ทฤษฎีพระเจ้าจากห้วงอวกาศ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
fernezzo
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:10 pm

อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:23 pm

ใครว่ายังไงมาช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันหน่อยครับ



อารัมภบท

ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องยากที่สาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศจะถูกมองว่าบ้า เพราะเมื่อพูดถึงแนวคิดนี้ มันทำให้คนส่วนใหญ่นึกไปถึงภาพเอเลี่ยนในชุดนักบินที่นั่ง U.F.O. ร่อนไปร่อนมาทั่วโลกยุคโบราณ บางคนได้ยินแล้วก็แค่ส่ายหน้า แต่บางคนถึงขั้นพะอืดพะอมไปเลยก็มี เนื่องจากมันค้านกับสามัญสำนึกและความเชื่อในแบบเดิมๆ เพราะงั้นก็ไม่แปลกครับที่บางเค้าจะรับไม่ได้กับแนวคิดนี้

หัวเรี่ยวหัวแรงที่จุดประการให้ Ancient Astronaut Hypothesis ได้รับความสนใจจากมหาชนเห็นจะเป็นกระทาชายนาม อีริค ฟอน ดานิเก้น ครับ นักเขียนเจ้าของหนังสือเบสต์เซลเลอร์อันลือชื่อ Chariot of the Gods ซึ่งเนื้อหาหนังสือเป็นอย่างไรผมคงไม่อธิบายนะครับ เนื่องจากทราบกันดีอยู่



ในช่วงที่เขาพิมพ์หนังสือออกมานั้น มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นว่าไอเดียของดานิเก้นน่าสนใจและยอมรับมันได้ (หมายถึงเก็บมาคิดนะครับ ไม่ใช่ได้ยินได้อ่านแล้วก็เชื่อตามนั้นเลย) แต่ไม่ใช่สำหรับคนส่วนใหญ่แน่ๆล่ะ อีริค ฟอน ดานิเก้น ได้รับการต่อต้านจากมหาชนเนื่องจากไอเดียของเขานั้นหลุดโลกเกินไป หลายประเทศจับดานิเก้นขึ้นบัญชีดำและห้ามตีพิมพ์หนังสือของเขา ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ดานิเก้นได้รับอานิสงส์จากพระเจ้าจากอวกาศมิน้อย เขาได้รับเชิญให้ออกรายการทีวีตามประเทศต่างๆ ได้จัดรายการ ได้ทำนู่นทำนี่อีกมากมาย นักอ่านผู้แสวงหาของแปลกที่ลองหนังสือของเขาและชื่นชอบก็มีอยู่ไม่น้อย สำหรับตัวกระผมเองตอนที่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการนี้ใหม่ๆ หนังสือหนังหาที่พอจะเอามาอ้างอิงได้ ก็ล้วนมาจาก Source ที่ดานิเก้นเขียนไว้แทบทั้งนั้นครับ (ถ้าอยากเห็นหน้าตาของคุณพี่คนนี้ก็ในรูปเล็กนั่นนะครับ เขาล่ะ อีริค ฟอน ดานิเก้น)

ดานิเก้นทำให้โลกหันมาสนใจพระเจ้าจากอวกาศก็จริงครับ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นตัวทำลายความเชื่อถือเกี่ยวกับพระเจ้าอวกาศเสียเองด้วย นักวิชาการตลอดจนสื่อมากมายพากันรุมกระหน่ำโจมตีเขา สาเหตุนั้นก็เนื่องมาจากจุดอ่อนสองสามประการที่เขามีนั่นแหละครับ ทำให้น้ำหนักของทฤษฎีที่เขาเสนอนั้นตกกระป๋องไป

จุดอ่อนอย่างแรกของดานิเก้นนั้นได้แก่ การที่เขาเป็นเพียงมือสมัครเล่นครับ ไม่ได้มีดีกรีพ่วงท้ายพอที่จะทำให้วงการวิชาการเชื่อถือได้ แม้ว่าแนวคิดของพี่แกจะดูน่าสนใจ แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะเรียกร้องการเหลือบแลจากวงวิชาการ เนื่องจากความไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ทางวิชาการของดานิเก้นนั่นเอง อีกประการหนึ่ง แนวคิดเรื่องพระเจ้าผู้มาจากห้วงอวกาศอันแสนไกลนั้น ไม่ได้ถึงกับไม่มีผู้สนใจหรอกนะครับ แต่ดานิเก้นผู้ริเริ่มนั้น แกมีไสตล์การเขียนและตีความแบบค่อนข้างมั่ว คลุมเครือ และเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก แถมหลักฐานบางชิ้นที่เขาเที่ยวแบกโชว์สาธารณชนนั้นก็เป็นหลักฐานที่ฝรั่ง เรียกกันว่า fake หรือไม่อย่างนั้นมันก็มีน้ำหนักน้อยมาก เช่น การที่เขายืนยันหัวชนฝาว่าที่ราบ Nazca นั้นคือตัวสนามบินโบราณของเทพเจ้าจากต่างดาวของชาวอินคาในอเมริกาใต้ (ถ้าเป็นจุดสังเกตการล่ะพอรับได้ใช่ไหมครับ ถ้าเป็นตัวสนามบินล่ะก็ ยานอวกาศที่ร่อนลงจะจมผืนทรายอันแสนร่วนของบริเวณนั้นภายในเวลาไม่กี่นาทีน่ะซีครับ)

เพราะจุดอ่อนเหล่านี้ที่ดานิเก้น defend ไม่ได้นั่นแหละครับ ทำให้นักวิชาการที่พอจะสนใจงานเขียนของเขาพากันส่ายหน้าเพราะความเอือมระอา ถึงกระนั้นก็เหอะ Chariot of the Gods ก็ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์อยู่หลายปี และมีคนติดตามอ่านนับเป็นล้านๆคน(รวมทั้งตัวผมด้วย)แหละน่า



พระเจ้าของตะวันออกกลางโบราณ เห็นแล้วนึกถึงชุดนักบินอวกาศนะครับ

เรื่องของพระเจ้าอวกาศถูกถกเถียงกันอยู่อีกหลายปี เนื้อหาส่วนใหญ่วนเวียนอยู่กับอียิปต์และอเมริกาใต้ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ปราชญ์ผู้แตกฉานอักษรคิวนิฟอร์มของตะวันออกกลางนามว่า Zacharia Sitchin เริ่มเสนอแนวคิดพระเจ้าจากอวกาศในแบบฉบับของเขาบ้าง และโลเกชั่นของมันก็แหวกวงการออกไปมากเลยล่ะครับ จากที่เคยพูดถึงกันแต่อียิปต์ มหาปิระมิด อินคา มายา และอะไรแถบๆนั้น Sitchin ได้เจาะลึกเรื่องของอารยธรรมสุเมเรียนอันเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และจากการศึกษาค้นคว้าในปัจจุบัน อารยธรรมแถบนั้นเป็นอารยธรรมที่เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งที่สุดกับพระเจ้าจากอวกาศเลยก็ว่าได้ครับ (เขาได้เปรียบดานิเก้นตรงที่ทั่วโลกยอมรับครับ ว่าเขาคือผู้แตกฉานอักษรคิวนิฟอร์มอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน แถมตัวเขาเองยังมีลูกศิษย์ลูกหาระดับเอ้อยู่มากมาย จึงเปิดตัวได้เกรียวกราวกว่าดานิเก้นผู้สร้างชื่อจากพื้นหลังที่เป็นเพียงนักเขียนโนเนมคนหนึ่งเท่านั้น)

Sitchin สร้างความฮือฮาให้กับวงการด้วยหนังสือในซีรี่ส์ 12th Planet ติดตามมาด้วย Alan F. Alford เจ้าของหนังสือ Gods of New Milenium (ซึ่งผมใช้เป็นเอกสารอ้างอิงหลักในบทความชิ้นนี้) และนักเขียนผู้ผันตัวมาจากนักบินอวกาศคนสำคัญขององค์การ NASA คือ Tom Van Flandern ก็เข้ามาร่วมสร้างความตรึกครื้นด้วยอีกคน

ครับ... Expertist เหล่านี้เองที่ทำให้วงการพระเจ้าจากอวกาศหวนกลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง หลังจากนั้น หลังสือและบทความต่างๆอีกจิปาถะก็ตามติดออกมาเป็นจำนวนมาก แนวทางในการนำเสนอก็เปลี่ยนไปด้วย จากแนวคิดแบบคลาสสิคที่เพียงแต่เสนอว่า ครั้งหนึ่งในโลกยุคโบราณ มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังโลกด้วยจุดประสงค์บางอย่าง พวกเขาพบมนุษย์โลกที่ยังด้อยพัฒนาคงความเป็นอนารยชนอยู่มาก ดังนั้นจึงถ่ายทอดศิลปวิทยาการบางส่วนให้ จนได้รับการยกย่องจากคนเหล่านั้นให้เป็นพระเจ้าไป ครับ... นั่นคือแนวคิดแบบคลาสสิค แต่สิ่งที่นักคิดเขียน นักเขียนรุ่นหลังจาก Zacharia Sitchin เป็นต้นมาได้เสนอเอาไว้มันโลดโผนกว่านั้น นั่นคือ พระเจ้าจากอวกาศเหล่านั้นไม่เพียงแต่บังเอิญเดินทางมายังโลกมนุษย์ ถ่ายทอดความรู้ และเสด็จจากไปน่ะซีครับ แต่พระเจ้าเหล่านั้นได้ลงมายังโลกด้วยความจงใจ แถมรังสรรค์มนุษย์สายพันธุ์ใหม่คือพวกเราโฮโมเซเปี้ยนด้วยกรรมวิธีทางพันธุวิศวกรรมเสียด้วยสิ ชักจะเลอะเทอะกันไปใหญ่ใช่ไหมล่ะครับ?

โอเคครับ... อย่าเพิ่งส่ายหน้ากันสิ ผมว่าไอเดียของพวกเขามีบางประเด็นที่น่ารับฟังอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา คือตัวมนุษย์เองนั้น ยังมีปริศนาที่ขบไม่แตกอยู่อีกมากว่า พวกเรานั้นมาจากไหน วิวัฒนาการหรือการรังสรรค์กันแน่...

นับจากย่อหน้านี้เป็นต้นไป กระผมขอเสนอแนวคิดหลุดโลกของนักเขียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอุทิศตนให้กับการค้นคว้าเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จนได้ข้อสรุปอย่างต้องตรงกันว่า มนุษยชาติมิได้วิวัฒนาการมาตามครรลองอย่างที่พวกเราเคยร่ำเรียนกัน หากแต่เกิดจากการรังสรรค์ของสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีวิทยาการสูงส่งเพียงพอที่จะทำตนเยี่ยงพระเจ้าของมนุษย์ได้

เปิดประเด็น


ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา ผมขอสรุปและทำความเข้าใจเบื้องต้นกับสิ่งที่เพิ่งกล่าวมา เคยกล่าวมา(อย่างน้ำท่วมทุ่ม ^^) และกำลังจะกล่าวถึง ดังต่อไปนี้นะครับ
ทุกตำนานของชาติเก่าแก่ที่เจริญอย่างผิดยุค ล้วนมีมูลแห่งข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ปะปนอยู่ เพียงกาลเวลา กลวิธีในการถ่ายทอดเรื่องราว ทำให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หลายต่อหลายชิ้นกลายเป็นเทพนิยายไป
แหล่งอ้างอิงหลักของเรา คัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าและบันทึกของชาวอียิปต์ฏโบราณ กล่าวถึงพระเจ้าในลักษณะของพหูพจน์ มีเลือดเนื้อและวิญญาณ แตกต่างไปจากพระเจ้าทางจินตภาพที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน และจากเรื่องราวที่ตกทอดมา ดูเหมือนว่าพระเจ้าเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยีที่เทียบเท่าหรืออาจจะเจริญก้าวหน้ากว่ามนุษย์เราในยุคปัจจุบัน
ถ้าคุณเป็นสาวกดาร์วิน หรือเชื่อในเรื่องการเลือกสรรจากธรรมชาติ (Natural Selection) ขอให้เตะมันทิ้งไปก่อน หรือไม่ก็เลิกอ่านบทความต่อไปนี้เสียนะครับ เพราะเราจะยืนอยู่บนแนวคิดที่ว่า หลักการนี้ใช้ได้ในทางทฤษฎีเท่านั้น มันอาจใช้อธิบายเรื่องของวิวัฒนาการได้ดีในสัตว์ทุกๆตระกูลยกเว้นมนุษย์! ซึ่งปัจจัยสารพัดประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดๆไปครับ
คำว่า "พระเจ้า" ในบทความของผม หมายถึงตัวแทนแห่งเทคโนโลยีโบราณ นักท่องอวกาศผู้มีชีวิตและเลือดเนื้อ หาใช่พระเจ้าจริงๆไม่ พระเจ้าที่เรากำลังจะพูดถึงกันนี้มิได้พูดถึงในเชิงดูหมิ่น แต่ถกถึงความน่าจะเป็นในการที่สิ่งมีชีวิตจากห้วงอวกาศกลุ่มหนึ่ง ได้ทำตนเป็นพระผู้สร้าง(หรืออย่างน้อยก็ดัดแปลง)เผ่าพันธุ์มนุษย์เรา ตามคำที่มาจากไบเบิลครับ สร้างมนุษย์จาก "their own image"
เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ก็ได้เวลาโชว์ไทม์ละ มาดูจิ๊กซอที่ผมจะเอามาอวดซักชิ้นสองชิ้นกันดีกว่า อ่านด้วยสติ(สตังค์ไม่ต้อง)ซักนิด แล้วท่านจะเห็นเองว่า เมื่อนำจิ๊กซอหลายๆชิ้นเหล่านี้มาต่อเข้าด้วยกันแล้ว ภาพรวมที่สนับสนุนทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น มันเด่นชัดจนน่าเก็บไปคิดพอสมควรเลยทีเดียว

The Dangerous Ideas

ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1859 ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ตีพิมพ์หนังสือสะท้านโลกที่นำเสนอแนวคิดที่ว่า สิ่งมีชีวิตในโลกล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการโดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "การเลือกสรร/คัดสรรของธรรมชาติ" แนวคิดนี้มีรายละเอียดอย่างไรนายโซนิคคงไม่พูดถึงนะครับ (เพื่อเป็นการกันการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน) สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็เพียงแต่ ไอเดียของดาร์วินนั้นเป็นการตัดสินใจที่บ้าดีเดือดโดยแท้ ฝรั่งเค้าเรียก Dangerous Ideas ครับ เพราะทั้งท้าทายอำนาจของศาสนจักรรวมทั้งความเชื่อของมหาชนในสมัยนั้น ซึ่งเชื่อกันว่าจักรวาลนี้ โลก รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เกิดจากการสร้างของพระเจ้าตามบทเยเนซิสในไบเบิล

ชาร์ลส์ ดาร์วิน โชคดีกว่านักวิทยาศาสตร์หลายคน เพราะเขาอยู่รอดปลอดภัยมาได้โดยไม่โดนลากไปทำเสต็กเหมือนนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนๆ กาลเวลาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะเน้นให้ผู้คนเห็นชัดในภายหลังว่า ดาร์วินถูกส่วนไบเบิลนั้นผิด ทว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ดูเหมือนจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อนำมาอธิบายถึงกระบวนการวิวัฒน์ของสิ่งมีชีวิตผู้เป็นต้นคิดทฤษฎีนี้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่า... มนุษย์

อย่าว่าแต่คนอื่นเลยครับ แม้แต่ตัวดาร์วินเองก็ยังตระหนักถึงความแปลกประหลาดของวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติว่า มาถึงจุดปัจจุบันในสายพันธุ์ของโฮมินิดเดินสองขาที่เรียกกันว่าโฮโมเซเปี้ยนได้อย่างไร อัลเฟรด วอลเลซ หนึ่งในสาวกคนสำคัญของดาร์วินก็เช่นกันครับ หลังจากค้นคว้าวิจัยอย่างหนัก เขาประหลาดใจจนถึงกับต้องเขียนบันทึกออกมาอย่างสงกา

"มีพลังอันน่าอัศจรรย์ใจบางอย่างชี้นำวิวัฒนาการของมนุษยชาติอยู่"

แม้กระทั่งหลายร้อยปีต่อมา วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังหาอะไรมาค้านไม่ได้ว่าคำพูดของวอลเลซนั้นผิด วิวัฒนาการของพวกเรานั้นแปลกประหลาดดำมืด จนแม้กระทั่งแสงสว่างของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถให้ความกระจ่างแจ้งได้จริงๆนั่นแหละครับ

หรือมนุษยชาติคือผลพวงจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า ตามที่บทเยเนซิสกล่าวเอาไว้จริงๆ?

Dangerous Ideas ของจริงมันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าสมมุติว่าเราแทนที่พระเจ้าซึ่งเป็นอภินิหารเหนือธรรมชาติ ด้วยกรรมวิธีทางพันธุศาสตร์ของนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งล่ะ ไอเดียนี้ดูจะเพ้อฝันเกินไปหรือไม่?

มาตั้งโจทย์กันเล่นๆนะ ถ้าเราลองถามคนทั่วไปในยุคปัจจุบันว่า พวกเขาคิดว่ามนุษย์มีกำเนิดมาจากไหน แปดในสิบคนคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า "มาจากลิง" นั่นก็ไม่แปลกอะไร หากเรามองว่าพวกเขาตอบตามที่ได้ร่ำเรียนมาและเชื่อต่อๆกันมาอย่างนั้น ในลักษณะของกระบวนทัศน์รูปแบบหนึ่งซึ่งผมได้กล่าวถึงไปแล้วในเบื้องต้น โอเคครับ... ถ้ามนุษย์มาจากลิงก็ควรจะมีอะไรๆใกล้เคียงกับลิงจริงไหม? ลองมาดูผลการวิจัยของ เซอร์ อาร์เธอร์ คีธ ผู้ทำการศึกษาความต่างของสิ่งที่เรียกว่า genetic charcters ของสิ่งมีชีวิตประเภท primate ดูสิครับ ในงานวิจัยของเซอร์ คีธ ได้ให้ตัวเลขที่เป็นผลสรุปของความต่างออกมา

กอริลลา 75; ชิมแปนซี 109; อุรังอุตัง 113; ตัวกิ๊บบอน(gibbon) 116; ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ที่ 312

แหม... ห่างกันสามเท่าแน่ะ ช่างใกล้เคียงกันเหลือเกินนะครับเนี่ย ^^

แต่เนื่องจากเซอร์คีธได้ทำวิจัยเอาไว้ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ดังนั้นบางท่านจึงอาจหาว่าผมเอาข้อมูลเชยๆมาขาย งั้นลองมาดูผลงานวิจัยใหม่ๆใกล้ยุคของพวกเราก็ได้ครับ เอาเรื่องของ DNA นี่แหละ คงทราบกันดีว่ามนุษย์มีโครงสร้างของ DNA ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับลิงชิมแปนซี ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์นับให้มีความใกล้เคียงกันกับมนุษย์อยู่ 98% ห่างกันแค่ 2% ว่างั้นเถอะครับ ไอ้คำว่าสองเปอร์เซ็นต์นี่ดูไม่แตกต่างกันนักถ้ามองในเชิงของตัวเลข แต่ถ้ามองในภาพของสปีชี่ส์แล้วมันบอกความเป็นญาติได้ไม่มากนัก ยกตัวอย่างเช่น สุนัขบ้านกับสุนัขจิ้งจอก(โปรดนึกภาพสัตว์ทั้งสองประเภทตามนะครับ) DNA ของพวกมันก็มีความแตกต่างกันแค่ 2% เช่นเดียวกันครับ ดังนั้นสัตว์ที่ในตระกูลใกล้เคียงกันที่มี DNA ต่างกัน 2% จึงไม่ใช่เรื่องแปลกพอที่จะเอามากล่าวอ้างอะไรได้ว่า มันเป็นบรรพบุรุษหรือวิวัฒนาการกลายมาเป็นอีกแบบในภายหลัง

ที่สำคัญที่สุดคือ DNA นั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ถ้าเรามองในแง่ของมิติตัวเลขแค่ 2% นั้นก็โอเคล่ะครับ ว่ามนุษย์และชิมแปนซีแทบไม่มีความต่าง แต่ว่าไหมล่ะว่ามูลค่าใน 2% นั้นกลับทำให้ญาติทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่อย่างมากมาย ทั้งขนาดสมอง ภาษาพูด พฤติกรรมการกิน ลักษณะเด่นทางเพศ และอื่นๆอีกร้อยแปด ประการสำคัญที่สุดก็คือ มนุษย์(Homo sapiens) มีโครโมโซมอยู่ 46 เมื่อเทียบกับชิมแปนซีหรือกอริลลาที่มีถึง 48 การเลือกสรรโดยธรรมชาติชนิดไหนกันครับที่ก่อให้เกิดการผ่าเหล่าได้ขนาด

โอเคครับ... แนวคิดนี้อาจฟังดูเหลวไหลเลอะเทอะสำหรับหลายๆท่าน การสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยวิธีดัดแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์(?)อีกกลุ่มนั้นฟังดูแล้วมันเหลือเชื่อเกินไป อันนี้ผมอยากให้ท่านคิดย้อนเวลาไปข้างหลังซักประมาณ 5-60 ปีก่อนดู ในตอนนั้นพวกเราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ genetic เลย แล้วปัจจุบันล่ะครับ พวกเราก้าวหน้ากันไปขนาดไหนแล้ว ทราบกันไหมล่ะครับว่า หลายองค์กรใหญ่ๆมีอำนาจของ"พระเจ้า"ที่สามารถสร้างหรือดัดแปลงชีวิตอยู่ในมือกันเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ติดที่ศีลธรรมหรือกฏหมายองค์กรเหล่านั้นก็พร้อมเสมอที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดก็ได้ ตราบเท่าที่สภาวะแวดล้อมบนดาวดวงนั้นจะเอื้ออำนวย

บทความต่อจากนี้ไปก็เป็นเพียงอีกส่วนของซีรี่ส์มหายาวชุดนี้ ที่ผมอยากให้พวกๆท่านแลเห็นว่า มนุษยชาตินั้นแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นกำเนิดเลยทีเดียว



ความผิดพลาด(โดยไม่ตั้งใจ)ของ Darwinism

ในยุคที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน นำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการที่ว่าด้วยการเลือกสรรของธรรมชาตินั้น มีกลไกของวิวัฒนาการบางอย่างที่ดาร์วินและคนอื่นไม่ล่วงรู้เลยจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1953 เมื่อ James Watson และ Francis Crick ค้นพบกลไกการทำงานของ DNA โมเลกุล และสิ่งที่เรียกกันว่าการสืบทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต Watson และ Crick คือผู้ที่วงการวิทยาศาสตร์ยกให้เป็นผู้ค้นพบโครงสร้างแบบเกลียวคู่ของ DNA โมเลกุล ซึ่งเป็นที่เก็บรหัสทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ ต้องขอบคุณทั้งสองท่านนี้แหละครับ ที่ทำให้ทุกวันนี้แม้แต่เด็กๆก็ยังบอกเราได้ว่ามนุษย์มีโครโมโซมกี่คู่ และในนั้นประกอบด้วยยีนส์ (genes) ที่ทำหน้าที่พื้นฐานอะไรบ้างเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เรายังรู้ไปมากกว่ายุคของดาร์วินว่า กฏของการสืบทอดทางพันธุกรรมทำงานอย่างไร การผสานระหว่างยีนส์ของตัวพ่อและตัวแม่ทำงานกันในลักษณะไหน

พันธุศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจและมองแนวคิดวิวัฒนาการของดาร์วินไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมขอสรุปให้ท่านฟังนะครับว่าแนวคิดอย่างคร่าวๆเกี่ยวกับ "การเลือกสรรโดยธรรมชาติของดาร์วิน"นั้นขึ้นอยู่กับการเอาตัวรอดในธรรมชาติ พูดง่ายๆคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจำต้องปรับตัว เปลี่ยนพฤติกรรม จนกระทั่งถึง"กลายพันธุ์"เพื่อเอาตัวรอดจากสภาวะบีบคั้นจากธรรมชาติ เพื่อที่ตัวเองจะได้ดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปได้โดยไม่ดับดิ้นไปเสียก่อน (ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถอยู่รอดได้) ไคลแม็กซ์มันอยู่ตรงนี้เองขอรับท่าน...

มนุษย์ (Homo Sapiens) ได้กลายพันธุ์จากญาติพี่น้องของตนเองไปอย่างไม่เห็นฝุ่น กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนหาลำดับวิวัฒนาการไม่เจอ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? ภาวะวิกฤตชนิดไหนที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษและเครือญาติได้ขนาดนี้

ไม่รู้ว่ะ...

นี่คือคำตอบของผม (และอาจจะเป็นคำตอบในใจของนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่าน ที่แถลงออกมาอย่างสุภาพความหมายของคำตอบก็อยู่ประมาณนี้) แต่คำตอบคงออกมาไม่ต่างเหมือนกันถ้าคุณไปถามคนอื่นๆ เหตุที่คำตอบออกมาเช่นนี้ก็เพราะผลพวงของการวิวัฒน์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ดำรงชีวิตในช่วงเวลาอันสงบสุขมาแล้วนานมาก มันขัดแย้งในตัวเองที่จะบอกว่า สิ่งมีชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อเอาตัวรอด และขัดกับหลักฐานบางชิ้นที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบกันในช่วงหลังๆ Thomas Huxley นักชีววิทยาผู้โด่งดังได้กล่าวว่า

"ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละสปีชี่ส์กินเวลาอย่างน้อยพันล้านปีขึ้นไป ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆจะกินเวลาสิบถึงร้อยล้านปี ซึ่งกรณีของมนุษยชาติ มันแหกกฏเกณฑ์ดังกล่าวอย่างไม่แยแส ระยะเวลาที่ควรใช้ในการวิวัฒน์ผิดไปจากทฤษฎีราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว"

เรื่องราวเหล่านี้ผมเล่าไปแล้วหลายรอบ ใครที่ยังไม่เคยอ่านหรือลืมไปแล้วก็หาอ่านกันได้ครับ ณ บทนี้ผมอยากเน้นในข้อมูลส่วนที่ยังไม่เคยพูดถึงมาก่อนมากกว่า อาจจะวกไปเวียนมาหรือต้องทำความเข้าใจในสำนวนของผมสักนิด ตรงนี้ต้องขออภัยมากๆ เนื่องด้วยตัวเองก็เป็นแค่"มือสมัครเล่น"คนหนึ่ง ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวที่สนใจให้แก่คอเดียวกันฟังเท่านั้นเอง ผิดพลาดประการใดถ้าชี้แนะมา กระผมจะถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ
fernezzo
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:10 pm

อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:26 pm

ปล. ผมก็คริสเตียนคนนึงนะครับ เป็นสายโปรเตสแตนท์ ผมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นมีจริงหลายครั้งผมสัมผัสได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังสนใจที่จะสืบค้นความจริงในข้อนี้เช่นกัน...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ พ.ย. 19, 2008 11:24 am

ความจริงก็คือ วิทยาศาสตรื เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังพบข้อโต้แย้งมากมายมหาศาลขึ้นทุกวัน หลังจากหลับหูหลับตาเอาไปสอนในโรงเรียนยังกับว่ามันเป็นข้อเท็จจริงทั้งที่มันเป็นแค่ทฤษฎีที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์

ก็เป้นความจริงอีกที่มีคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเอง ยังยอมรับในจุดนี้ แล้วทีนี้ เขาก็มีทางออกแค่2อย่าง
1.ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะมีพระเจ้า
2.สร้างอะไรอย่างอื่นขึ้นมาเพื่อจะได้มีตัวเลือกใหม่แทนการเชื่อว่ามีพระเจ้า

แล้วมะนาวต่างดุ๊ดก็กลายเป็นคำตอบ
fernezzo
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:10 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 5:06 am

จากการที่ผมได้อ่านไบเบิ้ลมาไม่มากไม่น้อยนะครับ ผมสงสัยจริงๆกับข้อความประมาณว่า "หากวันใดที่เจ้าฉลาดขึ้น เจ้าจะรู้ความจริง" ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย และเกี่ยวกับยุคๆนึงที่พระเยซูจะเรียกว่าเป็นยุคแอนตี้ไครส์หรือยุคต่อต้านพระเจ้าคือยุคนี้แหละ ผมว่าอาจจะกล่าวถึงยุคแห่งเทคโนโลยีที่ยิ่งเทคโนโลยีก้าวไปไกลเท่าใด ความเชื่อเรื่องพระเจ้าก็จะลดน้อยลงไปด้วย (ความจริงอาจจะเปิดเผย) แบบนี้ล่ะมังครับ ??
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 11:07 am

ผมว่าประโยคนี้มากกว่าหรือเปล่าครับ

ยน 8:31
พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา
ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง
ท่านจะรู้ความจริง
และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ


---ความฉลาดของมนุษย์ไม่ได้ทำให้รู้ความจริงได้หมดเสมอไป เพราะไม่มีใครฉลาดเท่าพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่างไรเสีย ถ้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทางเดียวคือ ต้องได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าเองเท่านั้น
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 12:57 pm

บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ  :wink:
Dis volentibus

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 1:53 pm

พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ  :wink:
บสร 3:21-23

อย่าเเสวงหาความรู้ที่ยากเกินไปสำหรับท่าน
อย่าค้นคว้าสิ่งที่เกินกำลังท่าน
จงไตร่ตรองเเต่สิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย
ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเร้นลับต่างๆ
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกินปัญญาของท่าน
เพราะเรื่องที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็เกินปัญญามนุษย์อยู่เเล้ว
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 2:19 pm

ไม่ว่า"มนุษย์"จะเก่งกาจ ฉลาดปราชญ์เปรื่อง อัฉริยะล้ำเลิศ ขนาดไหน แต่ในที่สุดสิ่งที่มนุษย์ต้องการและอยากได้มามากที่สุด ก็คือ "ความรัก" จากใครสักคนหนึ่ง ที่รักเราอย่างจริงใจ รักเสมอตลอดเวลาไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร

การประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่่ในชีวิต ก็ดูว่างเปล่าไป ถ้าขาดความรักในชีวิต  :angel:

แล้วทำไม มนุษย์ ถึงชอบปฎิเสธ พระเจ้า ในเมื่อพระองค์ คือ องค์ความรัก
แก้ไขล่าสุดโดย กรอกสมบูรณ์ เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 2:29 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
yack
โพสต์: 816
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 11, 2008 11:01 am

พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 6:04 pm

†Ecclēsia เขียน:
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ  :wink:
บสร 3:21-23

อย่าเเสวงหาความรู้ที่ยากเกินไปสำหรับท่าน
อย่าค้นคว้าสิ่งที่เกินกำลังท่าน
จงไตร่ตรองเเต่สิ่งที่ท่านได้รับมอบหมาย
ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเร้นลับต่างๆ
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกินปัญญาของท่าน
เพราะเรื่องที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็เกินปัญญามนุษย์อยู่เเล้ว
เห็นด้วยกับอันนี้นะ ::011::
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 6:18 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

เสาร์ ธ.ค. 06, 2008 9:38 am

โดยส่วนตัว เคยสงสัยอยู่เสมอว่า พระเจ้าของเรานี่มีจริงมั๊ย เพราะเราถูกสอนมาตลอดว่ามีพระเป็นเจ้า และทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าก็คือสิ่งที่เราได้รับการสอนมาตั้งแต่เด็ก ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเล็ก สงสัยอยู่แต่ว่าพิสูจน์อะไรไม่ได้ สวดภาวนาทั้งที่ยังสงสัย แต่ที่สวดอยู่เสมอๆ เพราะได้รับการปลูกฝังมาให้สวด ก็สวดกันไป ขอโน่นขอนี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทั้งๆที่รักแม่มารีย์มาก ทั้งยังได้รับสิ่งดีๆมากมายในชีวิตโดยการสวดภาวนาขอผ่านทางแม่มารีย์ ก็ยังขี้สงสัยไม่สิ้นสุด แต่ความสงสัยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรในชีวิต เป็นอะไรที่เอามาคิดเล่นๆเวลาเพลินๆ หรือมีอะไรมากระทบให้สงสัย

จนในวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 51 นี้เอง ได้สัมผัสถึงการมีอยู่และการดำรงอยู่ของพระบิดาเจ้า จึงได้แน่ใจอย่างชัดเจนว่ามีพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง

แต่ถึงกระนั้น   ยิ่งทำให้เกิดการผจญล่อลวงขึ้นอีกอย่างมากมายในชีวิต มีข้อสงสัยขัดแย้งมากมายโผล่เข้ามาในความคิดว่าจริงหรือ?  มีพระเป็นเ่จ้าจริงๆหรือ  ถ้าไม่มี  แล้วสิ่งที่เราได้สัมผัสนั้นหล่ะ  คืออะไร  ความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดำรงมาตั้งแต่อดีตกาล และเป็นความรักอันเดียวกับที่มอบให้กับชาวอิสราเอลนั้นหล่ะ   มันจะยิ่งมีข้อขัดแย้งให้สงสัยในความคิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราแน่ใจว่ามีพระเป็นเจ้า ก็จะมีความคิดขัดแย้งเข้ามากระทบให้สงสัยอยู่เสมอ สิ่งที่ทำได้คือการสวดภาวนา

ตั้งแต่เกิด ดิฉันได้รับการสอนและจดจำมา...ว่ามี...พระผู้เป็นเจ้า

แต่...ตั้งแต่วันที่ได้สัมผัสกับพระองค์  ดิฉันได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า พระองค์ทรงมีอยู่และดำรงอยู่จริงๆ และดิฉันกำลังเรียนรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิตของดิฉัน

มันไม่ใช่แค่...การเชื่อ...ว่า มีพระเป็นเจ้า  แต่เป็นการรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ในชีวิต

(เปรียบเทียบกับ"ลม" เรามองไม่เห็น"ลม" แต่เรารับรู้ได้ว่า มี"ลม"พัดผ่านเราอยู่)

ซึ่งทำให้เกิดแต่สันติสุขในชีวิตและจิตวิญญาณ มองโลกเปลี่ยนไป ใจเป็นสุขขึ้น

และเรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร พูดคุย กับพระองค์ ผ่านการสวดภาวนามากขึ้น...มากขึ้น

เดี๋ยวนี้ สวดภาวนาได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ...ใช้คำว่า สวดเก่งขึ้น คือมีสมาธิในการสวดมากขึ้น และเพิ่มเวลาในการสวดมากขึ้น โดยสวดภาวนาได้ในแต่ละช่วงของวันถี่ขึ้น ว่างเป็นไม่ได้ บทภาวนามันโผล่ขึ้นมาเองในสมองเลย

ฉะนั้น ไอ้..ทฤษฎีพระเจ้าจากห้วงอวกาศ..เนี่ย   เคยคิดมาก่อนแล้ว คิดจนข้อสงสัยต่างๆตรงนี้มันหมดไปแล้ว

แบ่งปันด้วยความเชื่อสิ้นสุดจิตใจค่ะ

(สวดเยอะ ๆ นะคะ แล้วคุณจะได้รู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ถึงคำว่า "พระองค์ทรงยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้"และ"ทรงน่ารักยิ่งนัก")
แก้ไขล่าสุดโดย กรอกสมบูรณ์ เมื่อ เสาร์ ธ.ค. 06, 2008 10:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

เสาร์ ธ.ค. 06, 2008 2:00 pm

พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เขียน: บางทีความไม่รู้ก็เป็นปรีชาญาณ  :wink:
kroksomboon เขียน: (สวดเยอะ ๆ นะคะ แล้วคุณจะได้รู้และเข้าใจอย่างแท้จริง ถึงคำว่า "พระองค์ทรงยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้"และ"ทรงน่ารักยิ่งนัก")
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ : emo038 :
ตอบกลับโพส