ตายก่อนรับศีลล้างบาป
หวัดดีครับ
ผมมีคำถามอยากจะถามครับ
ผมอยากรู้ว่าถ้าคนเรามีความเชื่อแล้ว แต่ยังไม่ได้ทันรับศีลล้างบาป แต่กลับเสียชีวิตซะก่อน แล้วอย่างนี้ดวงวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตนั้นจะได้รับความรอดหรือไม่ครับ
ปัจจุบันผมเรียนคำสอนเพื่อเตรียมตัวรับศีลล้างบาปในปีหน้าครับ
เมื่อวานตอนไปเรียนคำสอน คุณพ่อเจ้าอาวาสที่วัดนำประสบการณ์บางอย่างมาเล่าให้ฟังในห้องเรียนขณะเรียนคำสอน
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา มีผู้ชายคนนึงบอกว่าตัวเองรับราชการเป็นครูแห่งหนึ่ง ครูคนนี้นับถือพุทธมาขอพบคุณพอถึงที่วัด และเล่าให้คุณพ่อฟังว่า ครูฝันว่าลูกศิษสมัยเรียนประถมอายุ 12 ปีที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน มาเข้าฝันแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นว่า ตัวลูกศิษเองถูกฝังอยู่ที่สุสานในป่าช้าของวัดแห่งนี้มานาน 9 ปีแล้ว และรู้สึกทรมานมาก หิว และหนาว เห็นพ่อแม่มาเยี่ยมที่หลุมศพ นำดอกไม้มาให้ก็รับไม่ได้ ไปผุดไปเกิดไม่ได้ ไม่ได้รับส่วนบุญจากใครเลย เลยอยากให้ขุดศพตัวเองขึ้นมาแล้วนำไปเผาตามพิธีความเชื่อของพุทธศาสนา
เหตุที่ผู้ตายถูกนำมาฝังไว้ในที่แห่งนี้เพราะว่าพ่อแม่เป็นคาทอลิก พอลูกเกิดมาก็ไม่ได้นำไปรับศีลล้างบาปตามทำเนียมคริสต์ ครอบครัวนี้คงจะไม่ได้เคร่งครัดในศาสนามากนัก จนเวลาผ่านล่วงเลยมาจนลูกโตแล้ว พ่อแม่คงจะเพิ่งสำนึกขึ้นได้ว่าควรนำลูกไปเรียนคำสอนที่วัดเพื่อรับศีลล้างบาป พอลูกอายุได้ 11 ปี จึงนำลูกไปฝากเรียนคำสอนผู้ใหญ่ที่วัด ในขณะที่ลูกเรียนคำสอนอย่างตั้งใจเกือบจะได้รับศีลล้างบาปปีนั้น แต่ว่ามีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้น ทำให้เด็กเสียชีวิต (ไม่รู้ตายเพราะอะไร) พอตายพ่อแม่ก็ทำพิธีฝังตามทำเนียมของคริสต์
คุณพอเลยถามกลับไปว่า แล้วทำไมเด็กคนนั้นไม่ไปเข้าฝันพ่อแม่ของเค้า มาเข้าฝันคุณครูทำไม ทั้งๆที่คุณคุณครูคนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กชายคนนั้นเลยนอกจากอาจารย์กับลูกศิษ และทำไมพ่อแม่ของเด็กไม่มาติดต่อทางวัดเอง ให้ครูมาติดต่อทำไม คุณครูก็ไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก
แต่คุณพอก็ให้คำแนะนำกับครูคนนั้นไปว่า แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน แต่ความเชื่อของทางคริสต์ไม่ได้เชื่อแบบนั้น ถ้าอยากสบายใจจะขุดขึ้นมาแล้วเผาก็ได้ไม่ว่ากัน แต่เผาไปก็เท่านั้นเพราะศพคงเหลือแต่กระดูกไปแล้ว เพราะมันผ่านมาตั้ง 9 ปีแล้ว
ผมเลยเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าเราเกิดโชคร้ายเหมือนเด็กคนนั้น ผมจะเป็นอย่างไร ถ้าครูคนนั้นไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาเอง แต่ผมคิดว่าครูคงไม่มีเหตุจูงใจอะไร อยู่ดีๆครูคงไม่ออกมาพูดแบบนั้นโดยไร้เหตผล เพราะเด็กก็ตายมาตั้ง 9 ปีแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครูไม่ได้โกหก วิญญาณของเด็กคนนั้นก็น่าสงสารมาก
เรื่องนี้ถ้าถามผมว่าคิดอย่างไร ผมจะบอกว่าเด็กคนนั้นตอนมาเรียนคำสอนเด็กคงยังมีความเชื่อไม่เพียงพอ เพราะพ่อแม่ของเด็กไม่ได้เคร่งครัดอะไรมาก ไปโรงเรียนทางโรงเรียนก็คงเป็นโรงเรียนพุทธ สอนสวดมนต์ไหว้พระจนทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นพุทธโดยสิ่งแวดล้อม แต่พอโตขึ้นพ่อแม่กลับทำให้เค้าเป็นคาทอลิก แล้วก็มาเรียนคำสอน ยังมีความเชื่อในพระเจ้าไม่เพียงพอ แล้วก็ตายก่อนได้รับศีลล้างบาป ทำให้วิญญาณเด็กยังคงเป็นพุทธอยู่ ตายไปก็เลยไปทางพุทธ แต่กลับทำพิธีให้เค้าแบบคริสต์ วิญญาณเค้าก็เลยไม่เป็นสุข
ผมคิดอย่างนั้นนะครับ
แล้วคุณคิดเรื่องนี้อย่างไรครับ
ผมมีคำถามอยากจะถามครับ
ผมอยากรู้ว่าถ้าคนเรามีความเชื่อแล้ว แต่ยังไม่ได้ทันรับศีลล้างบาป แต่กลับเสียชีวิตซะก่อน แล้วอย่างนี้ดวงวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตนั้นจะได้รับความรอดหรือไม่ครับ
ปัจจุบันผมเรียนคำสอนเพื่อเตรียมตัวรับศีลล้างบาปในปีหน้าครับ
เมื่อวานตอนไปเรียนคำสอน คุณพ่อเจ้าอาวาสที่วัดนำประสบการณ์บางอย่างมาเล่าให้ฟังในห้องเรียนขณะเรียนคำสอน
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา มีผู้ชายคนนึงบอกว่าตัวเองรับราชการเป็นครูแห่งหนึ่ง ครูคนนี้นับถือพุทธมาขอพบคุณพอถึงที่วัด และเล่าให้คุณพ่อฟังว่า ครูฝันว่าลูกศิษสมัยเรียนประถมอายุ 12 ปีที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน มาเข้าฝันแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นว่า ตัวลูกศิษเองถูกฝังอยู่ที่สุสานในป่าช้าของวัดแห่งนี้มานาน 9 ปีแล้ว และรู้สึกทรมานมาก หิว และหนาว เห็นพ่อแม่มาเยี่ยมที่หลุมศพ นำดอกไม้มาให้ก็รับไม่ได้ ไปผุดไปเกิดไม่ได้ ไม่ได้รับส่วนบุญจากใครเลย เลยอยากให้ขุดศพตัวเองขึ้นมาแล้วนำไปเผาตามพิธีความเชื่อของพุทธศาสนา
เหตุที่ผู้ตายถูกนำมาฝังไว้ในที่แห่งนี้เพราะว่าพ่อแม่เป็นคาทอลิก พอลูกเกิดมาก็ไม่ได้นำไปรับศีลล้างบาปตามทำเนียมคริสต์ ครอบครัวนี้คงจะไม่ได้เคร่งครัดในศาสนามากนัก จนเวลาผ่านล่วงเลยมาจนลูกโตแล้ว พ่อแม่คงจะเพิ่งสำนึกขึ้นได้ว่าควรนำลูกไปเรียนคำสอนที่วัดเพื่อรับศีลล้างบาป พอลูกอายุได้ 11 ปี จึงนำลูกไปฝากเรียนคำสอนผู้ใหญ่ที่วัด ในขณะที่ลูกเรียนคำสอนอย่างตั้งใจเกือบจะได้รับศีลล้างบาปปีนั้น แต่ว่ามีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้น ทำให้เด็กเสียชีวิต (ไม่รู้ตายเพราะอะไร) พอตายพ่อแม่ก็ทำพิธีฝังตามทำเนียมของคริสต์
คุณพอเลยถามกลับไปว่า แล้วทำไมเด็กคนนั้นไม่ไปเข้าฝันพ่อแม่ของเค้า มาเข้าฝันคุณครูทำไม ทั้งๆที่คุณคุณครูคนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กชายคนนั้นเลยนอกจากอาจารย์กับลูกศิษ และทำไมพ่อแม่ของเด็กไม่มาติดต่อทางวัดเอง ให้ครูมาติดต่อทำไม คุณครูก็ไม่ได้ตอบอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก
แต่คุณพอก็ให้คำแนะนำกับครูคนนั้นไปว่า แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน แต่ความเชื่อของทางคริสต์ไม่ได้เชื่อแบบนั้น ถ้าอยากสบายใจจะขุดขึ้นมาแล้วเผาก็ได้ไม่ว่ากัน แต่เผาไปก็เท่านั้นเพราะศพคงเหลือแต่กระดูกไปแล้ว เพราะมันผ่านมาตั้ง 9 ปีแล้ว
ผมเลยเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าเราเกิดโชคร้ายเหมือนเด็กคนนั้น ผมจะเป็นอย่างไร ถ้าครูคนนั้นไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาเอง แต่ผมคิดว่าครูคงไม่มีเหตุจูงใจอะไร อยู่ดีๆครูคงไม่ออกมาพูดแบบนั้นโดยไร้เหตผล เพราะเด็กก็ตายมาตั้ง 9 ปีแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครูไม่ได้โกหก วิญญาณของเด็กคนนั้นก็น่าสงสารมาก
เรื่องนี้ถ้าถามผมว่าคิดอย่างไร ผมจะบอกว่าเด็กคนนั้นตอนมาเรียนคำสอนเด็กคงยังมีความเชื่อไม่เพียงพอ เพราะพ่อแม่ของเด็กไม่ได้เคร่งครัดอะไรมาก ไปโรงเรียนทางโรงเรียนก็คงเป็นโรงเรียนพุทธ สอนสวดมนต์ไหว้พระจนทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นพุทธโดยสิ่งแวดล้อม แต่พอโตขึ้นพ่อแม่กลับทำให้เค้าเป็นคาทอลิก แล้วก็มาเรียนคำสอน ยังมีความเชื่อในพระเจ้าไม่เพียงพอ แล้วก็ตายก่อนได้รับศีลล้างบาป ทำให้วิญญาณเด็กยังคงเป็นพุทธอยู่ ตายไปก็เลยไปทางพุทธ แต่กลับทำพิธีให้เค้าแบบคริสต์ วิญญาณเค้าก็เลยไม่เป็นสุข
ผมคิดอย่างนั้นนะครับ
แล้วคุณคิดเรื่องนี้อย่างไรครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Kenneth เมื่อ จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
รอผู้รู้..
ขอเดาหน่อย
ตามคาทอลิก คือไม่รอดนะ
ถูกป่าวนะ
ขอเดาหน่อย
ตามคาทอลิก คือไม่รอดนะ
ถูกป่าวนะ
- Jeanne d'Arc
- โพสต์: 235
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 12, 2009 12:33 pm
ไม่ทราบครับว่า ก่อนเด็กคนนั้นจะตาย แสดงออกยังไง แล้วจิตใจเขาเป็นยังไง
ผมเชื่อว่าหากเขาได้รับการล้างบาปทางวิญญาณแล้ว เขาก็รอดครับ
ผมเชื่อว่าหากเขาได้รับการล้างบาปทางวิญญาณแล้ว เขาก็รอดครับ
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
1. พระเจ้ามีลูก(ผู้เชื่อทุกคนถือเป็นบุตรของพระเจ้า) แต่ไม่เคยมีหลาน 
2. กรณีเด็กเล็กที่ล้างบาปแล้ว ถึงแม้ว่าตายในขณะที่ยังไม่มีความเชื่อด้วยตนเอง พระคุณผ่านทางศีลล้างบาปก็ช่วยเขาให้รอด
3. ถ้าคนที่มีความเชื่อ(หมายถึงบังเกิดใหม่แล้วนะ)แต่ยังไม่รับศีลล้างบาปแต่ตายก่อน รอดแน่นอน เพราะโจรบนไม้กางเขนข้างๆ พระเยซูก็รอด
4. สิ่งที่ครูคนนั้นเล่าก็เป็นพื้นฐานความเชื่อแบบพุทธ ซึ่งจริงๆ แล้วคนตายทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อก็มีที่ของคนตายที่เหมาะสมกับเขา แต่ที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกนั่นคืออะไร?
"พระเจ้าตรัสถามซาตานว่า

2. กรณีเด็กเล็กที่ล้างบาปแล้ว ถึงแม้ว่าตายในขณะที่ยังไม่มีความเชื่อด้วยตนเอง พระคุณผ่านทางศีลล้างบาปก็ช่วยเขาให้รอด
3. ถ้าคนที่มีความเชื่อ(หมายถึงบังเกิดใหม่แล้วนะ)แต่ยังไม่รับศีลล้างบาปแต่ตายก่อน รอดแน่นอน เพราะโจรบนไม้กางเขนข้างๆ พระเยซูก็รอด
4. สิ่งที่ครูคนนั้นเล่าก็เป็นพื้นฐานความเชื่อแบบพุทธ ซึ่งจริงๆ แล้วคนตายทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อก็มีที่ของคนตายที่เหมาะสมกับเขา แต่ที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกนั่นคืออะไร?
"พระเจ้าตรัสถามซาตานว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ผมเห็นด้วยกับคุณ Deo Gratias ครับ 

ซาตาน มา หลอกครู ครับ
เพราะมันทะแม่งๆ แต่แรกละ
ส่วนตัวเด็ก จะเอาไปเผา ไปฝัง ฯลฯ มันก็เป็นเพียงแค่พิธีที่ถือกันมา
ตัวเด็กเอง รับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วย เขารอดไปแล้วครับ................
แม้จะไม่ทันล้างตามพิธี แต่เขาได้รับการล้างด้วยพระวิญญาณ ก่อนจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้วครับ
เพราะมันทะแม่งๆ แต่แรกละ
ส่วนตัวเด็ก จะเอาไปเผา ไปฝัง ฯลฯ มันก็เป็นเพียงแค่พิธีที่ถือกันมา
ตัวเด็กเอง รับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วย เขารอดไปแล้วครับ................
แม้จะไม่ทันล้างตามพิธี แต่เขาได้รับการล้างด้วยพระวิญญาณ ก่อนจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้วครับ
ฟังคุณ Deo Gratias อธิบายแล้วผมเข้าใจกระจ่างแจ้งเลยครับ
เรื่องเมื่อวานทำผมเป็นกังวลมาโดยตลอด เมื่อคืนนอนคิดทั้งคืน กลัวว่าถ้าผมเป็นเหมือนเด็กคนนั้น ตายก่อนรับศีลล้างบาปแล้ววิญญาณจะเป็นเหมือนที่ครูบอก ถึงตอนนั้นผมคงเสียใจแย่เลย ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าจะตายจริงๆขอให้ได้รับศีลล้างบาปก่อนเถอะ แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้วครับ
ข้อความของท่านทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยนะครับ
ท่านอื่นคิดเห็นแบบไหน ขอความรู้เพิ่มเติมด้วยครับ
อาทิตย์หน้าผมจะลองถามคุณพ่อดูครับว่าพ่อแม่เด็กติดต่อมาขอขุดศพไปแล้วหรือยัง
เรื่องเมื่อวานทำผมเป็นกังวลมาโดยตลอด เมื่อคืนนอนคิดทั้งคืน กลัวว่าถ้าผมเป็นเหมือนเด็กคนนั้น ตายก่อนรับศีลล้างบาปแล้ววิญญาณจะเป็นเหมือนที่ครูบอก ถึงตอนนั้นผมคงเสียใจแย่เลย ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าจะตายจริงๆขอให้ได้รับศีลล้างบาปก่อนเถอะ แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้วครับ
ข้อความของท่านทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยนะครับ
ท่านอื่นคิดเห็นแบบไหน ขอความรู้เพิ่มเติมด้วยครับ
อาทิตย์หน้าผมจะลองถามคุณพ่อดูครับว่าพ่อแม่เด็กติดต่อมาขอขุดศพไปแล้วหรือยัง
ถามต่ออีกนิด
ถ้าหากว่าเด็กผู้ตายคนนั้นไม่มีความเชื่อก่อนตายจริง ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ได้รับความรอดจากพระเจ้า ถูกไหมครับ
ในกรณีนี้เกิดขึ้นแล้ว ศพถูกฝังอยู่ ตายมาแล้ว 9 ปี พ่อแม่ของเด็กควรทำอย่างไรดีถึงจะถูกครับ
จะเชื่อครูคนนั้น ขุดขึ้นมาเผา ประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ ส่งวิญญาณเค้าไปตามทางที่เค้าเชื่อ
หรือจะปล่อยไว้อย่างนั้น โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะถือว่าตัวพ่อแม่เองนับถือคริสต์ แต่รู้ทั้งรู้ว่าลูกอาจไม่ได้เชื่อในคริสต์ก่อนตาย ถ้าเลือกวิธีี้จะไม่เป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อวิญญาณของลูกหรอครับ
ฟังจากที่คุณพ่อเล่า ผมรู้สึกว่าพ่อแม่เด็กที่ตายไม่กล้ามาคุยเรื่องขุดศพลูกขึ้นมาเผากับคุณพ่อโดยตรง เพราะคงละอายใจที่ว่าตัวเองเป็นคาทอลิกแต่กลับไปเชื่อตามวิถีทางพุทธ และรู้ตัวเองว่ากำลังทำผิดอะไรบางอย่างในศาสนาคริสต์ เลยไม่กล้าสู่หน้าในเรื่องนี้ เลยต้องให้ครูมาเป็นตัวแทนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้แทน
ถ้าหากว่าเด็กผู้ตายคนนั้นไม่มีความเชื่อก่อนตายจริง ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ได้รับความรอดจากพระเจ้า ถูกไหมครับ
ในกรณีนี้เกิดขึ้นแล้ว ศพถูกฝังอยู่ ตายมาแล้ว 9 ปี พ่อแม่ของเด็กควรทำอย่างไรดีถึงจะถูกครับ
จะเชื่อครูคนนั้น ขุดขึ้นมาเผา ประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ ส่งวิญญาณเค้าไปตามทางที่เค้าเชื่อ
หรือจะปล่อยไว้อย่างนั้น โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะถือว่าตัวพ่อแม่เองนับถือคริสต์ แต่รู้ทั้งรู้ว่าลูกอาจไม่ได้เชื่อในคริสต์ก่อนตาย ถ้าเลือกวิธีี้จะไม่เป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อวิญญาณของลูกหรอครับ
ฟังจากที่คุณพ่อเล่า ผมรู้สึกว่าพ่อแม่เด็กที่ตายไม่กล้ามาคุยเรื่องขุดศพลูกขึ้นมาเผากับคุณพ่อโดยตรง เพราะคงละอายใจที่ว่าตัวเองเป็นคาทอลิกแต่กลับไปเชื่อตามวิถีทางพุทธ และรู้ตัวเองว่ากำลังทำผิดอะไรบางอย่างในศาสนาคริสต์ เลยไม่กล้าสู่หน้าในเรื่องนี้ เลยต้องให้ครูมาเป็นตัวแทนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้แทน
แก้ไขล่าสุดโดย Kenneth เมื่อ จันทร์ ก.ย. 07, 2009 9:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
สุดยอดเลยเจ๊ เคลียร์สุดๆๆ 

- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
Kenneth เขียน: ถ้าหากว่าเด็กผู้ตายคนนั้นไม่มีความเชื่อก่อนตายจริง ก็แสดงว่าเด็กคนนั้นไม่ได้รับความรอดจากพระเจ้า ถูกไหมครับ
ใช่ค่ะ ความเชื่อคือกุญแจ ถ้าไม่ได้มีความเชื่อก็ไม่มีกุญแจค่ะ
เรื่องนี้ก็แล้วแต่เค้านะคะ แต่ก็คงแก้ได้แค่ความสบายใจของมนุษย์Kenneth เขียน: ในกรณีนี้เกิดขึ้นแล้ว ศพถูกฝังอยู่ ตายมาแล้ว 9 ปี พ่อแม่ของเด็กควรทำอย่างไรดีถึงจะถูกครับ
จะเชื่อครูคนนั้น ขุดขึ้นมาเผา ประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ ส่งวิญญาณเค้าไปตามทางที่เค้าเชื่อ
หรือจะปล่อยไว้อย่างนั้น โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะถือว่าตัวพ่อแม่เองนับถือคริสต์ แต่รู้ทั้งรู้ว่าลูกอาจไม่ได้เชื่อในคริสต์ก่อนตาย ถ้าเลือกวิธีี้จะไม่เป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อวิญญาณของลูกหรอครับ
เพราะความจริงแล้วไม่ว่าจะขุดหรือไม่ขุดก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
เด็กคนนั้นมีที่อยู่ของเค้าอยู่แล้ว ซึ่งจะอยู่ที่ไหนพระเจ้าเท่านั้นที่รู้
พระเจ้าเป็นทรงผู้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง
สวรรค์มีแห่งเดียว นรกก็มีแห่งเดียว พระพรมาจากพระเจ้าองค์เดียว
ความรอดก็จากพระเจ้าองค์เดียว และการพิพากษาก็มาจากพระเจ้าองค์เดียว
โหดร้ายหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเมื่อเด็กตายแล้ว เพราะนั่นสายไปแล้ว
ถ้าไม่อยากโหดร้ายต้องมอบมรดกแห่งความเชื่อให้ลูกตั้งแต่เกิด
ด้วยการถวายแด่พระเจ้าและสอนเขาในทางของพระองค์
"จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น" (สภษ.22:6 )
ง่ะ ว่าแต่เด็กในสุสานเขาไม่เห็นวิญญาณดวงอื่นๆ ในสุสานเหรอครับ??? คำว่าซาตานล่อลวงน่าสนใจ
ผมมักจะคิดว่า ถ้าผมมีลุกผมจะให้ลูกล้างบาปตอนโตเหมือนกัน เพราะผมเข้าใจว่าการถูกโดนบังคับให้นับถือศาสนาเป็นยังไง เช่น หากเราล้างบาปลูกแต่เด็กให้เด็กตัดสินใจเอง ลูกโตขึ้นอยากเป็น พุทธ หรือ อิสลาม จะได้ไม่ติดขัดว่าเคยรับศีลศักสิทธิ์ ที่เราเคยบังคับลูกทำ
แต่ไงก็ตามผมไม่อยากมีลุกหรอกนะครับ แค่นี้ประชากรก็จะล้นโลกตายอยู่แล้ว 
*** ว่าแต่ทางโปรมันโตขึ้นก่อนแล้วค่อยล้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ???
ผมมักจะคิดว่า ถ้าผมมีลุกผมจะให้ลูกล้างบาปตอนโตเหมือนกัน เพราะผมเข้าใจว่าการถูกโดนบังคับให้นับถือศาสนาเป็นยังไง เช่น หากเราล้างบาปลูกแต่เด็กให้เด็กตัดสินใจเอง ลูกโตขึ้นอยากเป็น พุทธ หรือ อิสลาม จะได้ไม่ติดขัดว่าเคยรับศีลศักสิทธิ์ ที่เราเคยบังคับลูกทำ


*** ว่าแต่ทางโปรมันโตขึ้นก่อนแล้วค่อยล้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ???
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ศาสนาคริสต์ไม่เหมือนกับศาสนาอื่น ที่เป็นตัวเลือกหนึ่งที่คนจะเลือกเอาอะไรก็ได้ตามใจชอบวอ เขียน: ผมมักจะคิดว่า ถ้าผมมีลุกผมจะให้ลูกล้างบาปตอนโตเหมือนกัน เพราะผมเข้าใจว่าการถูกโดนบังคับให้นับถือศาสนาเป็นยังไง เช่น หากเราล้างบาปลูกแต่เด็กให้เด็กตัดสินใจเอง ลูกโตขึ้นอยากเป็น พุทธ หรือ อิสลาม จะได้ไม่ติดขัดว่าเคยรับศีลศักสิทธิ์ ที่เราเคยบังคับลูกทำแต่ไงก็ตามผมไม่อยากมีลุกหรอกนะครับ แค่นี้ประชากรก็จะล้นโลกตายอยู่แล้ว
![]()
(เหมือนเลือกร้านกินข้าวร้านไหนก็ได้กินแล้วอิ่มเหมือนกัน)
จริงอยู่ที่ว่าพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร และมนุษย์มีสิทธิเลือก แต่ผลของการเลือกจะไม่เหมือนกันแน่นอน
ถ้าคริสตชนหรือลูกหลายคริสตชนเลือกที่จะไปจากพระเจ้าเป็นเรื่องน่าเศร้าใจและพระเจ้าทรงเสียพระทัย
แต่มารแอบหัวเราะสะใจที่แยกมนุษย์ออกจากพระเจ้าได้สำเร็จ
ต่างจากคนที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้ปรารถนาจะเป็นคริสตชน นั่นถือว่าเขาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าและตอบรับการทรงเรียกจากพระองค์ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี แม้ทูตสวรรค์ก็ยังโห่ร้องเมื่อมีคนหนึ่งกลับใจ
แต่มารจะเจ็บใจเมื่อเห็นคนรับเชื่อหรือล้างบาป เพราะมันรู้ว่ามันแพ้แล้ว
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคงไม่มีคริสตชนคนไหนทำลงหรอกที่จะผลักไสลูกของตัวเองอองจากทางสวรรค์
โดยการสนับสนุนให้เขาจากพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ไปหาพระอื่น
โปรฯ มีหลายคณะ และบางคณะให้บัพติศมา(ศีลล้างบาป)แก่เด็กวอ เขียน:
*** ว่าแต่ทางโปรมันโตขึ้นก่อนแล้วค่อยล้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ???
ส่วนบางคณะจะต้องรับเชื่อด้วยตนเองก่อนจึงจะให้บัพติศมา
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศาสนศาสตร์ของแต่ละคณะ
โปรฯ กลุ่มที่ให้บัพติศมาแก่ทารกที่เกิดในครอบครัวคริสตชน เพราะ
- บัพติศมาเป็นพระคุณของพระเจ้า เด็กสมควรได้รับ
- พิธีสุหนัตในพันธสัญญาเดิม กระทำเมื่อมีอายุได้ 8 วัน
- หากเด็กตายไปขณะยังไม่สามารถมีความเชื่อ เขาจะอยู่ในพระคุณของพระเจ้า
- พระคุณของพระเจ้าผ่านทางพิธีฯ จะช่วยเด็กที่จะการเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า
- ผู้ปกครองจะต้องปฏิญาณว่าจะสอนเด็กในทางของพระเจ้า
- เมื่อเด็กโตขึ้นจะต้องเข้าพิธียืนยันความเชื่อ เพื่อสัญญากับพระเจ้าด้วยตนเองว่าจะติดตามพระเจ้า
- ฯลฯ
(กลุ่มที่ยึดถือเช่นนี้คือคณะลูเธอร์แรน คณะแองกลิกัน คณะเพรสไบทีเรียน ...)
โปรฯ กลุ่มที่ให้บัพติศมาแก่ผู้ใหญ่ที่ยอมรับพระคริสต์ด้วยตนเองเท่านั้น เพราะ
- ทารกที่เกิดในครอบครัวคริสตชนถูกถวายแด่พระเจ้าในพิธีถวายบุตรเพื่อให้พระเจ้าดูแล
และจะตัดสินใจติดตามพระเจ้าโดยเข้าพิธีบัพติศมาด้วยตัวเองเมื่อโตขึ้น
- พิธีบัพติสมาคือการประกาศตัวว่าจะติดตามพระเจ้า จะเข้าพิธีหรือไม่ต้องตัดสินใจเอง คนอื่นตัดสินใจแทนไม่ได้
- พิธีบัพติสมาต้องจุ่มให้มิด ดังนั้นทารกจุ่มมิดไม่ได้จึงรับไม่ได้
- ฯลฯ
(กลุ่มที่ยึดถือเช่นนี้คือคณะแบ๊พติสต์ คณะเพนเทคอส ...)
อย่างไรก็ตามแม้บางคณะจะไม่ให้บัพติศมาแก่ทารก แต่เขาก็มีพิธีถวายบุตร เพราะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่คริสตชนที่จะมอบบุตรของตนแด่พระเจ้า และสัญญาต่อพระองค์ว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ในทางของพระองค์ กวดขันให้เรียนรวี(เรียนคำสอน) อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งเขารับเชื่อพระองค์ด้วยตนเอง เพราะถ้าไม่สอนเขาโอกาสที่เขาจะเลือกพระเจ้าด้วยตนเองมีน้อยกว่า เพราะมารและสิ่งล่อลวงของโลกจ้องเขาอยู่
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ก.ย. 08, 2009 12:01 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เรื่องความฝันของครู
1. นอกจากกรณีฝันที่เป็นนิมิตแล้ว ความฝันของคนเราส่วนมากจะมี "พื้นฐาน" ของความฝันอยู่ในประสบการณ์ของผู้ฝันเอง
ในกรณีของครูคนนี้ "สมมติ" ว่าเค้าเป็นคาทอลิก สิ่งที่เค้าฝันก็น่าจะออกมาในรูปของ เด็กมาขอให้ขอมิสซาให้หน่อย
กรณีที่บอกว่า ฝันว่าไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลยนั้น เห็นจะเป็นความฝันในแบบพุทธตามความเชื่อแบบไทยๆ
ก็คือ นอกจากทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ ทำสังฆทาน ฯลฯ ตามแบบพุทธแล้ว อย่างอื่นไปไม่ถึงวิญญาณ
2. เป็นเรื่อปกติที่คนเราจะจดจำ คิดคำนึง และเป็นกังวลเมื่อฝันถึงุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะ
ความที่ถูกตัดขาดกันทางกายภาพทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า "จะต้องไม่ได้พบกันอีก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุด คนเป็นและคนตายก็เชื่อมโยงกันด้วย "ความทรงจำ"
แม้จะไม่เป็นจริง แม้จะไม่เป็นเวลาปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลกับชีวิต
เรื่องการเสียชีวิตก่อนการได้รับศีลล้างบาป
ถ้ายืนยันตามเรื่องที่เล่าว่า เด็กเรียนคำสอนอย่างจริงจัง ซึ่งผม "ขอ" สันนิษฐานว่า เด็กมีความเชื่อด้วย
หลักการของคาทอลิกก็เชื่อว่า เด็กคนนี้ในที่สุดก็ได้รับศีลล้างบาปด้วยความปรารถนา (Baptism by Desire)
รายละเอียด ขอให้ค้นหากระทู้ที่พูดถึงเรื่องนี้ครับ
ความเชื่อของที่บ้าน-ความเชื่อของเด็ก
1. ปัจจัยที่มีผลต่อความเเชื่อของเด็กก็หลักๆ อยู่ที่ 3 อย่างครับ (1) พระเจ้า (2) ผู้ปกครอง (3) สภาพแวดล้อมอื่นๆ
สังเกตว่า ในขณะที่คริสตชนไทยผจญกับปัญหาของการดูดวง เข้าทรง บนบาน ฯลฯ ในแบบวิถีไทยๆ ปกติ
ฝรั่งก็ผจญกับปัญหาลัทธิไร้ศาสนา ลัทธิืบูชางาน-เงิน หรือศาสนาอิสลาม (ไม่ได้โทษนะครับ แต่พูดถึงสภาพแวดล้่อม)
เพราะอิทธิพลปัจจัยแวดล้อมต่างกัน
2. จริงอยู่ที่พ่อ-แม่ย่อมเป็นที่ไว้ใจของลูกๆ และความเชื่อพ่อแม่ย่อมมีผลต่อลูก "แต่"
ปัจจุบันเด็กอยู่กับพ่อแม่น้อยลง เฉลี่ยเวลาที่อยู่กัีนจริงๆ ไม่นับการนอน ก็ไม่ถึง 5 ชม. ต่อวัน
ที่เหลือเด็กมันกได้รับอิทธิืพลจากเรื่องอื่นๆ หรือปัจจัยที่ 3 มากกว่า จึงนับได้ว่า สังคมหล่อหลอมเด็กได้มากที่สุด
3. ทีนี้ การที่พ่อแม่พาเด็กไปเรียนคำสอนในที่สุด ผม "คิดว่า" นั่นเป็นประัเด็นที่เรียกให้เด็กฉุกคิดเรื่องการนับถือศาสนาขึ้นมา
ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันยังวิ่งเล่นสนุกสนานเฮฮามากมาย ในทางความเชื่อ และตรรกะด้านศาสนา เด็กคนนี้ก้าวหน้าเกินคนวัยเดียวกัน
จึงไม่น่าจะแปลกถ้าเด็กจะมีความเชื่อ แม้จะไม่รู้ว่าศีลล้างบาปสำคัญหรือไม่ อย่างไร แต่เด็กก็เรียนรู้ที่จะมีพระเจ้าในชีวิต
แล้วสรุปครูคนนี้เห็นอะไร?
1. คำตอบแบบมนุษย์ๆ ก็ต้องถามกลับว่า เอามาตรฐานของศาสนาไหนมาวัด?
คำตอบของเรื่องนี้ก็ชัดเจนในหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเจาะลึกเข้าๆ ก็จะกลับไปที่เทววิทยาเรื่องคนเป็น-คนตาย
2. กำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ ไม่รู้ครับ
แล้วควรทำอย่างไร?
1. บรรทัดฐานของความสบายใจของพ่อแม่ครู คุยกันเองเถอะครับว่าอยากทำอะไร
2. บรรทัดฐานพระศาสนจักร พ่อแม่ควรช่วยเหลือลูกตามวิถีของคาทอลิก เช่น กา่รขอมิสซา การสวดภาวนา ฯลฯ
เรา (คริสตชน) ได้อะไรจากเรื่องนี้?
ในมุมของผม เราน่าจะได้รับการสอนจากพระองค์เรื่องของการยึดถือความเชื่อ
หลายครั้งพระองค์ "ทรงอนุญาต" ให้มีการลองใจเรา ดูง่ายๆ โยบ พระเยซู ฯลฯ ก็โดนลองใจมามากมาย
กรณีของ โยบ กับเรื่องนี้ค่อนข้างชัด ตรงที่ว่า ครอบครัวถูกใช้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้โยบบริภาษพระเจ้า
แต่ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงทำให้โยบเห็นว่า ชีวิตที่มีความเชื่อเป็นอย่างไร
สำหรับผมแล้ว พระเจ้า "ไม่เคย" บอกว่า ทำดีแล้วจะไม่ทุกข์ ทำชั่วแล้วจะไม่สุข แต่เรามีสิทธิ์ที่จะถวายความทุกข์นั้นแต่พระองค์
ไม่ใช่การถวายฎีกาขออภัยโทษ (เอ๊ย!) แต่เป็นการถวายเพื่อเป็นเกียรติแด่พระทรมานของพระคริสต์ และชเชยบาปของเรา (เราทั้งหลาย)
1. นอกจากกรณีฝันที่เป็นนิมิตแล้ว ความฝันของคนเราส่วนมากจะมี "พื้นฐาน" ของความฝันอยู่ในประสบการณ์ของผู้ฝันเอง
ในกรณีของครูคนนี้ "สมมติ" ว่าเค้าเป็นคาทอลิก สิ่งที่เค้าฝันก็น่าจะออกมาในรูปของ เด็กมาขอให้ขอมิสซาให้หน่อย
กรณีที่บอกว่า ฝันว่าไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลยนั้น เห็นจะเป็นความฝันในแบบพุทธตามความเชื่อแบบไทยๆ
ก็คือ นอกจากทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ ทำสังฆทาน ฯลฯ ตามแบบพุทธแล้ว อย่างอื่นไปไม่ถึงวิญญาณ
2. เป็นเรื่อปกติที่คนเราจะจดจำ คิดคำนึง และเป็นกังวลเมื่อฝันถึงุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะ
ความที่ถูกตัดขาดกันทางกายภาพทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า "จะต้องไม่ได้พบกันอีก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุด คนเป็นและคนตายก็เชื่อมโยงกันด้วย "ความทรงจำ"
แม้จะไม่เป็นจริง แม้จะไม่เป็นเวลาปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลกับชีวิต
เรื่องการเสียชีวิตก่อนการได้รับศีลล้างบาป
ถ้ายืนยันตามเรื่องที่เล่าว่า เด็กเรียนคำสอนอย่างจริงจัง ซึ่งผม "ขอ" สันนิษฐานว่า เด็กมีความเชื่อด้วย
หลักการของคาทอลิกก็เชื่อว่า เด็กคนนี้ในที่สุดก็ได้รับศีลล้างบาปด้วยความปรารถนา (Baptism by Desire)
รายละเอียด ขอให้ค้นหากระทู้ที่พูดถึงเรื่องนี้ครับ
ความเชื่อของที่บ้าน-ความเชื่อของเด็ก
1. ปัจจัยที่มีผลต่อความเเชื่อของเด็กก็หลักๆ อยู่ที่ 3 อย่างครับ (1) พระเจ้า (2) ผู้ปกครอง (3) สภาพแวดล้อมอื่นๆ
สังเกตว่า ในขณะที่คริสตชนไทยผจญกับปัญหาของการดูดวง เข้าทรง บนบาน ฯลฯ ในแบบวิถีไทยๆ ปกติ
ฝรั่งก็ผจญกับปัญหาลัทธิไร้ศาสนา ลัทธิืบูชางาน-เงิน หรือศาสนาอิสลาม (ไม่ได้โทษนะครับ แต่พูดถึงสภาพแวดล้่อม)
เพราะอิทธิพลปัจจัยแวดล้อมต่างกัน
2. จริงอยู่ที่พ่อ-แม่ย่อมเป็นที่ไว้ใจของลูกๆ และความเชื่อพ่อแม่ย่อมมีผลต่อลูก "แต่"
ปัจจุบันเด็กอยู่กับพ่อแม่น้อยลง เฉลี่ยเวลาที่อยู่กัีนจริงๆ ไม่นับการนอน ก็ไม่ถึง 5 ชม. ต่อวัน
ที่เหลือเด็กมันกได้รับอิทธิืพลจากเรื่องอื่นๆ หรือปัจจัยที่ 3 มากกว่า จึงนับได้ว่า สังคมหล่อหลอมเด็กได้มากที่สุด
3. ทีนี้ การที่พ่อแม่พาเด็กไปเรียนคำสอนในที่สุด ผม "คิดว่า" นั่นเป็นประัเด็นที่เรียกให้เด็กฉุกคิดเรื่องการนับถือศาสนาขึ้นมา
ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันยังวิ่งเล่นสนุกสนานเฮฮามากมาย ในทางความเชื่อ และตรรกะด้านศาสนา เด็กคนนี้ก้าวหน้าเกินคนวัยเดียวกัน
จึงไม่น่าจะแปลกถ้าเด็กจะมีความเชื่อ แม้จะไม่รู้ว่าศีลล้างบาปสำคัญหรือไม่ อย่างไร แต่เด็กก็เรียนรู้ที่จะมีพระเจ้าในชีวิต
แล้วสรุปครูคนนี้เห็นอะไร?
1. คำตอบแบบมนุษย์ๆ ก็ต้องถามกลับว่า เอามาตรฐานของศาสนาไหนมาวัด?
คำตอบของเรื่องนี้ก็ชัดเจนในหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเจาะลึกเข้าๆ ก็จะกลับไปที่เทววิทยาเรื่องคนเป็น-คนตาย
2. กำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ ไม่รู้ครับ
แล้วควรทำอย่างไร?
1. บรรทัดฐานของความสบายใจของพ่อแม่ครู คุยกันเองเถอะครับว่าอยากทำอะไร
2. บรรทัดฐานพระศาสนจักร พ่อแม่ควรช่วยเหลือลูกตามวิถีของคาทอลิก เช่น กา่รขอมิสซา การสวดภาวนา ฯลฯ
เรา (คริสตชน) ได้อะไรจากเรื่องนี้?
ในมุมของผม เราน่าจะได้รับการสอนจากพระองค์เรื่องของการยึดถือความเชื่อ
หลายครั้งพระองค์ "ทรงอนุญาต" ให้มีการลองใจเรา ดูง่ายๆ โยบ พระเยซู ฯลฯ ก็โดนลองใจมามากมาย
กรณีของ โยบ กับเรื่องนี้ค่อนข้างชัด ตรงที่ว่า ครอบครัวถูกใช้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้โยบบริภาษพระเจ้า
แต่ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงทำให้โยบเห็นว่า ชีวิตที่มีความเชื่อเป็นอย่างไร
สำหรับผมแล้ว พระเจ้า "ไม่เคย" บอกว่า ทำดีแล้วจะไม่ทุกข์ ทำชั่วแล้วจะไม่สุข แต่เรามีสิทธิ์ที่จะถวายความทุกข์นั้นแต่พระองค์
ไม่ใช่การถวายฎีกาขออภัยโทษ (เอ๊ย!) แต่เป็นการถวายเพื่อเป็นเกียรติแด่พระทรมานของพระคริสต์ และชเชยบาปของเรา (เราทั้งหลาย)
ขอบคุณสำหรับการเสียสละเวลามอบข้อมูลความรู้นี่ให้ครับ ขอบคุณมากๆนะครับ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับEdwardius เขียน: เรื่องความฝันของครู
1. นอกจากกรณีฝันที่เป็นนิมิตแล้ว ความฝันของคนเราส่วนมากจะมี "พื้นฐาน" ของความฝันอยู่ในประสบการณ์ของผู้ฝันเอง
ในกรณีของครูคนนี้ "สมมติ" ว่าเค้าเป็นคาทอลิก สิ่งที่เค้าฝันก็น่าจะออกมาในรูปของ เด็กมาขอให้ขอมิสซาให้หน่อย
กรณีที่บอกว่า ฝันว่าไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลยนั้น เห็นจะเป็นความฝันในแบบพุทธตามความเชื่อแบบไทยๆ
ก็คือ นอกจากทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ ทำสังฆทาน ฯลฯ ตามแบบพุทธแล้ว อย่างอื่นไปไม่ถึงวิญญาณ
2. เป็นเรื่อปกติที่คนเราจะจดจำ คิดคำนึง และเป็นกังวลเมื่อฝันถึงุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะ
ความที่ถูกตัดขาดกันทางกายภาพทำให้คนเรามีความรู้สึกว่า "จะต้องไม่ได้พบกันอีก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุด คนเป็นและคนตายก็เชื่อมโยงกันด้วย "ความทรงจำ"
แม้จะไม่เป็นจริง แม้จะไม่เป็นเวลาปัจจุบัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลกับชีวิต
เรื่องการเสียชีวิตก่อนการได้รับศีลล้างบาป
ถ้ายืนยันตามเรื่องที่เล่าว่า เด็กเรียนคำสอนอย่างจริงจัง ซึ่งผม "ขอ" สันนิษฐานว่า เด็กมีความเชื่อด้วย
หลักการของคาทอลิกก็เชื่อว่า เด็กคนนี้ในที่สุดก็ได้รับศีลล้างบาปด้วยความปรารถนา (Baptism by Desire)
รายละเอียด ขอให้ค้นหากระทู้ที่พูดถึงเรื่องนี้ครับ
ความเชื่อของที่บ้าน-ความเชื่อของเด็ก
1. ปัจจัยที่มีผลต่อความเเชื่อของเด็กก็หลักๆ อยู่ที่ 3 อย่างครับ (1) พระเจ้า (2) ผู้ปกครอง (3) สภาพแวดล้อมอื่นๆ
สังเกตว่า ในขณะที่คริสตชนไทยผจญกับปัญหาของการดูดวง เข้าทรง บนบาน ฯลฯ ในแบบวิถีไทยๆ ปกติ
ฝรั่งก็ผจญกับปัญหาลัทธิไร้ศาสนา ลัทธิืบูชางาน-เงิน หรือศาสนาอิสลาม (ไม่ได้โทษนะครับ แต่พูดถึงสภาพแวดล้่อม)
เพราะอิทธิพลปัจจัยแวดล้อมต่างกัน
2. จริงอยู่ที่พ่อ-แม่ย่อมเป็นที่ไว้ใจของลูกๆ และความเชื่อพ่อแม่ย่อมมีผลต่อลูก "แต่"
ปัจจุบันเด็กอยู่กับพ่อแม่น้อยลง เฉลี่ยเวลาที่อยู่กัีนจริงๆ ไม่นับการนอน ก็ไม่ถึง 5 ชม. ต่อวัน
ที่เหลือเด็กมันกได้รับอิทธิืพลจากเรื่องอื่นๆ หรือปัจจัยที่ 3 มากกว่า จึงนับได้ว่า สังคมหล่อหลอมเด็กได้มากที่สุด
3. ทีนี้ การที่พ่อแม่พาเด็กไปเรียนคำสอนในที่สุด ผม "คิดว่า" นั่นเป็นประัเด็นที่เรียกให้เด็กฉุกคิดเรื่องการนับถือศาสนาขึ้นมา
ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันยังวิ่งเล่นสนุกสนานเฮฮามากมาย ในทางความเชื่อ และตรรกะด้านศาสนา เด็กคนนี้ก้าวหน้าเกินคนวัยเดียวกัน
จึงไม่น่าจะแปลกถ้าเด็กจะมีความเชื่อ แม้จะไม่รู้ว่าศีลล้างบาปสำคัญหรือไม่ อย่างไร แต่เด็กก็เรียนรู้ที่จะมีพระเจ้าในชีวิต
แล้วสรุปครูคนนี้เห็นอะไร?
1. คำตอบแบบมนุษย์ๆ ก็ต้องถามกลับว่า เอามาตรฐานของศาสนาไหนมาวัด?
คำตอบของเรื่องนี้ก็ชัดเจนในหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเจาะลึกเข้าๆ ก็จะกลับไปที่เทววิทยาเรื่องคนเป็น-คนตาย
2. กำปั้นทุบดินที่สุดก็คือ ไม่รู้ครับ
แล้วควรทำอย่างไร?
1. บรรทัดฐานของความสบายใจของพ่อแม่ครู คุยกันเองเถอะครับว่าอยากทำอะไร
2. บรรทัดฐานพระศาสนจักร พ่อแม่ควรช่วยเหลือลูกตามวิถีของคาทอลิก เช่น กา่รขอมิสซา การสวดภาวนา ฯลฯ
เรา (คริสตชน) ได้อะไรจากเรื่องนี้?
ในมุมของผม เราน่าจะได้รับการสอนจากพระองค์เรื่องของการยึดถือความเชื่อ
หลายครั้งพระองค์ "ทรงอนุญาต" ให้มีการลองใจเรา ดูง่ายๆ โยบ พระเยซู ฯลฯ ก็โดนลองใจมามากมาย
กรณีของ โยบ กับเรื่องนี้ค่อนข้างชัด ตรงที่ว่า ครอบครัวถูกใช้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้โยบบริภาษพระเจ้า
แต่ในที่สุด พระเจ้าก็ทรงทำให้โยบเห็นว่า ชีวิตที่มีความเชื่อเป็นอย่างไร
สำหรับผมแล้ว พระเจ้า "ไม่เคย" บอกว่า ทำดีแล้วจะไม่ทุกข์ ทำชั่วแล้วจะไม่สุข แต่เรามีสิทธิ์ที่จะถวายความทุกข์นั้นแต่พระองค์
ไม่ใช่การถวายฎีกาขออภัยโทษ (เอ๊ย!) แต่เป็นการถวายเพื่อเป็นเกียรติแด่พระทรมานของพระคริสต์ และชเชยบาปของเรา (เราทั้งหลาย)
-
- โพสต์: 690
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm
ผมอยากทราบว่า...
1.การรับศีลล้างบาปด้วยเลือด
2.การรับศีลล้างบาปด้วยความเชื่อ
3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้า
หมายความว่ายังไงครับ ผมงงอ่ะครับโดยเฉพาะการได้รับการรับศีลล้างบาปด้วยน้ำนั้นแตกต่างกับ3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้ายังไงครับ
1.การรับศีลล้างบาปด้วยเลือด
2.การรับศีลล้างบาปด้วยความเชื่อ
3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้า
หมายความว่ายังไงครับ ผมงงอ่ะครับโดยเฉพาะการได้รับการรับศีลล้างบาปด้วยน้ำนั้นแตกต่างกับ3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้ายังไงครับ
- ต้นไม้แห่งเจสซี
- โพสต์: 343
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 21, 2009 3:33 pm
- ที่อยู่: หลุมที่4 สุสานวัดพระราชินีแห่งสันติภาพ อรัญประเทศ
- ติดต่อ:
Holy Bible เขียน: ผมอยากทราบว่า...
1.การรับศีลล้างบาปด้วยเลือด
2.การรับศีลล้างบาปด้วยความเชื่อ
3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้า
หมายความว่ายังไงครับ ผมงงอ่ะครับโดยเฉพาะการได้รับการรับศีลล้างบาปด้วยน้ำนั้นแตกต่างกับ3.การรับศีลล้างบาปด้วยพระจิตเจ้ายังไงครับ


เจ้าทั้งเป็นทุกข์ถึงบาปที่ตนได้กระทำไว้

สำคัญ รู้บทสวดสำคัญ และเป็นทุกข์ถึงบาปที่ตนทำไว้ พระสงฆ์จะใช้น้ำธรรมชาติเทบนศีรษะของผู้รับศีลล้างบาปพลางกล่าวว่า
" ฉันล้างท่าน เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต " : xemo026 :