ใครว่ายังไงมาช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันหน่อยครับ
อารัมภบท
ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องยากที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศจะถูกมองว่าบ้า เพราะเมื่อพูดถึงแนวคิดนี้ มันทำให้คนส่วนใหญ่นึกไปถึงภาพเอเลี่ยนในชุดนักบินที่นั่ง U.F.O. ร่อนไปร่อนมาทั่วโลกยุคโบราณ บางคนได้ยินแล้วก็แค่ส่ายหน้า แต่บางคนถึงขั้นพะอืดพะอมไปเลยก็มี เนื่องจากมันค้านกับสามัญสำนึกและความเชื่อในแบบเดิมๆ เพราะงั้นก็ไม่แปลกครับที่บางเค้าจะรับไม่ได้กับแนวคิดนี้
หัวเรี่ยวหัวแรงที่จุดประการให้ Ancient Astronaut Hypothesis ได้รับความสนใจจากมหาชนเห็นจะเป็นกระทาชายนาม อีริค ฟอน ดานิเก้น ครับ นักเขียนเจ้าของหนังสือเบสต์เซลเลอร์อันลือชื่อ Chariot of the Gods ซึ่งเนื้อหาหนังสือเป็นอย่างไรผมคงไม่อธิบายนะครับ เนื่องจากทราบกันดีอยู่
ในช่วงที่เขาพิมพ์หนังสือออกมานั้น มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นว่าไอเดียของดานิเก้นน่าสนใจและยอมรับมันได้ (หมายถึงเก็บมาคิดนะครับ ไม่ใช่ได้ยินได้อ่านแล้วก็เชื่อตามนั้นเลย) แต่ไม่ใช่สำหรับคนส่วนใหญ่แน่ๆล่ะ อีริค ฟอน ดานิเก้น ได้รับการต่อต้านจากมหาชนเนื่องจากไอเดียของเขานั้นหลุดโลกเกินไป หลายประเทศจับดานิเก้นขึ้นบัญชีดำและห้ามตีพิมพ์หนังสือของเขา ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ดานิเก้นได้รับอานิสงส์จากพระเจ้าจากอวกาศมิน้อย เขาได้รับเชิญให้ออกรายการทีวีตามประเทศต่างๆ ได้จัดรายการ ได้ทำนู่นทำนี่อีกมากมาย นักอ่านผู้แสวงหาของแปลกที่ลองหนังสือของเขาและชื่นชอบก็มีอยู่ไม่น้อย สำหรับตัวกระผมเองตอนที่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการนี้ใหม่ๆ หนังสือหนังหาที่พอจะเอามาอ้างอิงได้ ก็ล้วนมาจาก Source ที่ดานิเก้นเขียนไว้แทบทั้งนั้นครับ (ถ้าอยากเห็นหน้าตาของคุณพี่คนนี้ก็ในรูปเล็กนั่นนะครับ เขาล่ะ อีริค ฟอน ดานิเก้น)
ดานิเก้นทำให้โลกหันมาสนใจพระเจ้าจากอวกาศก็จริงครับ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นตัวทำลายความเชื่อถือเกี่ยวกับพระเจ้าอวกาศเสียเองด้วย นักวิชาการตลอดจนสื่อมากมายพากันรุมกระหน่ำโจมตีเขา สาเหตุนั้นก็เนื่องมาจากจุดอ่อนสองสามประการที่เขามีนั่นแหละครับ ทำให้น้ำหนักของทฤษฎีที่เขาเสนอนั้นตกกระป๋องไป
จุดอ่อนอย่างแรกของดานิเก้นนั้นได้แก่ การที่เขาเป็นเพียงมือสมัครเล่นครับ ไม่ได้มีดีกรีพ่วงท้ายพอที่จะทำให้วงการวิชาการเชื่อถือได้ แม้ว่าแนวคิดของพี่แกจะดูน่าสนใจ แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะเรียกร้องการเหลือบแลจากวงวิชาการ เนื่องจากความไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ทางวิชาการของดานิเก้นนั่นเอง อีกประการหนึ่ง แนวคิดเรื่องพระเจ้าผู้มาจากห้วงอวกาศอันแสนไกลนั้น ไม่ได้ถึงกับไม่มีผู้สนใจหรอกนะครับ แต่ดานิเก้นผู้ริเริ่มนั้น แกมีไสตล์การเขียนและตีความแบบค่อนข้างมั่ว คลุมเครือ และเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก แถมหลักฐานบางชิ้นที่เขาเที่ยวแบกโชว์สาธารณชนนั้นก็เป็นหลักฐานที่ฝรั่ง เรียกกันว่า fake หรือไม่อย่างนั้นมันก็มีน้ำหนักน้อยมาก เช่น การที่เขายืนยันหัวชนฝาว่าที่ราบ Nazca นั้นคือตัวสนามบินโบราณของเทพเจ้าจากต่างดาวของชาวอินคาในอเมริกาใต้ (ถ้าเป็นจุดสังเกตการล่ะพอรับได้ใช่ไหมครับ ถ้าเป็นตัวสนามบินล่ะก็ ยานอวกาศที่ร่อนลงจะจมผืนทรายอันแสนร่วนของบริเวณนั้นภายในเวลาไม่กี่นาทีน่ะซีครับ)
เพราะจุดอ่อนเหล่านี้ที่ดานิเก้น defend ไม่ได้นั่นแหละครับ ทำให้นักวิชาการที่พอจะสนใจงานเขียนของเขาพากันส่ายหน้าเพราะความเอือมระอา ถึงกระนั้นก็เหอะ Chariot of the Gods ก็ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์อยู่หลายปี และมีคนติดตามอ่านนับเป็นล้านๆคน(รวมทั้งตัวผมด้วย)แหละน่า
พระเจ้าของตะวันออกกลางโบราณ เห็นแล้วนึกถึงชุดนักบินอวกาศนะครับ
เรื่องของพระเจ้าอวกาศถูกถกเถียงกันอยู่อีกหลายปี เนื้อหาส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับอียิปต์และอเมริกาใต้ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ปราชญ์ผู้แตกฉานอักษรคิวนิฟอร์มของตะวันออกกลางนามว่า Zacharia Sitchin เริ่มเสนอแนวคิดพระเจ้าจากอวกาศในแบบฉบับของเขาบ้าง และโลเกชั่นของมันก็แหวกวงการออกไปมากเลยล่ะครับ จากที่เคยพูดถึงกันแต่อียิปต์ มหาปิระมิด อินคา มายา และอะไรแถบๆนั้น Sitchin ได้เจาะลึกเรื่องของอารยธรรมสุเมเรียนอันเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจากการศึกษาค้นคว้าในปัจจุบัน อารยธรรมแถบนั้นเป็นอารยธรรมที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งที่สุดกับพระเจ้าจากอวกาศเลยก็ว่าได้ครับ (เขาได้เปรียบดานิเก้นตรงที่ทั่วโลกยอมรับครับ ว่าเขาคือผู้แตกฉานอักษรคิวนิฟอร์มอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน แถมตัวเขาเองยังมีลูกศิษย์ลูกหาระดับเอ้อยู่มากมาย จึงเปิดตัวได้เกรียวกราวกว่าดานิเก้นผู้สร้างชื่อจากพื้นหลังที่เป็นเพียงนักเขียนโนเนมคนหนึ่งเท่านั้น)
Sitchin สร้างความฮือฮาให้กับวงการด้วยหนังสือในซีรี่ส์ 12th Planet ติดตามมาด้วย Alan F. Alford เจ้าของหนังสือ Gods of New Milenium (ซึ่งผมใช้เป็นเอกสารอ้างอิงหลักในบทความชิ้นนี้) และนักเขียนผู้ผันตัวมาจากนักบินอวกาศคนสำคัญขององค์การ NASA คือ Tom Van Flandern ก็เข้ามาร่วมสร้างความตรึกครื้นด้วยอีกคน
ครับ... Expertist เหล่านี้เองที่ทำให้วงการพระเจ้าจากอวกาศหวนกลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง หลังจากนั้น หลังสือและบทความต่างๆอีกจิปาถะก็ตามติดออกมาเป็นจำนวนมาก แนวทางในการนำเสนอก็เปลี่ยนไปด้วย จากแนวคิดแบบคลาสสิคที่เพียงแต่เสนอว่า ครั้งหนึ่งในโลกยุคโบราณ มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังโลกด้วยจุดประสงค์บางอย่าง พวกเขาพบมนุษย์โลกที่ยังด้อยพัฒนาคงความเป็นอนารยชนอยู่มาก ดังนั้นจึงถ่ายทอดศิลปวิทยาการบางส่วนให้ จนได้รับการยกย่องจากคนเหล่านั้นให้เป็นพระเจ้าไป ครับ... นั่นคือแนวคิดแบบคลาสสิค แต่สิ่งที่นักคิดเขียน นักเขียนรุ่นหลังจาก Zacharia Sitchin เป็นต้นมาได้เสนอเอาไว้มันโลดโผนกว่านั้น นั่นคือ พระเจ้าจากอวกาศเหล่านั้นไม่เพียงแต่บังเอิญเดินทางมายังโลกมนุษย์ ถ่ายทอดความรู้ และเสด็จจากไปน่ะซีครับ แต่พระเจ้าเหล่านั้นได้ลงมายังโลกด้วยความจงใจ แถมรังสรรค์มนุษย์สายพันธุ์ใหม่คือพวกเราโฮโมเซเปี้ยนด้วยกรรมวิธีทางพันธุวิศวกรรมเสียด้วยสิ ชักจะเลอะเทอะกันไปใหญ่ใช่ไหมล่ะครับ?
โอเคครับ... อย่าเพิ่งส่ายหน้ากันสิ ผมว่าไอเดียของพวกเขามีบางประเด็นที่น่ารับฟังอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา คือตัวมนุษย์เองนั้น ยังมีปริศนาที่ขบไม่แตกอยู่อีกมากว่า พวกเรานั้นมาจากไหน วิวัฒนาการหรือการรังสรรค์กันแน่...
นับจากย่อหน้านี้เป็นต้นไป กระผมขอเสนอแนวคิดหลุดโลกของนักเขียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอุทิศตนให้กับการค้นคว้าเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จนได้ข้อสรุปอย่างต้องตรงกันว่า มนุษยชาติมิได้วิวัฒนาการมาตามครรลองอย่างที่พวกเราเคยร่ำเรียนกัน หากแต่เกิดจากการรังสรรค์ของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีวิทยาการสูงส่งเพียงพอที่จะทำตนเยี่ยงพระเจ้าของมนุษย์ได้
เปิดประเด็น
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ผมขอสรุปและทำความเข้าใจเบื้องต้นกับสิ่งที่เพิ่งกล่าวมา เคยกล่าวมา(อย่างน้ำท่วมทุ่ม ^^) และกำลังจะกล่าวถึง ดังต่อไปนี้นะครับ
ทุกตำนานของชาติเก่าแก่ที่เจริญอย่างผิดยุค ล้วนมีมูลแห่งข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ปะปนอยู่ เพียงกาลเวลา กลวิธีในการถ่ายทอดเรื่องราว ทำให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หลายต่อหลายชิ้นกลายเป็นเทพนิยายไป
แหล่งอ้างอิงหลักของเรา คัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าและบันทึกของชาวอียิปต์ฏโบราณ กล่าวถึงพระเจ้าในลักษณะของพหูพจน์ มีเลือดเนื้อและวิญญาณ แตกต่างไปจากพระเจ้าทางจินตภาพที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน และจากเรื่องราวที่ตกทอดมา ดูเหมือนว่าพระเจ้าเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยีที่เทียบเท่าหรืออาจจะเจริญก้าวหน้ากว่ามนุษย์เราในยุคปัจจุบัน
ถ้าคุณเป็นสาวกดาร์วิน หรือเชื่อในเรื่องการเลือกสรรจากธรรมชาติ (Natural Selection) ขอให้เตะมันทิ้งไปก่อน หรือไม่ก็เลิกอ่านบทความต่อไปนี้เสียนะครับ เพราะเราจะยืนอยู่บนแนวคิดที่ว่า หลักการนี้ใช้ได้ในทางทฤษฎีเท่านั้น มันอาจใช้อธิบายเรื่องของวิวัฒนาการได้ดีในสัตว์ทุกๆตระกูลยกเว้นมนุษย์! ซึ่งปัจจัยสารพัดประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดๆไปครับ
คำว่า "พระเจ้า" ในบทความของผม หมายถึงตัวแทนแห่งเทคโนโลยีโบราณ นักท่องอวกาศผู้มีชีวิตและเลือดเนื้อ หาใช่พระเจ้าจริงๆไม่ พระเจ้าที่เรากำลังจะพูดถึงกันนี้มิได้พูดถึงในเชิงดูหมิ่น แต่ถกถึงความน่าจะเป็นในการที่สิ่งมีชีวิตจากห้วงอวกาศกลุ่มหนึ่ง ได้ทำตนเป็นพระผู้สร้าง(หรืออย่างน้อยก็ดัดแปลง)เผ่าพันธุ์มนุษย์เรา ตามคำที่มาจากไบเบิลครับ สร้างมนุษย์จาก "their own image"
เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ก็ได้เวลาโชว์ไทม์ละ มาดูจิ๊กซอที่ผมจะเอามาอวดซักชิ้นสองชิ้นกันดีกว่า อ่านด้วยสติ(สตังค์ไม่ต้อง)ซักนิด แล้วท่านจะเห็นเองว่า เมื่อนำจิ๊กซอหลายๆชิ้นเหล่านี้มาต่อเข้าด้วยกันแล้ว ภาพรวมที่สนับสนุนทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น มันเด่นชัดจนน่าเก็บไปคิดพอสมควรเลยทีเดียว
The Dangerous Ideas
ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1859 ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ตีพิมพ์หนังสือสะท้านโลกที่นำเสนอแนวคิดที่ว่า สิ่งมีชีวิตในโลกล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการโดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "การเลือกสรร/คัดสรรของธรรมชาติ" แนวคิดนี้มีรายละเอียดอย่างไรนายโซนิคคงไม่พูดถึงนะครับ (เพื่อเป็นการกันการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน) สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็เพียงแต่ ไอเดียของดาร์วินนั้นเป็นการตัดสินใจที่บ้าดีเดือดโดยแท้ ฝรั่งเค้าเรียก Dangerous Ideas ครับ เพราะทั้งท้าทายอำนาจของศาสนจักรรวมทั้งความเชื่อของมหาชนในสมัยนั้น ซึ่งเชื่อกันว่าจักรวาลนี้ โลก รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เกิดจากการสร้างของพระเจ้าตามบทเยเนซิสในไบเบิล
ชาร์ลส์ ดาร์วิน โชคดีกว่านักวิทยาศาสตร์หลายคน เพราะเขาอยู่รอดปลอดภัยมาได้โดยไม่โดนลากไปทำเสต็กเหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนๆ กาลเวลาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะเน้นให้ผู้คนเห็นชัดในภายหลังว่า ดาร์วินถูกส่วนไบเบิลนั้นผิด ทว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ดูเหมือนจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อนำมาอธิบายถึงกระบวนการวิวัฒน์ของสิ่งมีชีวิตผู้เป็นต้นคิดทฤษฎีนี้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่า... มนุษย์
อย่าว่าแต่คนอื่นเลยครับ แม้แต่ตัวดาร์วินเองก็ยังตระหนักถึงความแปลกประหลาดของวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติว่า มาถึงจุดปัจจุบันในสายพันธุ์ของโฮมินิดเดินสองขาที่เรียกกันว่าโฮโมเซเปี้ยนได้อย่างไร อัลเฟรด วอลเลซ หนึ่งในสาวกคนสำคัญของดาร์วินก็เช่นกันครับ หลังจากค้นคว้าวิจัยอย่างหนัก เขาประหลาดใจจนถึงกับต้องเขียนบันทึกออกมาอย่างสงกา
"มีพลังอันน่าอัศจรรย์ใจบางอย่างชี้นำวิวัฒนาการของมนุษยชาติอยู่"
แม้กระทั่งหลายร้อยปีต่อมา วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังหาอะไรมาค้านไม่ได้ว่าคำพูดของวอลเลซนั้นผิด วิวัฒนาการของพวกเรานั้นแปลกประหลาดดำมืด จนแม้กระทั่งแสงสว่างของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถให้ความกระจ่างแจ้งได้จริงๆนั่นแหละครับ
หรือมนุษยชาติคือผลพวงจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า ตามที่บทเยเนซิสกล่าวเอาไว้จริงๆ?
Dangerous Ideas ของจริงมันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าสมมุติว่าเราแทนที่พระเจ้าซึ่งเป็นอภินิหารเหนือธรรมชาติ ด้วยกรรมวิธีทางพันธุศาสตร์ของนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งล่ะ ไอเดียนี้ดูจะเพ้อฝันเกินไปหรือไม่?
มาตั้งโจทย์กันเล่นๆนะ ถ้าเราลองถามคนทั่วไปในยุคปัจจุบันว่า พวกเขาคิดว่ามนุษย์มีกำเนิดมาจากไหน แปดในสิบคนคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า "มาจากลิง" นั่นก็ไม่แปลกอะไร หากเรามองว่าพวกเขาตอบตามที่ได้ร่ำเรียนมาและเชื่อต่อๆกันมาอย่างนั้น ในลักษณะของกระบวนทัศน์รูปแบบหนึ่งซึ่งผมได้กล่าวถึงไปแล้วในเบื้องต้น โอเคครับ... ถ้ามนุษย์มาจากลิงก็ควรจะมีอะไรๆใกล้เคียงกับลิงจริงไหม? ลองมาดูผลการวิจัยของ เซอร์ อาร์เธอร์ คีธ ผู้ทำการศึกษาความต่างของสิ่งที่เรียกว่า genetic charcters ของสิ่งมีชีวิตประเภท primate ดูสิครับ ในงานวิจัยของเซอร์ คีธ ได้ให้ตัวเลขที่เป็นผลสรุปของความต่างออกมา
กอริลลา 75; ชิมแปนซี 109; อุรังอุตัง 113; ตัวกิ๊บบอน(gibbon) 116; ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ที่ 312
แหม... ห่างกันสามเท่าแน่ะ ช่างใกล้เคียงกันเหลือเกินนะครับเนี่ย ^^
แต่เนื่องจากเซอร์คีธได้ทำวิจัยเอาไว้ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ดังนั้นบางท่านจึงอาจหาว่าผมเอาข้อมูลเชยๆมาขาย งั้นลองมาดูผลงานวิจัยใหม่ๆใกล้ยุคของพวกเราก็ได้ครับ เอาเรื่องของ DNA นี่แหละ คงทราบกันดีว่ามนุษย์มีโครงสร้างของ DNA ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับลิงชิมแปนซี ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์นับให้มีความใกล้เคียงกันกับมนุษย์อยู่ 98% ห่างกันแค่ 2% ว่างั้นเถอะครับ ไอ้คำว่าสองเปอร์เซ็นต์นี่ดูไม่แตกต่างกันนักถ้ามองในเชิงของตัวเลข แต่ถ้ามองในภาพของสปีชี่ส์แล้วมันบอกความเป็นญาติได้ไม่มากนัก ยกตัวอย่างเช่น สุนัขบ้านกับสุนัขจิ้งจอก(โปรดนึกภาพสัตว์ทั้งสองประเภทตามนะครับ) DNA ของพวกมันก็มีความแตกต่างกันแค่ 2% เช่นเดียวกันครับ ดังนั้นสัตว์ที่ในตระกูลใกล้เคียงกันที่มี DNA ต่างกัน 2% จึงไม่ใช่เรื่องแปลกพอที่จะเอามากล่าวอ้างอะไรได้ว่า มันเป็นบรรพบุรุษหรือวิวัฒนาการกลายมาเป็นอีกแบบในภายหลัง
ที่สำคัญที่สุดคือ DNA นั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ถ้าเรามองในแง่ของมิติตัวเลขแค่ 2% นั้นก็โอเคล่ะครับ ว่ามนุษย์และชิมแปนซีแทบไม่มีความต่าง แต่ว่าไหมล่ะว่ามูลค่าใน 2% นั้นกลับทำให้ญาติทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่อย่างมากมาย ทั้งขนาดสมอง ภาษาพูด พฤติกรรมการกิน ลักษณะเด่นทางเพศ และอื่นๆอีกร้อยแปด ประการสำคัญที่สุดก็คือ มนุษย์(Homo sapiens) มีโครโมโซมอยู่ 46 เมื่อเทียบกับชิมแปนซีหรือกอริลลาที่มีถึง 48 การเลือกสรรโดยธรรมชาติชนิดไหนกันครับที่ก่อให้เกิดการผ่าเหล่าได้ขนาด
โอเคครับ... แนวคิดนี้อาจฟังดูเหลวไหลเลอะเทอะสำหรับหลายๆท่าน การสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยวิธีดัดแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์(?)อีกกลุ่มนั้นฟังดูแล้วมันเหลือเชื่อเกินไป อันนี้ผมอยากให้ท่านคิดย้อนเวลาไปข้างหลังซักประมาณ 5-60 ปีก่อนดู ในตอนนั้นพวกเราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ genetic เลย แล้วปัจจุบันล่ะครับ พวกเราก้าวหน้ากันไปขนาดไหนแล้ว ทราบกันไหมล่ะครับว่า หลายองค์กรใหญ่ๆมีอำนาจของ"พระเจ้า"ที่สามารถสร้างหรือดัดแปลงชีวิตอยู่ในมือกันเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ติดที่ศีลธรรมหรือกฏหมายองค์กรเหล่านั้นก็พร้อมเสมอที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดก็ได้ ตราบเท่าที่สภาวะแวดล้อมบนดาวดวงนั้นจะเอื้ออำนวย
บทความต่อจากนี้ไปก็เป็นเพียงอีกส่วนของซีรี่ส์มหายาวชุดนี้ ที่ผมอยากให้พวกๆท่านแลเห็นว่า มนุษยชาตินั้นแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นกำเนิดเลยทีเดียว
ความผิดพลาด(โดยไม่ตั้งใจ)ของ Darwinism
ในยุคที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่าด้วยการเลือกสรรของธรรมชาตินั้น มีกลไกของวิวัฒนาการบางอย่างที่ดาร์วินและคนอื่นไม่ล่วงรู้เลยจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1953 เมื่อ James Watson และ Francis Crick ค้นพบกลไกการทำงานของ DNA โมเลกุล และสิ่งที่เรียกกันว่าการสืบทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต Watson และ Crick คือผู้ที่วงการวิทยาศาสตร์ยกให้เป็นผู้ค้นพบโครงสร้างแบบเกลียวคู่ของ DNA โมเลกุล ซึ่งเป็นที่เก็บรหัสทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ ต้องขอบคุณทั้งสองท่านนี้แหละครับ ที่ทำให้ทุกวันนี้แม้แต่เด็กๆก็ยังบอกเราได้ว่ามนุษย์มีโครโมโซมกี่คู่ และในนั้นประกอบด้วยยีนส์ (genes) ที่ทำหน้าที่พื้นฐานอะไรบ้างเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เรายังรู้ไปมากกว่ายุคของดาร์วินว่า กฏของการสืบทอดทางพันธุกรรมทำงานอย่างไร การผสานระหว่างยีนส์ของตัวพ่อและตัวแม่ทำงานกันในลักษณะไหน
พันธุศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจและมองแนวคิดวิวัฒนาการของดาร์วินไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมขอสรุปให้ท่านฟังนะครับว่าแนวคิดอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับ "การเลือกสรรโดยธรรมชาติของดาร์วิน"นั้นขึ้นอยู่กับการเอาตัวรอดในธรรมชาติ พูดง่ายๆคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจำต้องปรับตัว เปลี่ยนพฤติกรรม จนกระทั่งถึง"กลายพันธุ์"เพื่อเอาตัวรอดจากสภาวะบีบคั้นจากธรรมชาติ เพื่อที่ตัวเองจะได้ดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปได้โดยไม่ดับดิ้นไปเสียก่อน (ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอดได้) ไคลแม็กซ์มันอยู่ตรงนี้เองขอรับท่าน...
มนุษย์ (Homo Sapiens) ได้กลายพันธุ์จากญาติพี่น้องของตนเองไปอย่างไม่เห็นฝุ่น กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนหาลำดับวิวัฒนาการไม่เจอ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? ภาวะวิกฤตชนิดไหนที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษและเครือญาติได้ขนาดนี้
ไม่รู้ว่ะ...
นี่คือคำตอบของผม (และอาจจะเป็นคำตอบในใจของนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่าน ที่แถลงออกมาอย่างสุภาพความหมายของคำตอบก็อยู่ประมาณนี้) แต่คำตอบคงออกมาไม่ต่างเหมือนกันถ้าคุณไปถามคนอื่นๆ เหตุที่คำตอบออกมาเช่นนี้ก็เพราะผลพวงของการวิวัฒน์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ดำรงชีวิตในช่วงเวลาอันสงบสุขมาแล้วนานมาก มันขัดแย้งในตัวเองที่จะบอกว่า สิ่งมีชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อเอาตัวรอด และขัดกับหลักฐานบางชิ้นที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบกันในช่วงหลังๆ Thomas Huxley นักชีววิทยาผู้โด่งดังได้กล่าวว่า
"ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละสปีชี่ส์กินเวลาอย่างน้อยพันล้านปีขึ้นไป ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆจะกินเวลาสิบถึงร้อยล้านปี ซึ่งกรณีของมนุษยชาติ มันแหกกฏเกณฑ์ดังกล่าวอย่างไม่แยแส ระยะเวลาที่ควรใช้ในการวิวัฒน์ผิดไปจากทฤษฎีราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว"
เรื่องราวเหล่านี้ผมเล่าไปแล้วหลายรอบ ใครที่ยังไม่เคยอ่านหรือลืมไปแล้วก็หาอ่านกันได้ครับ ณ บทนี้ผมอยากเน้นในข้อมูลส่วนที่ยังไม่เคยพูดถึงมาก่อนมากกว่า อาจจะวกไปเวียนมาหรือต้องทำความเข้าใจในสำนวนของผมสักนิด ตรงนี้ต้องขออภัยมากๆ เนื่องด้วยตัวเองก็เป็นแค่"มือสมัครเล่น"คนหนึ่ง ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวที่สนใจให้แก่คอเดียวกันฟังเท่านั้นเอง ผิดพลาดประการใดถ้าชี้แนะมา กระผมจะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
ทฤษฎีพระเจ้าจากห้วงอวกาศ
ความจริงก็คือ วิทยาศาสตรื เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังพบข้อโต้แย้งมากมายมหาศาลขึ้นทุกวัน หลังจากหลับหูหลับตาเอาไปสอนในโรงเรียนยังกับว่ามันเป็นข้อเท็จจริงทั้งที่มันเป็นแค่ทฤษฎีที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์
ก็เป้นความจริงอีกที่มีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเอง ยังยอมรับในจุดนี้ แล้วทีนี้ เขาก็มีทางออกแค่2อย่าง
1.ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะมีพระเจ้า
2.สร้างอะไรอย่างอื่นขึ้นมาเพื่อจะได้มีตัวเลือกใหม่แทนการเชื่อว่ามีพระเจ้า
แล้วมะนาวต่างดุ๊ดก็กลายเป็นคำตอบ
ก็เป้นความจริงอีกที่มีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเอง ยังยอมรับในจุดนี้ แล้วทีนี้ เขาก็มีทางออกแค่2อย่าง
1.ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะมีพระเจ้า
2.สร้างอะไรอย่างอื่นขึ้นมาเพื่อจะได้มีตัวเลือกใหม่แทนการเชื่อว่ามีพระเจ้า
แล้วมะนาวต่างดุ๊ดก็กลายเป็นคำตอบ
จากการที่ผมได้อ่านไบเบิ้ลมาไม่มากไม่น้อยนะครับ ผมสงสัยจริงๆกับข้อความประมาณว่า "หากวันใดที่เจ้าฉลาดขึ้น เจ้าจะรู้ความจริง" ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย และเกี่ยวกับยุคๆนึงที่พระเยซูจะเรียกว่าเป็นยุคแอนตี้ไครส์หรือยุคต่อต้านพระเจ้าคือยุคนี้แหละ ผมว่าอาจจะกล่าวถึงยุคแห่งเทคโนโลยีที่ยิ่งเทคโนโลยีก้าวไปไกลเท่าใด ความเชื่อเรื่องพระเจ้าก็จะลดน้อยลงไปด้วย (ความจริงอาจจะเปิดเผย) แบบนี้ล่ะมังครับ ??
ผมว่าประโยคนี้มากกว่าหรือเปล่าครับ
ยน 8:31
พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา
ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง
ท่านจะรู้ความจริง
และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ
---ความฉลาดของมนุษย์ไม่ได้ทำให้รู้ความจริงได้หมดเสมอไป เพราะไม่มีใครฉลาดเท่าพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่างไรเสีย ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทางเดียวคือ ต้องได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าเองเท่านั้น
ยน 8:31
พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา
ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง
ท่านจะรู้ความจริง
และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ
---ความฉลาดของมนุษย์ไม่ได้ทำให้รู้ความจริงได้หมดเสมอไป เพราะไม่มีใครฉลาดเท่าพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่างไรเสีย ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทางเดียวคือ ต้องได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าเองเท่านั้น
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ 
บสร 3:21-23พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ![]()
อย่าเเสวงหาความรู้ที่ยากเกินไปสำหรับท่าน
อย่าค้นคว้าสิ่งที่เกินกำลังท่าน
จงไตร่ตรองเเต่สิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย
ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเร้นลับต่างๆ
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกินปัญญาของท่าน
เพราะเรื่องที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็เกินปัญญามนุษย์อยู่เเล้ว
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
ไม่ว่า"มนุษย์"จะเก่งกาจ ฉลาดปราชญ์เปรื่อง อัฉริยะล้ำเลิศ ขนาดไหน แต่ในที่สุดสิ่งที่มนุษย์ต้องการและอยากได้มามากที่สุด ก็คือ "ความรัก" จากใครสักคนหนึ่ง ที่รักเราอย่างจริงใจ รักเสมอตลอดเวลาไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร
การประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่่ในชีวิต ก็ดูว่างเปล่าไป ถ้าขาดความรักในชีวิต
แล้วทำไม มนุษย์ ถึงชอบปฎิเสธ พระเจ้า ในเมื่อพระองค์ คือ องค์ความรัก
การประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่่ในชีวิต ก็ดูว่างเปล่าไป ถ้าขาดความรักในชีวิต
แล้วทำไม มนุษย์ ถึงชอบปฎิเสธ พระเจ้า ในเมื่อพระองค์ คือ องค์ความรัก
แก้ไขล่าสุดโดย กรอกสมบูรณ์ เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 2:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เห็นด้วยกับอันนี้นะ†Ecclēsia เขียน:บสร 3:21-23พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ![]()
อย่าเเสวงหาความรู้ที่ยากเกินไปสำหรับท่าน
อย่าค้นคว้าสิ่งที่เกินกำลังท่าน
จงไตร่ตรองเเต่สิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย
ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเร้นลับต่างๆ
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกินปัญญาของท่าน
เพราะเรื่องที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็เกินปัญญามนุษย์อยู่เเล้ว

แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 6:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
โดยส่วนตัว เคยสงสัยอยู่เสมอว่า พระเจ้าของเรานี่มีจริงมั๊ย เพราะเราถูกสอนมาตลอดว่ามีพระเป็นเจ้า และทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าก็คือสิ่งที่เราได้รับการสอนมาตั้งแต่เด็ก ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก สงสัยอยู่แต่ว่าพิสูจน์อะไรไม่ได้ สวดภาวนาทั้งที่ยังสงสัย แต่ที่สวดอยู่เสมอๆ เพราะได้รับการปลูกฝังมาให้สวด ก็สวดกันไป ขอโน่นขอนี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งๆที่รักแม่มารีย์มาก ทั้งยังได้รับสิ่งดีๆมากมายในชีวิตโดยการสวดภาวนาขอผ่านทางแม่มารีย์ ก็ยังขี้สงสัยไม่สิ้นสุด แต่ความสงสัยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรในชีวิต เป็นอะไรที่เอามาคิดเล่นๆเวลาเพลินๆ หรือมีอะไรมากระทบให้สงสัย
จนในวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 51 นี้เอง ได้สัมผัสถึงการมีอยู่และการดำรงอยู่ของพระบิดาเจ้า จึงได้แน่ใจอย่างชัดเจนว่ามีพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง
แต่ถึงกระนั้น ยิ่งทำให้เกิดการผจญล่อลวงขึ้นอีกอย่างมากมายในชีวิต มีข้อสงสัยขัดแย้งมากมายโผล่เข้ามาในความคิดว่าจริงหรือ? มีพระเป็นเ่จ้าจริงๆหรือ ถ้าไม่มี แล้วสิ่งที่เราได้สัมผัสนั้นหล่ะ คืออะไร ความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดำรงมาตั้งแต่อดีตกาล และเป็นความรักอันเดียวกับที่มอบให้กับชาวอิสราเอลนั้นหล่ะ มันจะยิ่งมีข้อขัดแย้งให้สงสัยในความคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราแน่ใจว่ามีพระเป็นเจ้า ก็จะมีความคิดขัดแย้งเข้ามากระทบให้สงสัยอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้คือการสวดภาวนา
ตั้งแต่เกิด ดิฉันได้รับการสอนและจดจำมา...ว่ามี...พระผู้เป็นเจ้า
แต่...ตั้งแต่วันที่ได้สัมผัสกับพระองค์ ดิฉันได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า พระองค์ทรงมีอยู่และดำรงอยู่จริงๆ และดิฉันกำลังเรียนรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิตของดิฉัน
มันไม่ใช่แค่...การเชื่อ...ว่า มีพระเป็นเจ้า แต่เป็นการรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิต
(เปรียบเทียบกับ"ลม" เรามองไม่เห็น"ลม" แต่เรารับรู้ได้ว่า มี"ลม"พัดผ่านเราอยู่)
ซึ่งทำให้เกิดแต่สันติสุขในชีวิตและจิตวิญญาณ มองโลกเปลี่ยนไป ใจเป็นสุขขึ้น
และเรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร พูดคุย กับพระองค์ ผ่านการสวดภาวนามากขึ้น...มากขึ้น
เดี๋ยวนี้ สวดภาวนาได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ...ใช้คำว่า สวดเก่งขึ้น คือมีสมาธิในการสวดมากขึ้น และเพิ่มเวลาในการสวดมากขึ้น โดยสวดภาวนาได้ในแต่ละช่วงของวันถี่ขึ้น ว่างเป็นไม่ได้ บทภาวนามันโผล่ขึ้นมาเองในสมองเลย
ฉะนั้น ไอ้..ทฤษฎีพระเจ้าจากห้วงอวกาศ..เนี่ย เคยคิดมาก่อนแล้ว คิดจนข้อสงสัยต่างๆตรงนี้มันหมดไปแล้ว
แบ่งปันด้วยความเชื่อสิ้นสุดจิตใจค่ะ
(สวดเยอะ ๆ นะคะ แล้วคุณจะได้รู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ถึงคำว่า "พระองค์ทรงยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้"และ"ทรงน่ารักยิ่งนัก")
จนในวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 51 นี้เอง ได้สัมผัสถึงการมีอยู่และการดำรงอยู่ของพระบิดาเจ้า จึงได้แน่ใจอย่างชัดเจนว่ามีพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง
แต่ถึงกระนั้น ยิ่งทำให้เกิดการผจญล่อลวงขึ้นอีกอย่างมากมายในชีวิต มีข้อสงสัยขัดแย้งมากมายโผล่เข้ามาในความคิดว่าจริงหรือ? มีพระเป็นเ่จ้าจริงๆหรือ ถ้าไม่มี แล้วสิ่งที่เราได้สัมผัสนั้นหล่ะ คืออะไร ความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดำรงมาตั้งแต่อดีตกาล และเป็นความรักอันเดียวกับที่มอบให้กับชาวอิสราเอลนั้นหล่ะ มันจะยิ่งมีข้อขัดแย้งให้สงสัยในความคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราแน่ใจว่ามีพระเป็นเจ้า ก็จะมีความคิดขัดแย้งเข้ามากระทบให้สงสัยอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้คือการสวดภาวนา
ตั้งแต่เกิด ดิฉันได้รับการสอนและจดจำมา...ว่ามี...พระผู้เป็นเจ้า
แต่...ตั้งแต่วันที่ได้สัมผัสกับพระองค์ ดิฉันได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า พระองค์ทรงมีอยู่และดำรงอยู่จริงๆ และดิฉันกำลังเรียนรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิตของดิฉัน
มันไม่ใช่แค่...การเชื่อ...ว่า มีพระเป็นเจ้า แต่เป็นการรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิต
(เปรียบเทียบกับ"ลม" เรามองไม่เห็น"ลม" แต่เรารับรู้ได้ว่า มี"ลม"พัดผ่านเราอยู่)
ซึ่งทำให้เกิดแต่สันติสุขในชีวิตและจิตวิญญาณ มองโลกเปลี่ยนไป ใจเป็นสุขขึ้น
และเรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร พูดคุย กับพระองค์ ผ่านการสวดภาวนามากขึ้น...มากขึ้น
เดี๋ยวนี้ สวดภาวนาได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ...ใช้คำว่า สวดเก่งขึ้น คือมีสมาธิในการสวดมากขึ้น และเพิ่มเวลาในการสวดมากขึ้น โดยสวดภาวนาได้ในแต่ละช่วงของวันถี่ขึ้น ว่างเป็นไม่ได้ บทภาวนามันโผล่ขึ้นมาเองในสมองเลย
ฉะนั้น ไอ้..ทฤษฎีพระเจ้าจากห้วงอวกาศ..เนี่ย เคยคิดมาก่อนแล้ว คิดจนข้อสงสัยต่างๆตรงนี้มันหมดไปแล้ว
แบ่งปันด้วยความเชื่อสิ้นสุดจิตใจค่ะ
(สวดเยอะ ๆ นะคะ แล้วคุณจะได้รู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ถึงคำว่า "พระองค์ทรงยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้"และ"ทรงน่ารักยิ่งนัก")
แก้ไขล่าสุดโดย กรอกสมบูรณ์ เมื่อ เสาร์ ธ.ค. 06, 2008 10:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.