่เขาเลี้ยงคุณเป้นปี ถ่ายทอดวิทยายุทธกันแบบเกือบหมดไส้หมดพุง แถมอาจารย์บางคนยกลูกสาวให้ศิษย์เอกซะอีก แบบนี้ มันเรียกว่าพ่อแม่คนที่2ได้จริงๆครับ

สมัยนี้ เก็บค่าเรียน ค่าโน่นค่านี่ ไม่จ่ายอดสอบ ไม่สอนเกินเวลา เจอกันไม่เกิน2-3ชั่วโมง บ้านครูอยู่ไหนยังไม่รู้ นิสัยศิษย์เป็นยังไงยังไม่ลึก ครบปีแยกย้าย ดังนั้นต่อให้คิดว่าเป็นพ่อแม่คนที่2 ก็เป็นได้แค่ระดับปรารถนา แต่ไม่ใช่ในทางปฏิบัติที่ยังไงก็ไม่เทียบเท่าคนสมัยก่อน ที่เขาคิดแบบนั้นเพราะเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ สมัยนี้ระบบการศึกษาแบบนี้ ยังไงก็เป็นได้แค่ ความปรารถนา และอุดมคติ + การกระทำตามที่สภาพการณ์จะเอื้ออำนวยเท่านั้น บางคนอาจรู้สึกแบบนั้น แต่มันเทียบไม่ได้กับต้นตอที่มาของคำในสมัยก่อนแน่นนอนครับ

ดังนั้นถ้าเด็กจะไม่คิดกับครูแบบนี้ โทษเขาไม่ได้นะครับ เด็กไม่ผิด แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับความจริง
Matthew
Arch Guardian
Arch Guardian
โพสต์: 297
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ต.ค. 09, 2006 8:19 pm
ที่อยู่: ดินแดนอันไกลโพ้น

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 6:33 pm

Pry-Kaew เขียน:
Matthew เขียน: งั้นถามใหม่ รร.เก่า พี่ เคยมีอาจารย์ ท่านนึง สอนพระพุทธศาสนา ตั้งกฏ ขึ้นมาว่าถ้า นร.ชายต้องไปบวชเณร ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน และ นร.หญิง ต้องไปบวชชี ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน แล้วจะไปดูชื่อผู้บวช เพื่อให้สอบผ่าน ใครไม่ไปบวชสอบตกทั้งหมด  แล้วพี่ถามว่าพี่กะเพื่อนๆ อิสลาม พากันแหกกฏ ข้อนี้  และ ยอมสอบตกกันเลยอ่ะ พี่ผิดมั้ย?(ได้ข่าวว่าอาจารย์ท่านนี้ยกเลิกกฏข้อนี้แล้วครับ)

ถ้าออกกฎที่กดขี่ข่มเหงจิตใจแบบนี้ แถมเป็นวัดจานบินชื่อดังอีกตังหาก เป็นผม ผมลาออกจากโรงเรียนดังกล่าวทันทีครับ หาที่เรียนใหม่ดีกว่า I always openmind to other people, but why some people never openmind for us.

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม

ปล.เรื่องหัวเกรียน ตนเองหัวเกรียนมาตลอดตั้งแต่ประถม มัธยม และระดับอุดมศึกษาในสองสามปีแรก(เนื่องจากต่อ รด. ปีสี่ ปีห้า) ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นครับ ส่วนตัวชอบตัดรองทรงสูง เลยเฉยๆจ๊ะ
อาจารย์ท่านอื่นเค้าดีอ่ะคับ จะให้มาออกเพราะคนๆเดียวน่ะหรอไม่หรอกครับ ที่สำคัญเมื่อ ผอ. รู้เรื่องนี้ ก็ห้ามอาจารย์ท่านนี้สอนวิชานี้อีกเด็ดขาดเลยอ่ะครับ
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ พ.ย. 12, 2007 6:54 am

Matthew เขียน:
necromancer เขียน:
Matthew เขียน: นั่นดิ คงคล้ายๆ เอชไม่ยอมใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนมั้ง  ::014::
โหคุณเฮียครับ...ไม่เมคเซ้นส์เลยครับ
ขอความกรุณาทำความเข้าใจใหม่นิดนึง...การไม่สวมชุดนักศึกษาไปเรียนมัน "ไม่ใช่การแหกกฎ"
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และ "ทางคณะวิชา" ก็ อนุญาต...เข้าใจนิดนึงนะครับ...แหม่ๆ มันต่างกันฮะ มันต่างกันมาก ให้ตายเหอะ -*-
คือมันปฏิบัติติดต่อกันมายาวนาน แล้วก็อาจารย์อนุญาต และมันก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติน่ะครับ
และระเบียบชุดเข้าเรียนของทางคณะก็ "ชุดสุภาพ" ไม่ใช่ชุด "นักศึกษา" แหม่ เฮีย อย่าหาพวกตอนนี้สิครับ
มันไม่ดีๆ ไม่เจ้นท์เลยอ่ะครับ

อ้อ หรอ

งั้นถามใหม่ รร.เก่า พี่ เคยมีอาจารย์ ท่านนึง สอนพระพุทธศาสนา ตั้งกฏ ขึ้นมาว่าถ้า นร.ชายต้องไปบวชเณร ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน และ นร.หญิง ต้องไปบวชชี ที่วัดพระธรรมกาย ทุกคน แล้วจะไปดูชื่อผู้บวช เพื่อให้สอบผ่าน ใครไม่ไปบวชสอบตกทั้งหมด  แล้วพี่ถามว่าพี่กะเพื่อนๆ อิสลาม พากันแหกกฏ ข้อนี้  และ ยอมสอบตกกันเลยอ่ะ พี่ผิดมั้ย?(ได้ข่าวว่าอาจารย์ท่านนี้ยกเลิกกฏข้อนี้แล้วครับ)
ตรงนี้พี่ตั้งก็ต้องใช้วิจารณญาณและซีรีบรัมพิจารณาล่ะครับ
ว่าช้อบังคับดังกล่าวเป็นกฎหรือไม่...
คำว่ากฎ มีความหมายคือ ข้อบังคับที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย และยินยอมปฏิบัติตามเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน หรือคนหมู่มาก

แต่ข้อที่พี่พูดมา....มันไม่ถือว่าเป็นกฎนี่ครับ เพราะตั้งโดยคนคนเดียว ไม่มีสิทธิ์ตั้ง และไม่เห็นจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้น หรือมีก็น้อย

เตือนแล้วนะฮะ ให้เถียงกันอย่างใช้เหตุผล
อย่า non-sense สิครับ....
มันผิดมาตรฐานวิญญูชน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ย. 12, 2007 10:23 am

Holy เขียน:
Gray Cat Mobster เขียน: คิดถึงตอนที่ยังเรียนคำสอน มีครูที่รู้จักเขาเป็นคริสเตียน ครูเค้าเคยพูดลอยๆไว้
"ครู คือ แม่คนที่สอง หากวันใดความเป็นแม่หายไป ครูก็จะมีค่าอะไรนอกจากผู้สอน
สิ่งที่โรงเรียนต่างกับโรงเรียนกวดวิชานั่นคือ เป็นบ้านหลังที่สอง บ้านที่สอนคุณธรรม หากวันใดนั้นค่าของบ้านหายไป โรงเรียนก็เป็นเพียงแค่ สถานที่ให้เกรด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูจะยังเป็นแม่ โรงเรียนจะยังเป็นบ้าน ครูไม่ได้สร้าง ผอ.ไม่ได้สร้าง หรือแม้แต่ซี9(ตอนนั้นยังมีระบบซีอยู่ไม่รู้ตอนนี้มีหรือเปล่า)ก็ไม่สามารถเปลี่ยนบ้านหลังที่2หรือแม่คนที่สองหายไป ทุกอย่างมันมาจากนักเรียนเท่านั้นที่ยังคิดอยู่ไหมว่าที่นี่คือบ้าน และครูคือแม่
ครูเห็นว่าพวกเธอเป็นลูก แต่พวกเธอหละคิดว่าครูเป็นแม่บ้างไหม"

หลายครั้งครูมักจะยกบทวิวรณ์บทนี้มาสอนผม
วว 21:4
พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา จะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ และความทุกข์อีกต่อไป เพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว


ผู้ใหญ่หลายคน คุณครู หรือแม้แต่ผม สิ่งเดียวที่มีกำลังใจให้รอต่อไปนั่นคือ วันนั้น

ป.ล.สิ่งที่ผมยังค้างคาใจ ทำไมต้องรอถึงวันนั้น การตัดสินอย่างยุติธรรมจึงมาถึง
ป.ล.2ครูที่ว่าไม่ใช่ครูสอนคำสอนแต่เป็นครูที่ผมรู้จักครับ
เรื่องในรีพลายนี้อาจสามารถแยกหัวข้อต่างหากได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมพบความจริงมาตั้งแต่มัธยมแล้ว

ครูคือพ่อแม่คนที่2?

ความเป็นจริงครูสมัยนี้อาจจะยากที่จะกล่าวแบบนี้ได้เต็มปากทุกคน ครูที่คิดแบบนั้น ผมเชื่อว่ามีอยู่บ้าง แต่ไม่มากหรอกครับ แล้วยิ่งคนที่คิดแล้วทำได้ด้วยจะน้อยตามลงมา และที่ทำได้แบบนั้นจริงๆยิ่งน้อยไปใหญ่

เพราะ..............

คำว่าครูเป็นพ่อแม่คนที่2นี้ ถ้าคุณหมายถึงยุคหนังจีนกำลังภายใน หรือยุคสมัยโบราณผมเชื่อครับ

เพราะ

เราจะเห็นว่าสมัยก่อน 1สำนักมีครู ครู1คน ครับ เพราะฉะนั้น เด็กทุกคนที่เข้ามา ต้องเรียนกับครูคนนี้ ระบบนี้ยังมีอยู่บางในมวยไทยค่าย เช่น แมวเทาศิษย์แมวดำ เอชโซ่ศิษย์บางจาก อะไรแบบนี้ ดังนั้น สมัยก่อนเมื่อคุณจะเรียนวิชาอะไรคุณจะเจอครูคนนั้นทุกวันทั้งวันหลายปีจนกว่าจะจบ แต่สมัยนี้ คุณเรียนวิชาอะไรคุณเจอครูคนนั้นอาทิตย์ละ2-3ชั่วโมง ครบปีเปลี่ยนคนครับ

ยิ่งไปกว่านั้นสมัยก่อนครูไม่เก็บค่าเรียนศิษย์ครับ เก็บค่ายกครูแรกเข้าครั้งเดียวจบครับ แล้วเรียนไปเลยจนกว่าจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนมีระบบธุรกิจมาก มีทั้งแป๊ะเจี๊ยะค่าโน่นค่านี้ ถ้าอยากเรียนเพิ่มครูหลายคนเก็บค่าสอนพิเศษและรับสอนพิเศษครับ ดังนั้นดูยังไงมันก็ไม่ใช่ฟิวพ่อแม่แน่นอน

ที่สำคัญสมัยก่อนครูอยู่ไกล ศอษย์ต้องไปกินอยู่ที่สำนักครับ แบบนี้มันคือบ้านหลังที่2แบบเต็มตัว

ถึงตรงนี้ลองนึกภาพ ว่าสมัยก่อน คุณต้องจากบ้านเดิมไปบ้านหลังที่2(จริงๆ) กินนอนเป็นปีบางกรณีเป็น10ปี บางทีไปอยู่เกือบตลอดชีวิต กินฟรีอีกต่างหาก อาจารย์สอนคุณทุกอย่างอยู่กับคุณตลอด เก็บค่าครูครั้งเดียว แต่เขาเลี้ยงคุณเป้นปี ถ่ายทอดวิทยายุทธกันแบบเกือบหมดไส้หมดพุง แถมอาจารย์บางคนยกลูกสาวให้ศิษย์เอกซะอีก แบบนี้ มันเรียกว่าพ่อแม่คนที่2ได้จริงๆครับ

สมัยนี้ เก็บค่าเรียน ค่าโน่นค่านี่ ไม่จ่ายอดสอบ ไม่สอนเกินเวลา เจอกันไม่เกิน2-3ชั่วโมง บ้านครูอยู่ไหนยังไม่รู้ นิสัยศิษย์เป็นยังไงยังไม่ลึก ครบปีแยกย้าย ดังนั้นต่อให้คิดว่าเป็นพ่อแม่คนที่2 ก็เป็นได้แค่ระดับปรารถนา แต่ไม่ใช่ในทางปฏิบัติที่ยังไงก็ไม่เทียบเท่าคนสมัยก่อน ที่เขาคิดแบบนั้นเพราะเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ สมัยนี้ระบบการศึกษาแบบนี้ ยังไงก็เป็นได้แค่ ความปรารถนา และอุดมคติ + การกระทำตามที่สภาพการณ์จะเอื้ออำนวยเท่านั้น บางคนอาจรู้สึกแบบนั้น แต่มันเทียบไม่ได้กับต้นตอที่มาของคำในสมัยก่อนแน่นนอนครับ

ดังนั้นถ้าเด็กจะไม่คิดกับครูแบบนี้ โทษเขาไม่ได้นะครับ เด็กไม่ผิด แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมรับความจริง
แต่สำหรับผมมองนครับ(+กับการคาดการณืของครูหลายๆคน)

การเปลี่ยนคำและเปลี่ยนการสอนก็มีผล
จากเดิมเรียกครู ต่อมาเรียกอาจารย์ ต่อมาเรียกผู้สอน คำว่าครูที่มาจากคำว่าคุรุ(Guru)จึงหายไป

และไหนจะเรื่องที่ผู้ปกครองรักเด็กมากเกินไป (พบวากครูแค่ดุ เอาเรื่องจนครูต้องลาออก)

และสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ว่าด้วยค่านิยม(เช่นทรงผม เครื่องแต่งกาย บลาๆๆๆๆ)ทำให้ความห่างมีมากขึ้น


ผมมองแนวคิดแบบคาร์ลมาร์กตามที่ผมเข้าใจ
ผมเชื่อครับ ว่าครู ในแรกเริ่มที่สอนมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นพ่อ-แม่คนที่2 แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะลดลงเรื่อยๆ จนหายไปเหลือ0

ถ้าเป็นกราฟความชัน Y=mx+c กราฟพุ่งลงแนวดิ่งแสดงว่าค่าm(ความชัน)มีค่าติดลบ.
แกนYคือความเป็นแม่ในครู ค่าXคือเวลาที่ผ่านไป(t-เวลาที่ใช้ไป) พบว่าตัวแปรที่ทำให้กราฟพุ่งลงนั่นคือ m(ความชัน-ตัวแปรต่างๆสภาพแวดล้อมสังคมค่านิยม)

ถ้าเขียนเป็นสมการ
Y แปรผันตรงกับ X (ค่าความเป็นแม่ในครูแปรผันตรงกับเวลา)
Y แปรผันตรงกับ m (ค่าความเป็นครูแปรมันตรงกับตัวแปรต่างๆ)

ผมเห็นด้วยครับเวลาเปลี่ยนไปทำให้ค่าความเป็นครูเปลี่ยนไป แต่ค่าความชัน(ค่านิยม ตัวเร้าภายนอก)ที่ทำให้กราฟลดลงผมว่ามีผลมากกว่าเวลาที่เปลี่ยนไป


------
กลับมาพลอตกราฟหลังจากลองคำนวน
กราฟเส้นตรงY=mx+c
Y=ค่าความเป็นแม่ในครู
m=ความชันในที่นี้คือตัวแปรจากค่านิยมภายนอก
x=เวลาที่ผ่านไป
c=ค่าคงที่หรือค่าเริ่มต้น ในที่นี้คือความรู้สึกของความเป็นแม่ในครูในเวลาเริ่มแรก

กรณีที่1Yคงที่ แสดงว่าmต้องเป็นo
Y=c
ความเป็นแม่จะคงที่ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกและค่านิยม

กรณีที่2 Yมีค่าเพิ่มขึ้น(เวลาผ่านไปค่าความเป็นแม่มากขึ้น) แสดงว่าm>0
เห็นว่าถ้าค่านิยมดีความเป็นย่อมมีมากขึ้น

กรณีที่3 Yมีค่าลดลง(เวลาผ่านไปค่าความเป็นครูลดลง) แสดงว่าM<0(ติดลบ)
ค่านิยมแย่มีผลทำใฟห้ค่าความเป็นครูลดลง
กรณี
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร พ.ย. 13, 2007 2:30 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส